ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 120 เสียใจเมื่อสาย (3)
ตอนนี้เอง บุรุษอาภรณ์สีขาวผู้นั้นก็สะบัดแขนเสื้อสกัดมีดบินไว้ สายตาทอดมองอารมณ์หวาดกลัวและเจ็บปวดบนใบหน้าของเหลยจิ่ว จากนั้นก็ปล่อยให้เขาถลามาหน้าเตียงโดยมิขัดขวาง เขาโบกมือให้ชายหนุ่มอาภรณ์สีดำที่จะไล่ตามมาโจมตีถอยออกไป เหลยจิ่วเห็นมีดบินถูกสกัดจนร่วงตกพื้น จึงค่อยรู้สึกว่ายกก้อนหินออกจากอก สอดส่ายสายตาสำรวจทั่วตัวของลู่ถิงอย่างห้ามตนเองมิได้ พอเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นดวงตาใสกระจ่างดั่งธารน้ำเหมันต์คู่นั้นของบุรุษอาภรณ์สีหิมะ ในใจยิ่งตกตะลึง
คนติดตามคนเดียวของคนผู้นี้ก็เอาชนะตนเองได้อย่างง่ายดาย ความรู้สึกอ่อนแอไร้กำลังขัดขืนทะลักขึ้นมาในหัวใจ ทว่าเขาก็หวนนึกถึงภาระสำคัญที่เจ้าตำหนักฝากฝังไว้ จึงได้แต่กล้ำกลืนความอัปยศ คุกเข่าคำนับจรดพื้นเอ่ยว่า “ขอท่านโปรดคืนคุณชายน้อยให้ข้า ผู้น้อยได้รับคำสั่งให้ดูแลเขา หากปล่อยให้ท่านพาตัวคนไป ผู้น้อยคงไม่มีคำอธิบายให้เจ้าตำหนัก”
บุรุษอาภรณ์ขาวแววตาทอประกายวูบหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เด็กคนนี้ร่างกายเจ็บป่วยแล้วพบเจอเรื่องตื่นตระหนก หากปล่อยให้คนหยาบช้าอย่างพวกเจ้าดูแลต่อไป เกรงว่าคงยากจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ข้าบังเอิญเดินทางผ่านที่แห่งนี้ เห็นว่าเด็กคนนี้มีรากฐานร่างกายดีจึงตั้งใจรับเขามาไว้ข้างกาย นี่นับว่าเป็นเจตนาดี เจ้าเองก็มิใช่สหายญาติผู้ใหญ่ของเขา มีสิทธิ์อันใดขัดขวางข้ามิให้พาตัวเขาไป”
เหลยจิ่วเหมือนจะอ้าปากพูดแต่ก็หยุด เขาไม่รู้ตัวตนของคนผู้นี้ ฐานะของคุณชายน้อยจะเปิดเผยง่ายๆ มิได้
เห็นเขาเป็นเช่นนี้ บุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นก็อุ้มลู่ถิงตั้งท่าจะเดินออกไปด้านนอก เหลยจิ่วตื่นตระหนกตั้งใจจะก้าวเข้าไปหา แต่ถูกชายหนุ่มอาภรณ์สีดำขัดขวางไว้ เหลยจิ่วรู้ว่าตนเองชนะมิได้ จึงเอ่ยอย่างหดหู่ “คุณชายน้อยเป็นบุตรชายคนเล็กของแม่ทัพใหญ่ลู่ ผู้น้อยรับคำสั่งให้ดูแลเขา พี่ชายพี่สาวของคุณชายน้อยล้วนยังมิทราบเป็นตายร้ายดี บนโลกใบนี้สายเลือดของแม่ทัพใหญ่คงเหลือเพียงเด็กคนนี้ ขอท่านผู้สูงส่งโปรดละเว้น อย่าบังคับพาตัวคุณชายน้อยไปเลย”
