ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 13 ห่านป่าผวาเหลือเพียงเงา (2)
ในใจลู่อวิ๋นเต็มไปด้วยความสงสัย มิเข้าใจว่าเหตุใดพระชายาฉีอ๋องจึงต้องเดินทางไปหนานซานด้วยรถม้าฝีเท้าไวกับผู้ติดตามเพียงเล็กน้อย เขาอยู่ที่จวนฉีอ๋องมาหลายวันแล้วจึงทราบว่าจวนฉีอ๋องมิได้มีคฤหาสน์ที่หนานซาน ได้ยินมาว่าหลี่เสี่ยนมีนิสัยประหลาด บอกว่ามิชมชอบเป็นปราชญ์ซ่อนตัวบนภูเขาจงหนาน ดังนั้นเขาจึงมีคฤหาสน์อยู่ที่ชานเมืองตะวันตกกับชานเมืองตะวันออก มีเพียงบนภูเขาหนานซานที่มิได้สร้างคฤหาสน์เอาไว้
แต่ลู่อวิ๋นก็คร้านจะคิดมาก ขอเพียงมีโอกาสไปหนานซานก็ดีเยี่ยมแล้ว ในใจเขาคิดคำนวณว่าจะตามหาคฤหาสน์ของเจียงเจ๋อเช่นไร ลอบปะปนเข้าไปลอบสังหารเช่นไร มิได้สนใจสายตาน่ากลัวของหลี่หลินที่มองมาทางเขาในบางครั้งอย่างสิ้นเชิง
หนานซานอยู่ห่างจากนครฉางอันถึงห้าหกสิบลี้ อีกทั้งยังต้องอ้อมชานเมืองตะวันตกไป หลี่หลินรับคำบัญชาจากบิดา ห้ามมิให้หลินปี้เหน็ดเหนื่อย ตกกลางคืนจึงต้องพักที่ตู้ชวี่ จนบ่ายคล้อยวันที่สองจึงเดินทางมาถึงคฤหาสน์หนานซานในที่สุด
ภูเขาหนานซานมีผืนป่าและหุบเขาอันเงียบสงบงดงาม แลดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม แม่น้ำจ้าวสุ่ย เฟิงสุ่ย ป้าสุ่ย ฉ่านสุ่ย เฮ่าสุ่ยล้วนมีต้นกำเนิดมาจากภูเขาหนานซาน ไหลขึ้นเหนือไปยังแม่น้ำเว่ย
คฤหาสน์หนานซานที่หลินปี้ต้องการเดินทางไปเยือนตั้งอยู่ที่ตีนเขาทางทิศเหนือของภูเขาหนานซาน ธารน้ำสายหนึ่งไหลคดเคี้ยวลงมา ริมธารน้ำสร้างเรือนริมน้ำไว้หลายหลัง สองฟากฝั่งมีก้อนหินและโขดหินรูปร่างแปลกตา ป่าไม้อุดมสมบูรณ์ มิมีเส้นทางให้เดิน หากต้องการจะเข้าออกคฤหาสน์ มีแต่ต้องล่องเรือข้ามน้ำไปเท่านั้น ธารน้ำไหลรวมกันเป็นสระน้ำอยู่ที่ตีนเขา ภายในสระน้ำมีเรือลำน้อยจอดอยู่ลำหนึ่ง
พวกองครักษ์อย่างอวิ๋นลู่ขึ้นเรือล่องทวนน้ำเป็นกลุ่มสุดท้าย บ่าวรับใช้อาภรณ์สีเขียวผู้นั้นบังคับเรืออย่างชำนาญทาง นำองครักษ์ทั้งหลายมาส่งที่เรือนริมน้ำหลังที่อยู่ด้านล่างสุด จัดแจงที่พักให้พวกเขาเสร็จแล้วก็จากไป เรือนริมน้ำหลังนี้คงจะสร้างไว้ให้องครักษ์กับบ่าวรับใช้ที่ติดตามมาพัก จึงกว้างขวางและเรียบง่าย
หลังจากมาถึง ลู่อวิ๋นก็ทราบว่านี่คือคฤหาสน์ของฉู่จวิ้นโหว เขายินดีปรีดายิ่งนักแล้วเริ่มใคร่ครวญว่าจะหาโอกาสไปตามหาและลอบสังหารเช่นไร ลู่อวิ๋นเลือกห้องพักริมน้ำห้องหนึ่ง ห้องนี้ตั้งอยู่มุมของเรือนริมน้ำ ค่อนข้างคับแคบอึดอัดจึงมิมีผู้ใดแย่งชิงกับเขา แต่ตรงกับความต้องการของเขาพอดี
เขาเปิดหน้าต่าง เบื้องล่างห่างไปหนึ่งจั้งกว่าคือธารน้ำ น้ำในลำธารใสจนเห็นก้น ก้นลำธารมีก้อนหินและโขดหินรูปร่างประหลาดอยู่ ระหว่างก้อนกรวดแสนคมมองเห็นกุ้งและปลากำลังแหวกว่ายอย่างไร้กังวล
