ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 124 แค้นใจมิได้รู้จัก (1)
ตั้งแต่เดินทางกลับมา เจียงเจ๋อก็ล้มหมอนนอนเสื่อ เพราะศึกที่ฉู่โจวใกล้อุบัติ เขาจึงถูกส่งตัวมารักษาที่สวีโจว เวลาผันผ่านแรมปีกว่าจะหายดี นับจากนั้นเจียงเจ๋อมิสนใจเรื่องราวทั้งหลายในโลก ถวายหนังสือขอเกษียณกลับบ้านเกิด จักรพรรดิมิทรงอนุญาต
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
ตอนที่เหวยอิงกับหลิงอวี่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่บนหน้าผา เส้นทางภูเขาใต้หน้าผาก็เงียบกริบไปแล้ว ผู้คนบนหน้าผาคิดว่าควันพิษทำให้มิเหลือผู้ใดรอดชีวิตแล้ว ดังนั้นจึงมิสนใจความเคลื่อนไหวด้านล่างอีก ทว่าพวกเขามิรู้เลยว่าท่ามกลางควันพิษที่ยังมิสลายปรากฏภาพอันแตกต่างจากที่พวกเขาคิดอย่างสิ้นเชิง
จังหวะที่ทหารราชองครักษ์ตัวปลอมผู้นั้นพุ่งมาถึงหน้าลู่ฮูหยินแล้วเปิดเผยตัวตน ก็เป็นเวลาเดียวกับที่เหวยอิงใช้พิษจู่โจมพอดี ควันพิษปกคลุมไปทั่วจนบดบังท้องนภาและดวงตะวัน แต่มันยังมิทันลอยลงมาถึงใต้หน้าผา สตรีร่างกายอ่อนแอเช่นลู่ฮูหยินกับคนอื่นๆ โงนเงนทำท่าจะล้ม นายทหารผู้นั้นมิมีเวลาอธิบาย เขาล้วงขวดหยดใบหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ เทยาลูกกลอนจำนวนหนึ่งออกมาแล้วรีบเอ่ยว่า “นี่คือยาสูตรลับของสวนเหมันต์ แก้พิษได้ร้อยชนิด ฮูหยินรีบกินขอรับ”
เวลานี้ลู่ฮูหยินเข้าใจกระจ่างแล้ว คนผู้นี้จะต้องเป็นยอดฝีมือที่เจียงเจ๋อส่งมาคุ้มครองพวกตนแม่ลูกอย่างแน่นอน แม้นางจะมีฐานะเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์แห่งหนานฉู่ แต่ลู่ฮูหยินก็มักจะได้ยินสามีกล่าวถึงเจียงเจ๋ออยู่เสมอ ดังนั้นนางจึงมิได้รังเกียจเดียดฉันท์เจียงเจ๋อมากนัก ทว่าทันใดนั้นเอง นางก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าหากกินยาแก้พิษเข้าไปย่อมหมายความว่าติดค้างบุญคุณของต้ายง ดวงตาจึงฉายแววลังเล
แม้เวลานี้คนของตระกูลลู่ต่างรับยาแก้พิษมาแล้ว ทว่าสายตาของพวกเขากลับมองไปที่ลู่ฮูหยิน รอคอยคำสั่งของนาง ควันพิษค่อยๆ คืบคลานลงมาแล้ว ทุกคนต่างโงนเงนจวนเจียนจะล้ม ทว่าแม้แต่เด็กน้อยที่ยังมิทันโตเป็นผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ยังมิยอมกินยาแก้พิษ
