ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 118 เสียใจเมื่อสาย (1)
หัวใจของติงหมิงเจ็บปวด เขาถือกระบี่ชี้ด้านหน้า “ให้ข้าได้รู้จักวิชากระบี่สำนักเฟิงอี้ที่เลื่องชื่อทั่วใต้หล้าหน่อยเถิด พวกเจ้ายังไม่ลงมืออีกหรือ”
สตรีเส้นผมสีเทาคนหนึ่งข้างกายหลิงอวี่พลันหัวเราะหยัน “ในเมื่อพวกเจ้าอยากตาย ข้าก็จะให้พวกเจ้าสมปรารถนา” กล่าวจบก็สะบัดกระบี่บุกเข้ามา
หลิงอวี่ขมวดคิ้วน้อยๆ แต่คนผู้นี้มีฐานะเป็นถึงอาจารย์อาของตนเอง นิสัยนางดุจเปลวเพลิง นางย่อมมิสะดวกพูดอันใด จึงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “พี่น้องทั้งหลาย จงเอาศีรษะของคนเหล่านี้มาชำระแค้น”
หลิงอวี่ออกคำสั่ง สตรีเหล่านี้สะบัดกระบี่บุกเข้าใส่ เพียงพริบตาเดียวเงากระบี่ดั่งภูเขา ประกายกระบี่ดุจหิมะ เข้าเข่นฆ่าเหล่าผู้กล้าและทหารของตระกูลลู่ทั้งหลาย
ชั่วขณะนั้น หยาดโลหิตปรากฏ เสียงเข่นฆ่าดังขึ้นรอบด้าน ติงหมิงถอนหายใจในใจ หากมิใช่เพราะได้ข่าวว่าขบวนของลู่ฮูหยินถูกล้อมอยู่บนทางภูเขา ตนก็คงมิรีบเร่งเดินทางมาที่นี่เพื่อช่วยเหลืออย่างไม่เหลือกำลังพลเผื่อไว้ คิดไม่ถึงว่ามันกลับเป็นแผนการชั่วของสำนักเฟิงอี้ ตนเองตายยังมิเป็นอันใด แต่พาผู้กล้ามากมายเช่นนี้มาพบคราวเคราะห์ไปด้วย แล้วยังทำให้ลู่ฮูหยินตายอีก เขาเสียใจอย่างสุดแสนจริงๆ แค้นใจยิ่งนักที่เหวยอิงชั่วช้าเนรคุณถึงเพียงนี้ จากนั้นก็ถอนหายใจนึกถึงเจ้าหอกลไกสวรรค์ที่หนนี้ห้ามปรามไม่ให้มา
เวลานี้ในใจติงหมิงไม่หวังว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปแล้ว กระบี่ยาวในมือเคลื่อนดั่งริ้วรุ้ง ดูคล้ายมังกรทะยานหงส์เหินระบำ ขวางสตรีที่อายุล่วงวัยชราหลายคนเอาไว้ได้ชะงัด พวกนางล้วนเป็นยอดฝีมือแห่งวิชากระบี่ ในอดีตล้วนเป็นมือกระบี่หญิงผู้ออกท่องไปทั่วจงหยวน แต่กลับถูกคนรุ่นหลังคนหนึ่งสกัดไว้ได้ ในใจโกรธเกรี้ยว วิชากระบี่ยิ่งดุดันมากกว่าเดิม หากมิใช่ว่าติงหมิงเอาชีวิตเข้าสู้ น่ากลัวว่าคงถูกพวกนางฝ่าแนวป้องกันไปได้แล้ว
เมื่อเห็นพวกติงหมิงท่าทางร่อแร่ยามถูกโหมบุกโจมตี หลิงอวี่ก็คิดในใจกับตัวเองว่านับจากนี้เป็นต้นไปสำนักเฟิงอี้จะครอบครองเจียงหนานแต่เพียงผู้เดียว มุมปากของนางเผยรอยยิ้ม รูปโฉมงดงามเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ดวงหน้ายิ่งเปล่งปลั่งอาบรัศมี
เหวยอิงผู้อุ้มลู่ถิงออกมาเหลือองครักษ์โลหิตเพียงสิบคน เขาเดินออกมาจากช่องเขา แววตาเรียบนิ่ง ปล่อยให้ลู่ถิงร้องไห้ดิ้นรนร้องตะโกน แม้แต่ยามที่บาดแผลซึ่งเริ่มสมานบนแก้มถูกลู่ถิงจิกจนปริ โลหิตไหลรินลงมาหยดแล้วหยดเล่าก็ไม่ทำให้แววตาของเขาเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