เท้าของคนผู้นั้นหยุดชะงัก สายตาทอประกายวูบไหว ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “เขาเป็นลูกคนเล็กของลู่ช่าน เวลานี้ก็สมควรอยู่ในขบวนเนรเทศไปหนานหมิ่นกับลู่ฮูหยินสิ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่”
เหลยจิ่วกลัวว่าเขาจะพาลู่ถิงจากไป อีกทั้งคิดว่าเวลานี้เหวยอิงคงลงมือแล้ว จึงมิจำเป็นต้องปิดบังอีก ด้วยเหตุนี้จึงเล่าอย่างคร่าวๆ เปลี่ยนหนักเป็นเบาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เดิมทีหวังเพียงว่าคนผู้นี้ฟังจบจะทิ้งลู่ถิงไว้ อย่างน้อยที่สุดก็บอกชื่อแซ่ให้ตนทราบว่าคุณชายน้อยถูกผู้ใดพาตัวไป วันหน้าจะได้มีโอกาสค้นหาเบาะเสะ คิดมิถึงว่าหลังจากคนผู้นั้นฟังจบกลับถอนหายใจยาวเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าก็คิดอยู่ว่าการกระทำของเหวยอิงไม่ค่อยสมเหตุสมผล คิดมิถึงว่าเขาจะมีความตั้งใจเช่นนี้ ข้าดูแคลนเขาแล้ว”
เหลยจิ่วใจสะท้าน เข้าใจทันทีว่าคนผู้นี้ทราบเรื่องของพวกตนอยู่แล้ว เมื่อครู่เพียงตั้งใจหลอกถามเท่านั้น เขาโกรธจัด มิสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น เก็บดาบเหล็กที่ร่วงหล่นบนพื้นเมื่อครู่ขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าไปโจมตีคนผู้นั้น
คิดมิถึงเพิ่งจะขยับร่าง บุรุษอาภรณ์สีหิมะผู้นั้นก็สะบัดแขนเสื้อ เหลยจิ่วรู้สึกว่าจุดลมปราณหลายแห่งชาหนึบ ร่างกายล้มคว่ำลงบนพื้น ปลายหางตามองเห็นบุรุษอาภรณ์สีขาวอุ้มลู่ถิงออกไป เขาตะโกนลั่น “อย่าพาคุณชายน้อยไป พวกเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่”
หูได้ยินแต่เสียงของชายหนุ่มชุดดำคนนั้น “ลู่ถิงอยู่ข้างกายท่านสี่ของพวกเราย่อมปลอดภัยไร้กังวล เจ้ามิต้องเป็นห่วง ดูเจ้าก็เป็นชายชาตรีนิสัยเที่ยงธรรมคนหนึ่ง ผู้แซ่หลิงจะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง มิว่าสำนักเฟิงอี้หรือเหวยอิง หนนี้ล้วนต้องตายทั้งสิ้น เจ้าหนีเอาชีวิตรอดไปเสียเถิด”
เหลยจิ่วได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกราวกับสมองระเบิดดังบึ้ม ความคิดอันน่าเหลือเชื่อประการหนึ่งผุดขึ้นมา ในหัวใจร่ำร้องว่า พวกเขาจะต้องเป็นคนต้ายงแน่ พวกเขาจะต้องเป็นคนต้ายงแน่
ทว่าชั่วพริบตานั้นโทสะแล่นเข้าหัวใจ แม้แต่คำพูดสักคำก็ตะโกนมิออก เหลยจิ่วสลบไปทั้งอย่างนั้น
…