นายทหารผู้นั้นเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ในใจก็ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า ทว่ากลับมิเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมแม้สักคำ เขาคือฉวีหวง หนึ่งในแปดหัวหน้าแห่งค่ายลับ เขาทราบมาตลอดว่ามิตรภาพศิษย์อาจารย์ระหว่างเจียงเจ๋อกับลู่ช่านลึกซึ้งเป็นที่สุด แม้ต้องแยกจากกันกลางทาง แต่ก็ยังคงห่วงใยกันและกัน หนนี้เจียงเจ๋อล้มหมอนนอนเสื่อเพราะการตายของลู่ช่าน ด้วยเหตุนี้แม้ฉวีหวงจะนับถือนิสัยของลู่ช่านเช่นกัน แต่ในใจก็เกิดความรู้สึกริษยาด้วย ดังนั้นเขาจึงจงใจไม่เกลี้ยกล่อม ตั้งใจจะลองใจลู่ฮูหยิน
ลู่ฮูหยินแววตาสั่นไหว แววตาเจ็บปวดปรากฏในดวงตา ก่อนจะส่งยาแก้พิษเข้าปาก เมื่อเห็นว่านางยอมรับ ผู้คนของตระกูลลู่จึงกินยาของแต่ละคน แต่มีเด็กน้อยสองคนที่ไม่มีแรงกินยาแล้ว สหายที่อยู่ด้านข้างจึงช่วยพวกเขาจนกินยาแก้พิษลงไปได้สำเร็จ
ฉวีหวงเห็นทุกคนกินยาแก้พิษลงไปแล้วก็โล่งใจ ยาแก้พิษชนิดนี้ล้ำค่ายิ่งนัก แม้แต่พวกแปดหัวหน้าแห่งค่ายลับก็มีติดตัวอยู่มากที่สุดแปดเม็ดสิบเม็ดเท่านั้น หนนี้ท่านอาจารย์ให้คนนำมามอบให้เพิ่มเป็นพิเศษเตรียมไว้อีกยี่สิบเม็ด แต่เดิมตนเองยังคิดว่ามิจำเป็น คิดมิถึงว่ากลับได้ใช้จริงๆ หากมิใช่เช่นนี้ ยาแก้พิษที่ตนพกติดตัวมาจะต้องไม่พอใช้อย่างแน่นอน ฉวีหวงมองยาแก้พิษเจ็ดเม็ดที่เหลืออยู่ในขวดแล้วส่ายศีรษะเบาๆ ตั้งใจจะเก็บยาไป
ตอนนี้เอง ติงหมิงก็พรวดเข้ามาถึงตรงหน้า ผู้ฝึกวรยุทธ์หากพบอันตราย ปฏิกิริยาแรกที่มีย่อมเป็นการปกป้องตนเอง ทันทีที่ควันพิษลอยลงมา เขาก็กลั้นลมหายใจฝืนต้านไว้ ทั้งยังกินยาแก้พิษที่มักจะเตรียมติดตัวไว้จำนวนหนึ่งลงไปทันที ทว่าเพราะยาแก้ไม่ตรงชนิดกับพิษนักจึงได้ผลน้อยอย่างยิ่ง
ติงหมิงมองเห็นสหายที่เหลือรอดจากการต่อสู้อันรากเลือดต้องพิษล้มลง แต่ตนเองกลับไร้กำลังทำสิ่งใด โชคดีเวลานี้คนของสำนักเฟิงอี้ตื่นตระหนกอยู่ ติงหมิงจึงออกคำสั่งให้ฝ่าวงล้อม เมื่อเขาพาคนถอยไปใต้หน้าผาแล้ว จึงคิดจะฝืนตัวเองมาพาพวกลู่ฮูหยินฝ่าออกไปด้วย ทว่าพอมาถึงกลับเห็นพวกลู่ฮูหยินปลอดภัยดี เขามิทันสังเกตเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์เมื่อครู่ เวลานี้ได้เห็นภาพประหลาดเช่นนี้จึงตกตะลึง ตกใจจนร่างกายโงนเงนจะล้มขึ้นมานิดๆ