เดินออกมาได้ยี่สิบกว่าจั้งก็พบชุยเสียงยืนรออยู่เพียงลำพัง คนที่เหลือถูกเขาส่งไปด้านหน้าแล้ว ก่อนได้รับคำสั่งของเหวยอิง เขามิกล้าให้ทั้งสองฝั่งมาพบกันจริงๆ หากมีคนจำนวนหนึ่งโทสะพลุ่งพล่านเล่นงานเหวยอิงเข้า นั่นย่อมลำบากแล้ว เหวยอิงกลับไม่แม้แต่จะชายตามองเขา ตรงดิ่งไปยังค่ายที่มาตั้งไว้ก่อนหน้า
เดินไปตามเส้นทางภูเขาได้ไม่นาน เหวยอิงก็ใช้วิชาตัวเบา เหินเข้าไปในป่าทึบบนยอดเขา เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอยู่พักใหญ่กว่าจะมาถึงหุบเขาราบแห่งหนึ่ง สามฝั่งเป็นหน้าผาชัน ด้านนอกเป็นป่าไผ่ ในหุบเขามีพื้นที่ให้คนพักผ่อนได้หลายร้อยคน นี่คือฐานที่มั่นที่ตำหนักเฉินเลือกไว้ดีแล้ว ทว่าแม้ตอนนี้ค่ายยังอยู่ แต่กลับมีคนเพียงเจ็ดแปดสิบคนเท่านั้นที่ยังอยู่ที่นี่ อีกทั้งคนมากกว่าครึ่งยังมีบาดแผลเต็มตัว
เมื่อพวกเขาเห็นเหวยอิงอุ้มลู่ถิงเข้ามา เดิมทีแต่ละคนจะลุกขึ้นเดินไปต้อนรับ ทว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ท่องอยู่ในยุทภพมานาน ไม่นานพวกเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติ สายตาจับบนผ้าสีแดงบนแขนของเหวยอิงกับองครักษ์โลหิตที่เปื้อนเลือดไปทั่วร่างด้านหลังเขา ข้อสงสัยนานาประการกระจ่างแจ้งในฉับพลัน ในหมู่พวกเขาเดิมทีก็มีคนสงสัยอยู่แล้ว หนนี้ข้อสงสัยถูกไขกระจ่าง บางคนในนั้นตวาดด่าออกมาทันที มิสนใจอย่างสิ้นเชิงว่าอยู่ต่อหน้าเหวยอิง
ใจของชุยเสียงร้อนรน กำลังจะก้าวเข้าไปขวาง ก็เห็นเหวยอิงหัวเราะหยันออกคำหนึ่ง องครักษ์โลหิตคนหนึ่งด้านหลังสะบัดมือ ชายฉกรรจ์ที่ด่าเสียงดังที่สุดถูกมีดบินปักตรงหว่างคิ้ว สิ้นใจตายทันที คนเหล่านี้เงียบกริบในทันใด เมื่อหวนนึกถึงวิธีการของเหวยอิงในยามปกติ พวกเขาก็หนาวเหน็บหัวใจ แม้แววตาดุร้ายยังโชนฉาย แต่มิกล้าพูดมากอีกต่อไป
เหวยอิงหัวเราะหยัน “พวกเจ้าช่างโง่เขลา สวะที่ตายจากไปพวกนั้นสำคัญอันใดเล่า พวกเขามิใช่ญาติสนิทมิตรสหายของพวกเจ้าเสียหน่อย หากไม่ทำเช่นนี้ พวกเราจะกันตนเองออกมาจนมีโอกาสลงมือได้เช่นไร หรือว่าพวกเจ้าอยากถูกแม่เฒ่าหญิงสาวพวกนั้นกดหัวไว้ทั้งชีวิตหรือ”
ครานี้แววตาของทุกคนเปลี่ยนไปแล้ว แววตาดุร้ายค่อยๆ เลือนหาย พวกเขาล้วนเป็นโจรร้ายผู้มีนิสัยโหดเหี้ยมเป็นสันดาน ไฉนจะยินดีถูกสตรีกลุ่มหนึ่งข่ม แต่ในเมื่อเหวยอิงตกลงใจให้ตำหนักเฉินฟังคำสั่งหลิงอวี่ผู้เป็นเจ้าสำนักเฟิงอี้ พวกเขาก็ไร้หนทาง อำนาจของหลิงอวี่ก็วางอยู่ตรงหน้า พวกเขาจึงมิกล้าออกปากคัดค้าน วันนี้ฟังจากน้ำเสียงของเหวยอิงดูเหมือนจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์ พวกเขาจึงลืมเลือนสหายที่ตายจากไปทันที
เหวยอิงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวเสียดสี “หากพวกเจ้ากล้าจะลงมือกำจัดผู้หญิงพวกนี้ให้หมดในคราวเดียวด้วยกันกับข้า วันหน้าในเขตหนานฉู่ยังจะมีผู้ใดกล้าต่อกรกับพวกเราอีก รีบไปเตรียมตัวเสีย รอพวกเขาสองฝั่งบาดเจ็บกันทั้งคู่ พวกเราจะลงมือทันที”