ติงหมิงเสียบกระบี่สังหารสตรีอาภรณ์สีหิมะที่เพิ่งปลิดชีพพรรคพวกคนหนึ่งของตน หลังจากนั้นถอยหลังสองก้าวกลับไปอยู่ในกระบวนทัพของฝ่ายตนอย่างรวดเร็ว กระบี่คมกริบที่ไล่ตามมาจู่โจมถูกกระบี่ยาวสองเล่มข้างตัวเขาร่วมแรงกันขัดขวางไว้ ในเวลาเดียวกันนี้ ลูกศรของหน้าไม้ดอกหนึ่งก็พลันพุ่งทะลุช่องว่างระหว่างคนที่รุกรับออกไปด้านนอก แม้จะถูกศัตรูสกัดร่วงหล่นบนพื้น แต่ก็บีบให้ศัตรูถอยหลังไปได้สำเร็จ
ติงหมิงเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก หันหลังกลับไปมองอย่างมิได้ตั้งใจ ก็เห็นเด็กหนุ่มอายุสิบเอ็ดสิบสองปีคนหนึ่งถือหน้าไม้อยู่ เขาจับจ้องมือกระบี่สำนักเฟิงอี้ด้านนอกด้วยสายตาวาวโรจน์ คอยหาโอกาสยิงหน้าไม้
ติงหมิงลอบตกตะลึงอยู่ในใจ แต่ในเวลาเดียวกันก็ร้อนรนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ แม้ตนจะตั้งกระบวนทัพวงกลมได้ทันเวลา แต่กำลังของสำนักเฟิงอี้ก็ลึกล้ำมิอาจหยั่ง ยังมิทันถึงหนึ่งชั่วยาม คนที่ตนพามาด้วยก็เหลือเพียงครึ่งเดียวแล้ว ทหารของตระกูลลู่ตอนนี้เหลืออยู่เพียงห้าหกคน คนที่เหลือล้วนมีแต่สตรีกับเด็ก แม้ทหารราชองครักษ์ยังเหลืออีกยี่สิบกว่าคน แต่พวกเขาขวัญกระเจิงไปเสียแล้ว แต่เพราะสำนักเฟิงอี้ไม่คิดจะยั้งมือแม้แต่น้อย ดังนั้นหากยังไม่ตาย พวกเขาก็ต้องสู้ต่ออย่างเลี่ยงไม่ได้
สถานการณ์ตอนนี้ยากจะป้องกันไว้ได้ ติงหมิงเกิดความคิดอยากจะฝ่าวงล้อม ทว่าสำนักเฟิงอี้ปิดซ้ายขวาบนล่างไว้ทั้งหมด ไม่มีหนทางรอดเลยแม้แต่ทางเดียว
ทันใดนั้นทหารตระกูลลู่คนหนึ่งก็ถูกสตรีผมเทาแทงกระบี่ปลิดชีพ พวกติงหมิงรีบคุ้มกันเขากลับมาด้านหลัง หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งข้างกายลู่ฮูหยินกรีดร้องแล้วเป็นลมสลบไปทันที ในเวลาเดียวกันเด็กหนุ่มผู้ถือหน้าไม้ช่วยสู้อยู่คนนั้นก็ตะโกนเสียงเศร้าสลด “ท่านพ่อ!”
ติงหมิงจิตใจสั่นไหว ร่างกายขยับวูบเดียวก็ก้าวพ้นแนวรบ หนึ่งกระบี่ปานประหนึ่งเงาดาราร่วงหล่น สังหารสตรีผมเทาผู้นั้น หลังจากนั้นก็เหินร่างถอยกลับ ประกายกระบี่หลายสายติดตามมาดั่งเงาตามตัว ติงหมิงทราบว่าหากถอยต่อ กระบวนทัพวงกลมต้องถูกศัตรูทลายแน่ เขาจึงหยุดเท้า ใช้กำลังของตนองเพียงคนเดียวต้านทานเงากระบี่ที่โถมมาดุจภูผา
หลิงอวี่เห็นทุกสิ่งชัดเจนจึงออกคำสั่ง “อย่าปล่อยให้เขากลับไปได้”