หลังจากลู่ฮูหยินกินยาแก้พิษลงไป นางก็ยังมีอาการเหนื่อยอ่อนอยู่บ้าง แต่ไม่อึดอัดแน่นหน้าอก เวียนหัวตาลายอีกแล้ว พอเห็นพวกติงหมิงมาจึงรีบถามฉวีหวงว่า “ขอถามท่านยังมียาแก้พิษเหลืออีกหรือไม่”
ฉวีหวงแววตาวูบไหว มองติงหมิงกับคนหลายคนด้านหลังที่ฝืนกลั้นลมหายใจจนหน้าดำ คิดมิถึงว่าพวกเขาจะมิคิดหนีเอาตัวรอดแต่กลับมาช่วยคนก่อน ในใจเกิดความรู้สึกนับถือ พอทบทวนแล้วว่าไม่มีคำสั่งให้ส่งพวกเขาลงสุสานไปด้วย ฉวีหวงก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วส่งยาที่เหลือให้
ติงหมิงเห็นลู่ฮูหยินปลอดภัยก็ทราบว่ายาตัวนี้คงได้ผล แม้มิทราบว่านายทหารผู้นี้มียาแก้พิษได้เช่นไร แต่เขาก็รีบแจกจ่ายยาให้ทุกคน เพียงแต่ว่ายาเหลืออยู่เพียงเจ็ดเม็ด แต่นับรวมตัวติงหมิงแล้วมีคนเหลืออยู่แปดคนที่ฝืนมาจนถึงตอนนี้
ติงหมิงลังเลอยู่เพียงครู่เดียวก็รีบยัดยาแก้พิษเม็ดสุดท้ายเข้าไปในปากของสหายที่จวนเจียนจะสลบคนหนึ่งด้านข้างอย่างรวดเร็ว แต่ตัวเองกลับหน้าแดงหูแดงเพราะกลั้นลมหายใจนานเกินไปจนฝืนมิไหวแล้ว เขาอดทนมิไหว สูดลมหายใจเอาควันพิษครึ่งคำเข้าไป ทันใดนั้นฟ้าดินก็หมุนคว้าง ความรู้สึกเย็นเฉียบแผ่ไปทั่วร่าง ร่างกายทรุดยวบ ทว่ากลับถูกคนผู้หนึ่งประคองไว้ จากนั้นยาเม็ดหนึ่งก็ถูกยัดเข้ามาในปาก ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยได้สติกลับมา เห็นทหารราชองครักษ์หน้าตาธรรมดาผู้นั้นกำลังมองตนเองด้วยแววตาที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง จึงอดเอ่ยเสียงเบามิได้ว่า “ขอบคุณที่ท่านช่วยชีวิต ท่านคือผู้ใด”
ฉวีหวงถอนหายใจแผ่วเบา “จอมยุทธ์ติงไม่ถือโทษข้าก็พอแล้ว ยาแก้พิษหมดแล้ว ข้าจึงให้ท่านกินยาที่ใช้พิษต้านพิษได้แทน มิว่าพิษร้ายอันใด มันจะสะกดไว้ได้ชั่วเวลาหนึ่ง แต่หากหลังจากนั้นมิได้หมอเลื่องชื่อรักษา เกรงว่าคงจะรักษาชีวิตไว้มิได้
ข้ามิกลัวการบอกกล่าวตัวตนกับท่าน ข้านามว่าฉวีหวง เป็นลูกศิษย์ในนามของเจียงเจ๋อ หนนี้ได้รับคำสั่งให้เดินทางลงใต้มาปกป้องครอบครัวของลู่ฮูหยิน เพราะมิสะดวกจะให้ลู่ฮูหยินทราบ ข้าจึงคิดหาวิธีทำให้ทหารราชองครักษ์นายหนึ่งเดินทางมามิได้ แล้วปลอมตัวปะปนเข้ามาในกลุ่มทหารราชองครักษ์ที่ต้องคุมขบวนแทน วันนี้อับจนหนทางจึงต้องเปิดเผยตัวตน จอมยุทธ์โปรดเห็นแก่ที่เคยลงเรือลำเดียวกัน พอผ่านพ้นภัยอย่าได้คิดแค้นเรื่องนี้อีกดีหรือไม่”