คนหนึ่งในนั้นถามอย่างลังเล “เจ้าตำหนัก พวกนางคนมาก อีกทั้งยังวรยุทธ์สูงส่ง พวกเราเสียกำลังพลไปมาก เกรงว่าคงยากจะทำการสำเร็จกระมัง” คนผู้นั้นกล่าวจบก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างเงียบๆ กังวลว่าเหวยอิงจะมีโทสะลงไม้ลงมือกับเขา ทว่าพอประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา ในที่แห่งนั้นก็เกิดเสียงถกเถียงดังระงม อย่างไรเสียตำหนักเฉินก็เสียกำลังไปมากมายเพราะเหวยอิงจัดการให้เป็นเช่นนั้น
เหวยอิงกลับมิขุ่นเคืองแม้แต่น้อย สายตาเย็นยะเยือกกวาดมองรอบด้าน ทุกคนรู้สึกว่าสายตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แม้จะมิเอ่ยวาจามากมาย แต่คนเหล่านี้กลับสงบลง รอคอยเหวยอิงเผยไพ่ก้นหีบอย่างร้อนรน
เหวยอิงมองใบหน้าเหี้ยมเกรียมเหล่านี้ด้วยสายตาเย็นชา หัวใจมีแต่ความท้อแท้ หวนนึกถึงตอนเริ่มแรก เขาก่อร่างสร้างตำหนักเฉินให้ไวที่สุดเพื่อการแก้แค้น ดังนั้นคนมากกว่าครึ่งในตำหนักจึงเป็นโจรถ่อยคนชั่วช้าผู้เห็นแก่ประโยชน์มิขบคิดถึงบุญคุณ แม้ตนเองจะใช้กำลังและเงินทองคุมพวกเขาไว้ในมือได้อย่างอยู่หมัด จนบางครั้งถึงขั้นใช้ประโยชน์ให้พวกเขาทำงานหลายสิ่งเพื่อลู่ช่านได้ ทว่าคนเหล่านี้กลับมิพัฒนาขึ้นสักเท่าใด กระทั่งตนออกคำสั่งให้พวกเขาดักสังหารทายาทที่เหลือของลู่ช่าน คนเหล่านี้ก็มิแย้งเลยสักนิด
นอกจากองครักษ์โลหิตเหล่านี้ที่ตนคัดเลือกมายังพอมีคุณธรรมและความภักดีอยู่บ้าง คนสารเลวที่เหลือรอดมาเหล่านี้ตรงหน้าล้วนเป็นพวกที่สมควรตาย เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ความเวทนาเสี้ยวสุดท้ายก็ค่อยๆ มลายหาย เหวยอิงเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ยกหีบเข้ามา”
องครักษ์โลหิตสองนายยกหีบไม้หอมใบหนึ่งออกมาจากช่องลับอยู่ก่อนแล้ว คนหนึ่งในนั้นเปิดฝาหีบ เผยให้เห็นเม็ดกระสุนสีแดงขนาดเท่ากำปั้นมากมาย เหวยอิงชี้หีบแล้วกล่าวว่า “ของพวกนี้คือยา ‘ยิ้มพญายม’ ที่ข้าซื้อมาจากราชาพิษเซินหรูฮุ่ยในราคาสองแสนตำลึงเงิน ยิ้มพญายมมีพิษร้ายที่ทำให้รู้สึกราวกับมีไฟสุมอยู่ในร่าง ขอเพียงใช้ให้ดี หนึ่งเม็ดเอาชีวิตคนได้หลายสิบคน ตอนนี้สำนักเฟิงอี้กำลังต่อสู้อยู่กับชาวยุทธภพเจียงหนาน พวกเราเพียงต้องสกัดเส้นทางด้านหน้ากับด้านบนไว้ก็คงกำจัดคนของพวกนางได้แปดเก้าในสิบส่วนแล้ว ข้าจะนำองครักษ์โลหิตขึ้นไปบนหน้าผา กำจัดเวรยามเฝ้าระวังที่สำนักเฟิงอี้วางไว้ หลังจากนั้นทุกคนก็ลงมือได้ตามใจ