ลู่อวิ๋นมองไปตามธารน้ำ มองไปจนสุดสายตาเห็นเรือนริมน้ำได้สองหลัง แม้ระหว่างเรือนริมน้ำล้วนมีสะพานเชื่อมต่อกันอยู่ แต่ลู่อวิ๋นทราบว่าหากตนเดินผ่านบนนั้นย่อมถูกจับตัวในทันที ดังนั้นสายตาของเขาจึงจับจ้องไปบนธารน้ำ หากตกกลางคืน ตนน่าจะว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นไปหาที่พำนักของเจียงเจ๋อได้กระมัง
หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จ ลู่อวิ๋นก็บอกว่าตนเองขี่ม้ามาทั้งวันจนเหน็ดเหนื่อยแล้วทำทีไปนอนพักผ่อนตั้งแต่หัวค่ำ มิมีผู้ใดผิดสังเกต ตัวเขาพักอยู่ในห้องขนาดเล็กเพียงคนเดียว จึงมิจำเป็นต้องกังวลว่าผู้อื่นจะมาพบร่องรอยของเขา เขาลงกลอนประตูเรียบร้อย รอจนกระทั่งยามสอง ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิท เขาจึงเปลี่ยนชุดอำพรางกายสีดำชุดหนึ่ง
ชุดอำพรางกายชุดนี้ตัดมาอย่างประณีต บางเบาและเรียบลื่น ใช้ลงน้ำแทนอาภรณ์สำหรับดำน้ำโดยเฉพาะได้ชั่วคราว ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่หายากที่สุดก็คือมันใช้พื้นที่น้อยยิ่งนัก สะดวกสำหรับเก็บซ่อน เขาพกติดกายไว้เนิ่นนานก็ยังไม่มีผู้ใดสังเกตพบ
เขาเปิดหน้าต่างมองอย่างระแวดระวัง บริเวณที่มิใช่เรือนริมน้ำทั้งหลายไร้แสงสว่าง เขากระโดดข้ามออกมาจากหน้าต่าง ห้อยอยู่ตรงหน้าต่างครู่หนึ่งเพื่อเอื้อมมือปิดบานหน้าต่าง หลังจากนั้นจึงกระโจนลงไปในน้ำ ทักษะการว่ายน้ำของเขายอดเยี่ยมอย่างที่สุด การเคลื่อนไหวว่องไว มิเพียงไม่เกิดเสียง แม้แต่หยดน้ำก็ไม่กระเซ็นสักเท่าใด
หลังจากลงไปในน้ำเขาก็เริ่มว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นไป กระแสน้ำค่อนข้างเชี่ยวจึงเปลืองแรงพอสมควร ว่ายน้ำไปได้พักหนึ่งก็มาถึงเรือนริมน้ำหลังที่สอง เขาปีนขึ้นมาเกาะหน้าต่างที่ชิดริมธารแล้วมองเข้าไป ด้านในเป็นองครักษ์จำนวนหนึ่ง ดูจากสีของอาภรณ์คงจะเป็นราชองครักษ์หู่จี น่าจะเป็นองครักษ์ที่อยู่ข้างกายเจียงเจ๋อ
ลู่อวิ๋นว่ายทวนน้ำขึ้นไปอีกหน ยังไม่ทันเข้าใกล้เรือนริมน้ำหลังที่สามก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นของหลี่หลิน ลู่อวิ๋นคว้าโขดหิมริมฝั่งพักชั่วครู่ จากนั้นจึงว่ายทวนน้ำขึ้นไปต่อ เมื่อเลี้ยวหนึ่งครั้ง ด้านหน้าก็เป็นเรือนริมน้ำอีกสี่หลัง
เรือนริมน้ำหลังที่สี่มืดสนิทไร้แสงไฟและเงียบสงัด เขาจึงว่ายไปถึงเรือนริมน้ำหลังที่ห้า แล้วพบว่าเรือนริมน้ำหลังนี้แตกต่างจากเรือนริมน้ำสี่หลังก่อนอยู่บ้าง ระยะห่างจากผิวน้ำสูงเพียงหนึ่งฉื่อกว่า ห้องที่ติดริมน้ำมีระเบียงต่อออกมาข้างนอก ครึ่งหนึ่งของระเบียงลอยอยู่เหนือคลื่นน้ำ สามฝั่งล้อมราวกั้นสีแดงสดไว้ป้องกัน ตั้งแต่ตรงนี้ธารน้ำค่อนข้างกว้าง กระแสน้ำผ่อนช้าลงมาก