หลังจากคำสั่งของนาง สตรีอาภรณ์สีหิมะหลายคนที่แต่เดิมถือกระบี่ชมการต่อสู้อยู่ก็ก้าวเข้ามาร่วมศึกด้วย คนทั้งหลายของสำนักเฟิงอี้ต่างทราบดีว่าขอเพียงสังหารติงหมิงได้ คนเหล่านี้ที่ถูกล้อมอยู่ก็จะไม่มีกำลังขัดขืนอีกต่อไป ดังนั้นพวกนางจึงทุ่มกำลังทั้งหมด ปราณกระบี่ตวัดฉวัดเฉวียน เงาโลหิตสาดกระเซ็น ติงหมิงทราบว่ามาถึงจุดชี้เป็นชี้ตายแล้ว จึงมิอาจถนอมเรี่ยวแรงเอาไว้เผื่อถอยได้อีก เขาทุ่มกำลังทั้งหมดใช้วิชากระบี่
ทั้งสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันมิทันสังเกตว่าทหารราชองครักษ์คนหนึ่งที่อยู่ในกระบวนทัพใกล้กับทหารตระกูลลู่แววตาเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ทหารราชองครักษ์คนนี้แต่เดิมเป็นทหารราชองครักษ์ธรรมดาคนหนึ่ง หากจะบอกว่ามีสิ่งใดแตกต่างก็คงเป็นเรื่องที่เขาอาศัยวรยุทธ์อันอ่อนด้อยมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้
เวลานี้เขากำลังช่วยยอดฝีมือจากยุทธภพคนหนึ่งต้านการโจมตีของมือกระบี่หญิงอาภรณ์สีหิมะ แต่ทันใดนั้นหูของเขาก็ได้ยินเสียงวิหคร้องเป็นจังหวะ ระหว่างที่เสียงร้องเปลี่ยนผัน แววตาของเขาก็เปลี่ยนไปด้วย ฉับพลันทันใด ดาบเหล็กในมือของเขาก็ฟันขวาง หนึ่งดาบนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก ไม่ต้องพูดถึงมือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้ฝั่งตรงข้าม แม้แต่ยอดฝีมือของกองกำลังอาสาแห่งอู๋เย่ว์คนนั้นที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาก็ยังตกะตลึง
ชั่วพริบตาเดียวดาบก็ฟันเข้าที่หน้าอกและช่วงท้องของมือกระบี่หญิงผู้นั้น หลังจากนั้นเขาก็ฉวยโอกาสแย่งชิงกระบี่ยาวของมือกระบี่หญิงผู้นั้นมา ประกายกระบี่ฉายเจิดจ้า ว่องไวประหนึ่งดาวตก สะบั้นลำคอของมือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้สำเร็จอีกหนึ่งคน
ต่อจากนั้นเขาก็ถอยไปทางลู่ฮูหยินอย่างรวดเร็ว มิสนใจแววตาประหลาดใจของคนทั้งหลายรอบตัว ผู้ใดก็ไม่คาดคิดว่าทหารราชองครักษ์ธรรมดาๆ คนหนึ่งจะมีฝีมือถึงขั้นนี้ เขาฝ่าทะลวงมาถึงข้างกายลู่ฮูหยินได้ราบรื่นเสมือนผ่าปล้องไผ่ หญิงรับใช้สองนางที่ปกป้องอยู่ข้างกายลู่ฮูหยินตวาดเสียงใสเหวี่ยงดาบเข้าขวางพร้อมกัน กระบี่ในมือพลทหารนายนั้นทอประกายวูบเดียวก็โจมตีดาบเหล็กในมือพวกนางจนร่วงหล่น เขาตะโกนดัง “ลู่ฮูหยิน ข้าคือศิษย์ของเจียงโหว”