ภายในขวดใบนี้คือยาแก้พิษ หากผู้ใดกล้าตามไปด้วยกันกับข้าก็จงกินเสียหนึ่งเม็ด ลาภยศย่อมต้องเสี่ยงจึงจะได้มาครอง เมื่อการใหญ่สำเร็จแล้ว พวกเราก็คือพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย วันหน้าจะได้ร่วมเสพลาภยศความมั่งคั่ง หากผู้ใดขลาดกลัวก็จงอยู่ที่นี่ ขอเพียงมิเคลื่อนไหวตามอำเภอใจ ข้าย่อมมิถือโทษพวกเจ้า ตรงนี้มียาแก้พิษเพียงห้าสิบเม็ด มีค่าพันตำลึงทอง หากคนไปด้วยน้อยสักหน่อย ข้าก็จะได้ประหยัดยาแก้พิษอันล้ำค่าได้สักสองสามเม็ด”
คนทั้งหลายฟังจบ คนจำนวนกว่าครึ่งก็ตกตะลึงระคนยินดี บางคนแย่งชิงกันก้าวไปข้างหน้า บางคนขลาดกลัวก้าวถอยหลัง สุดท้ายก็เลือกคนเข้าร่วมภารกิจครั้งนี้ได้สามสิบห้าคน ยาแก้พิษที่เหลือเป็นของเหวยอิงกับองครักษ์โลหิต หลังจากตกลงแผนการแล้ว เหวยอิงก็ออกคำสั่งให้ทุกคนกินข้าวให้อิ่มท้อง ฟื้นฟูพละกำลัง ส่วนตนเองอุ้มลู่ถิงเดินเข้าไปในกระโจม
ลู่ถิงสะลึมสะลือมาตลอดทาง เวลานี้จึงหลับใหลไปพร้อมคราบน้ำตาแล้ว เหวยอิงมองศีรษะกลมดิกเหมือนหัวพยัคฆ์อันน่ารักน่าชังของเขาอย่างเห็นใจ สีหน้าเย็นยะเยือกบนใบหน้าค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น วางเขาลงบนฟูกเตียง ห่มผ้าห่มให้เขาอย่างดีแล้วตบหลังเบาๆ กล่อมให้เขาเข้าสู่นิทรา
ผ่านไปไม่นานเท่าใดนัก องครักษ์โลหิตคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในกระโจม เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าตำหนัก จัดการคนที่ไม่ยินดีไปหมดแล้วขอรับ”
สีหน้าของเหวยอิงกลับมาเย็นยะเยือกอีกหน เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เกิดเรื่องวุ่นวายหรือไม่”
องครักษ์โลหิตผู้นั้นรายงานว่า “เจ้าตำหนักโปรดวางใจ พวกเราวางยาในอาหารกับน้ำของคนเหล่านั้น ตอนนี้พวกเขาล้วนหลับไปแล้ว พอบอกว่าเพื่อป้องกันพวกเขาลักลอบเผยข่าว คนที่เหลือก็เข้าใจดี อย่างไรเสียไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับสำนักเฟิงอี้ซึ่งหน้า รอหลังจากพวกเราออกไปแล้ว ข้าจะทิ้งพี่น้องสักคนไว้สังหารพวกเขาทั้งหมด”
เหวยอิงพยักหน้าน้อยๆ “ดี เหลยจิ่ว เจ้าคิดว่าข้าอำมหิตเกินไปหรือไม่ แม้แต่ลูกน้องของตนเองก็ไม่ละเว้น”
เหลยจิ่วตอบเสียงเย็นชา “คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ไร้คุณธรรม แม่ทัพใหญ่เป็นเสาหลักของแว่นแคว้น ถูกขุนนางชั่วใส่ร้ายจนตาย แม้แต่พวกเราคนชั่วช้าที่สังหารคนดั่งเมล็ดงาเหล่านี้ก็ยังรู้สึกทนมิได้ แต่คนพวกนั้นกลับมิเปลี่ยนสีหน้าสักนิด กำจัดพวกเขาย่อมเป็นเรื่องสมควร ทว่า…”
พอเอ่ยมาถึงสองคำสุดท้าย เหลยจิ่วก็ลอบมองเหวยอิงแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อ “แผนการนี้ของเจ้าตำหนักทำร้ายสำนักเฟิงอี้ ลู่ฮูหยินกับพวกจอมยุทธ์ติงหมดทุกฝ่าย ผู้น้อยไม่สบายใจนัก แม้พวกติงหมิงกับพวกเราจะเป็นอริกันมาตลอด แต่ถึงอย่างไรพวเขาก็เป็นสหายคนรู้จักของแม่ทัพใหญ่ แล้วลู่ฮูหยินก็ยังอยู่ในกลุ่มนั้น เจ้าตำหนักทำเช่นนี้ออกจะอำมหิตเกินไปสักหน่อย”