ลู่อวิ๋นฉุกใจคิดบางสิ่ง กำลังคิดจะปีนขึ้นไปสืบฟังบนระเบียงสักหน่อย ทว่านิ้วมือเพิ่งจะคว้าราวกั้นซี่หนึ่งได้ ก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก หลังจากนั้นแสงโคมก็ลอดออกมาจากด้านในประตู ส่องให้ระเบียงทั้งหมดตกอยู่ท่ามกลางแสงสีเหลืองสลัว ใจของลู่อวิ๋นสั่นสะท้าน เขาหย่อนร่างกายลงในน้ำอย่างแผ่วเบา จากนั้นเกาะเสาค้ำระเบียงที่อยู่ในน้ำเอาไว้แล้วเงี่ยหูฟัง
หลังจากนั้นหูของเขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง นั่นเป็นเสียงของบุรุษ ต่อมาแสงโคมเหนือศีรษะก็สว่างขึ้นมาก คิดว่าคนผู้นั้นคงจุดตะเกียงที่ห้อยอยู่ตรงมุมของระเบียง พริบตาเดียวผืนน้ำรอบด้านก็ถูกแสงส่องสว่าง มิอาจดำน้ำได้แล้ว ในใจลู่อวิ๋นกลัดกลุ้มยิ่งนัก แต่ทำได้เพียงซ่อนตัวรอคอย ผ่านไปครู่หนึ่ง คนผู้นั้นก็ยังไม่มีความคิดจะกลับเข้าไปในห้อง
ลมภูเขาหนาวยะเยือก แสงจันทร์แสงดาวล้วนหม่นหมอง มิรู้ว่าคนผู้นี้มีอารมณ์ชื่นชมทิวทัศน์ได้อย่างไร ลู่อวิ๋นลอบก่นด่าในใจ แต่ทำอันใดมิได้
เวลานี้เอง บุรุษผู้นั้นก็พลันอุทานขึ้นมาเบาๆ หัวใจของลู่อวิ๋นบีบรัด หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของสตรีนางหนึ่ง เสียงนี้รื่นหูแต่เศร้าสร้อย ลู่อวิ๋นรู้สึกว่าหัวใจสั่นไหว อดเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจไม่ได้
แล้วก็ได้ยินสตรีนางนั้นกล่าวขึ้นว่า “อู๋ตี๋ หลายปีนี้ท่านระเหเร่ร่อนอยู่ต่างแดน สุขสบายดีหรือไม่”
เสียงของบุรษผู้นั้นทุ้มนุ่มนิ่งสงบ เขาตอบว่า “ขอบคุณความเป็นห่วงของเจ้า ก็บอกมิได้ว่าสุขสบายหรือไม่ ชีวิตเงียบสงบ เพียงแต่มักจะหวนนึกถึงสหายร่วมรบในวันวานกับไฟสงครามในชิ่นโจว ดังนั้นสุดท้ายก็ทนมิได้ต้องหวนกลับมา ที่ว่ากันว่ามาตุภูมิยากตัดใจจากคงจะเป็นเช่นนี้ ได้ยินว่าเจ้าได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์โหว ได้รับความไว้วางพระทัยอย่างมาก ข้าดีใจแทนเจ้าด้วย”
สตรีนางนั้นตอบด้วยท่าทางนิ่งสงบ “ความจริงฝ่าบาทดีต่อข้ามากเกินไป ความดีความชอบเพียงเล็กน้อยของข้า พระราชทานตำแหน่งรองแม่ทัพราชองครักษ์หู่จียังพอรับไหว แต่บรรดาศักดิ์โหวออกจะมากเกินไป”
บุรุษผู้นั้นกล่าวว่า “เจ้าสมควรได้รับ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อต้ายงใช้งานเจ้าทำงานสำคัญ คนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสำนักเฟิงอี้เหล่านั้นก็วางใจขึ้นมาก ทราบว่าต้ายงไม่ถึงกับทอดทิ้งพวกเขาเพียงเพราะชาติกำเนิด คิดว่าหลายปีนี้พรรคพวกที่เหลือของสำนักเฟิงอี้ในต้ายงคงเคลื่อนไหวยากเย็นขึ้นทุกที”
สตรีนางนั้นเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “เรื่องเหล่านี้ข้ามิใคร่สนใจไถ่ถามนัก นับตั้งแต่เป่ยฮั่นล่มสลาย ความปรารถนาของข้าก็สำเร็จแล้ว นอกจากงานของราชองครักษ์หู่จี ข้ามิยุ่งเกี่ยวเรื่องอื่นอีก การอารักขาเชื้อพระวงศ์เป็นความรับผิดชอบใหญ่หลวง ข้ามิกล้าหย่อนยาน”