แม้ติงหมิงจะตกใจ แต่ก็รู้สึกรางๆ ว่าเรื่องเป็นเช่นนี้สมเหตุสมผลแล้ว ผู้คนเล่าลือเหตุการณ์ที่ฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อเดินทางไปไว้อาลัยที่ก่วงหลิงไปทั่วเจียงหนาน ในเมื่อตอนนี้ลู่ช่านตายแล้ว สถานการณ์ที่เจียงเจ๋อกับตระกูลลู่ต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อกันก็มิมีอยู่อีกต่อไป ถ้าเช่นนั้นการที่เจียงเจ๋อลงมือปกป้องคนที่เหลืออยู่ของตระกูลลู่ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
ถึงติงหมิงจะยังระแวงนายทหารนามฉวีหวงผู้ซ่อนฝีมือไว้เนิ่นนานคนนี้อยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้ขบคิดเรื่องเหล่านี้ เขาเอ่ยเสียงเบา “ข้างบนกำลังต่อสู้กันอยู่ พวกเราคุ้มกันลู่ฮูหยินออกไปจากที่แห่งนี้ก่อนเป็นอย่างไร”
แม้จะได้ยินบทสนทนาจากบนหน้าผา ทราบเจตนาจะพลีชีพตายพร้อมกันของเหวยอิงแล้ว แต่พอคิดถึงการกระทำที่ทำร้ายมิเลือกมิตรเลือกศัตรูของเหวยอิง ในใจเขาก็ยังเหลือความเคืองแค้นอยู่ จึงมิยินดีจะไปช่วยเหลือ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ตอนนี้ตัวเขากดพิษในร่างไว้ได้ แต่ตัวเขาก็มิเหลือพละกำลังอีกแล้ว ส่วนคนที่เหลือแก้พิษแล้วก็จริง แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าเลือดลมปั่นป่วน ไร้หนทางจะต่อสู้อีก
ทุกคนหารือกันเสร็จก็ให้ฉวีหวงนำทางลอบออกไปจากที่แห่งนี้ เวลานี้บนทางภูเขามีศิษย์สำนักเฟิงอี้ที่มิรู้ว่าเป็นหรือตายนอนล้มอยู่เกลื่อนพื้น พวกติงหมิงลอบตกใจ หากมิใช่เพราะฉวีหวงช่วยเหลือ น่ากลัวว่าพวกเขาก็คงจะหนีมิพ้นถูกควันพิษทำร้ายดุจเดียวกัน มาถึงตอนนี้แม้ทุกคนจะยังระแวงอยู่ แต่ก็มิสะดวกจะเผยความแคลงใจ พากันตามฉวีหวงจากไป
เดินทางมาสักพักใหญ่ ท้องฟ้าจวนจะมืดสนิท เส้นทางภูเขาสูงชันเดินยากลำบาก ท่ามกลางความมืด แม้มีพวกติงหมิงคอยคุ้มกันและประคองก็ยังยากเลี่ยงการสะดุดล้ม ฉวีหวงเห็นว่าเดินมาไกลมากแล้วจึงล้วงมุกราตรีพวงหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ แสงของไข่มุกมิสว่างนัก หากอยู่ไกลย่อมยากจะสังเกตเห็น แต่มันพอส่องสว่างบริเวณหนึ่งจั้งกว่ารอบตัวได้ เพียงแต่มุกราตรีพวงนี้แพงยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นมุกแต่ละเม็ดในพวงยังขนาดเท่ากัน กลมเกลี้ยงแวววาว มิมีตำหนิแม้แต่น้อย มีค่าควรเมืองอย่างแท้จริง