ลู่ฮูหยินกับผู้คนทั้งหลายข้างกายนางต่างเผยสีหน้างุนงงระคนตกตะลึง แทบจะในเวลาเดียวกันนี้เอง เสียงตวาดก็ดังมาจากบนหน้าผา ลูกกระสุนสีแดงนับไม่ถ้วนโปรยลงมาจากฟ้า ก่อนจะระเบิดออก เพียงชั่วพริบตา หมอกควันสีขาวก็ม้วนตัวเข้าปกคลุมสองฝั่งที่ต่อสู้กันอยู่
เวลานี้ดวงตะวันกำลังจมลงสู่ทิศประจิม หมอกสนธยาปกคลุมหนาทึบ แสงอัสดงสีโลหิตสะท้อนบนหมอกขาวทำให้หมอกขาวขมุกขมัวแลดูงามหยาดเยิ้มขึ้นหลายส่วน แต่ทิวทัศน์งามเช่นนี้กลับมิมีผู้ใดชื่นชม เสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนตกใจดังออกมาจากกลุ่มหมอกสีขาว เงาคนชุดดำหลายสิบคนปรากฏตัวขึ้นบนหน้าผาก่อนจะโยนลูกกระสุนลงมาอย่างต่อเนื่อง พื้นที่กึ่งปิดด้านล่างมีหมอกขาวปกคลุมทั่วไปหมดจนมองไม่เห็นเงาคน
แทบจะในพริบตาที่หมอกขาวเข้าปกคลุม ผู้คนของสำนักเฟิงอี้ก็สัมผัสได้ว่าในหมอกมีพิษร้าย พิษร้ายแรงอย่างยิ้มพญายมแม้จะร้อนแผดเผา แต่หากกลั้นลมหายใจไว้แล้วรับพิษจากทางผิวหนังเพียงอย่างเดียวก็จะทนได้เพิ่มอีกครู่หนึ่ง
คนส่วนใหญ่แย่งชิงกันเหินขึ้นด้านบน ทว่าเวลานี้เอง เหนือหน้าผากลับมิเพียงมีกระสุนพิษมากกว่าเดิมขว้างลงมา ท่ามกลางหมอกควันยังมีลูกศรกับอาวุธลับแฝงมาด้วย ศิษย์หญิงสำนักเฟิงอี้ที่เหินขึ้นไปกลุ่มแรกสุดพากันหล่นร่วงลงมา ท่ามกลางหมอกขาวมีเสียงร่างมนุษย์ตกกระทบก้อนหิน จวบจนกระทั่งด้านบนไม่มีกระสุนควันพิษขว้างลงมาอีกแล้ว ถึงมีเงาสิบกว่าร่างอาศัยเส้นด้ายเหินขึ้นมาบนหน้าผาประหนึ่งแหวกสายหมอก
เหนือหน้าผาควันพิษเบาบางจึงมองเห็นว่าผู้ที่พุ่งออกมาคือยอดฝีมือผู้มีพลังภายในลึกล้ำและมีประสบการณ์เจนจัดเช่นหลิงอวี่กับจี้เสียเป็นต้น พวกนางกลั้นลมหายใจแทบจะตั้งแต่ในตอนแรก หลังจากนั้นก็อดทนไว้แล้วเหินขึ้นมาเป็นกลุ่มสุดท้าย ทั้งไม่มีสหายร่วมสำนักขัดขวาง และด้านบนก็ไม่มีลูกศรหรืออาวุธลับโจมตีมาอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นพวกนางจึงขึ้นมาเหยียบบนหน้าผาได้อย่างราบรื่น พวกนางมีประสบการณ์เต็มเปี่ยม แทบจะในเวลาเดียวกับที่เหยียบหน้าผาก็เหวี่ยงกระบี่เข้าเข่นฆ่าทันใด แม้หมอกสีขาวจะยังบดบังสายตา ทว่าโจรถ่อยเจ็ดแปดคนที่กระโจนเข้ามาขวางก็ถูกพวกนางสังหารจนสิ้น
ทว่าในตอนที่พวกนางเหยียบขึ้นมาถึงยอดผา ใต้หน้าผาก็กลายเป็นทะเลหมอกผืนหนึ่งแล้ว พวกนางได้ยินเสียงครวญครางดังแว่วๆ มาจากเบื้องล่าง คนที่หนีออกมาได้มีไม่ถึงสิบห้าคน ฝั่งตระกูลลู่ไม่มีผู้ใดฝ่าออกมาได้สักคนเดียว