พวกติงหมิงรู้สึกตาพร่าในพริบตาแรก แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็ล้วนเป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่เข้มแข็ง มิเช่นนั้นพวกเขาคงมิอาจเอาชีวิตรอดมาจากสถานการณ์อันตรายได้ พวกเขาเรียกสติกลับมาได้ในทันที แต่พวกเขามิเข้าใจว่าคนผู้นี้หยิบมุกราตรีออกมาอวดด้วยเหตุใด
ฉวีหวงเหมือนจะไม่สังเกตสีหน้าของทุกคนสักนิด เขากระชากสายสร้อยจนขาดแล้วแจกจ่ายมุกราตรีให้ทุกคน หลังจากนั้นจึงเดินนำหน้า ทุกคนถึงเพิ่งเข้าใจเจตนาของฉวีหวง
ติงหมิงที่เดินอยู่ท้ายสุดถอนหายใจอยู่ในใจ แม้จะเป็นเพียงการให้หยิบยืมมุกราตรีเพื่ออาศัยแสงส่องทาง แต่ความใจกว้างเสียสละเช่นนี้ แม้แต่ตนเองที่เห็นวีรบุรุษในหนานฉู่มาจนชินก็ยังรู้สึกชื่นชม คนผู้นี้ไร้ชื่อเสียง แต่กลับมีหัวจิตหัวใจเช่นนี้ ต้ายงจะครอบครองใต้หล้าสำเร็จก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว
เดินมาได้มินาน ฉวีหวงก็พาทุกคนเข้ามาในหุบเขาแห่งหนึ่ง เห็นด้านในมีกระโจมตั้งอยู่หลายหลัง ร่องรอยของดินโคลนยังใหม่เอี่ยม เห็นชัดว่าเพิ่งตั้งกระโจมเสร็จ น่าจะยังมิถึงครึ่งชั่วยาม ในกระโจมมีเครื่องนอนและน้ำร้อนเตรียมเอาไว้พร้อม แล้วยังมีอาหารร้อนควันฉุย ทว่าไม่มีผู้คนแม้แต่คนเดียว
ฉวีหวงเชิญทุกคนเข้ามาพักด้านใน ติงหมิงขมวดคิ้วแต่มิพูดคำใด คนผู้นี้ตระเตรียมทุกสิ่งไว้ที่นี่พร้อมสรรพ หรือว่าสิ่งที่ตนเองพานพบจะอยู่ในแผนการของคนผู้นี้ ทว่าเวลานี้เขามิสะดวกจะถามไถ่ จึงปล่อยให้ฉวีหวงกะเกณฑ์สั่งการ คนผู้นี้หน้าตามิสะดุดตา ดูธรรมดาสามัญ แต่กลับใจกว้างเยือกเย็น สั่งการได้อย่างสุขุม คิดว่าที่เขาบอกว่าตนเป็นศิษย์ของเจียงเจ๋อคงมิใช่คำลวง
ทันใดนั้นเสียงร้องตกใจระคนยินดีของลู่ฮูหยินก็ดังออกมาจากในกระโจม ติงหมิงใจสะท้าน มิสนใจจะระแวดระวังอีก สาวเท้าปรี่เข้าไปทันที เมื่อเปิดม่านออกก็เห็นลู่ฮูหยินอุ้มลู่ถิงไว้ในอ้อมแขน น้ำตาไหลอาบใบหน้า ลู่ถิงสีหน้าดีขึ้นมากแล้ว เขากำลังใช้มือน้อยๆ เช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของมารดา
ในใจติงหมิงทั้งตกใจทั้งยินดีอย่างยิ่ง เขารีบถอยออกไปด้านนอก เห็นฉวีหวงยิ้มน้อยๆ อยู่พอดีจึงคิดจะเอ่ยปากถาม ทว่าเวลานี้เองไผ่ระทมกลับยิ้มหยันเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าก็ร่วมมือกับเหวยอิงสินะ มิน่าเหวยอิงถึงหันมาสู้กับสำนักเฟยอี้”