บุรุษผู้นั้นถอนหายใจ “ข้าทราบว่าแท้จริงแล้วเจ้ามิเพียงมิเห็นค่าอำนาจยศถาบรรดาศักดิ์ เพียงแต่ยามนี้แม้เจ้าอยากจะเอาตัวออกมาก็คงเป็นไปมิได้แล้ว หากออกมาจากการคุ้มครองของราชสำนักต้ายง ใต้หล้านี้เจ้าเดินสักก้าวก็ยังยาก
แม้ยามนี้ราชวงศ์เป่ยฮั่นจะยอมจำนนแล้ว แต่คนที่เคียดแค้นเจ้ายังมีอยู่มากมายนัก แม้แต่สำนักเฟิงอี้ก็คงมิมีทางปล่อยเจ้า ได้ยินว่าเจ้ายังมิแต่งงาน แม่ทัพฮูเหยียนเล่า หนนี้เขาน่าจะเดินทางมาเป็นเพื่อนเจ้ากระมัง”
สตรีนางนั้นชะงักวูบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “หนนี้ฮูเหยียนเขาย่อมต้องมาเป็นเพื่อนข้าแน่นอน เขาถึงขั้นไปขอลาราชการกับใต้เท้าซือหม่า ข้าก็จนหนทาง ได้แต่ปล่อยให้เขาทำตามใจ ความจริงชีวิตในตอนนี้ของข้าดียิ่งนัก มิจำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อยรากเลือด มิต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมขับเคี่ยว
มีบางเรื่องท่านกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก ข้าเพียงทำหน้าที่ของตนอย่างสงบเสงี่ยมก็เสพสุขกับลาภยศได้อย่างสงบสุขแล้ว ชีวิตเช่นนี้คือสิ่งที่ข้าปรารถนาที่สุด ข้าตรากตรำลำบากต่อสู้มาหลายปีถึงเพียงนั้น เหนื่อยล้าสิ้นเรี่ยวแรงนานแล้ว
วันนั้นตอนได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท ข้าเคยขอลาออกจากตำแหน่งขุนนางหลีกเร้นไปปลีกวิเวก แต่ฝ่าบาทตรัสว่าข้าก่อความแค้นไว้มากเกินไป ทั้งยังมีความดีความชอบมากพอสมควรจึงมิทรงยินยอมให้ข้าตกต่ำไปอยู่ในหมู่ชาวบ้าน ดังนั้นจึงมอบตำแหน่งรองแม่ทัพกองราชองครักษ์หู่จีให้ข้า หากข้าต้องการ จะทำงานสักหน่อยก็ย่อมได้ หากข้าไม่ต้องการก็ยังใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้เช่นกัน
ฝ่าบาทมีบุญคุณต่อข้าเท่าขุนเขา ดังนั้นแม้ข้าจะทราบว่าพวกเขาคิดจะใช้ฐานะของข้าปลอบโยนจิตใจของผู้คน แต่ข้าก็ยังคงอยู่ในฉางอันต่อ ยามนี้ข้ามิมีห่วงอันใดแล้ว สิ่งเดียวที่ยังรู้สึกผิดก็คือเรื่องของท่าน ดังนั้นเมื่อได้ยินท่านโหวบอกว่าท่านมาถึงฉางอัน สุดท้ายจึงยังเดินทางมาพบท่าน ท่านยังแค้นข้าอยู่หรือไม่”
บุรุษผู้นั้นหัวเราะ “แค้น มิอาจใช้คำนั้น สิบสามปีก่อน ตอนเจ้ากับข้าแยกทางกัน ต่างเดินทางใครทางมัน แต่ละคนมีนายของตนเอง แม้เจ้าเข้ากับฝ่ายต้ายง ทำลายแผ่นดินเป่ยฮั่น แต่ข้ามิเคียดแค้นเจ้า นี่เป็นทางเลือกของเจ้า ขอเพียงเจ้ามินึกเสียใจ ผู้อื่นยังจะมีสิ่งใดตำหนิเจ้าได้อีก เจ็ดปีก่อน ข้าตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอกอยู่ก็มิได้ ตายก็มิได้ ข้าทราบว่าเจ้าตั้งใจคิดช่วยเหลือ ขอความเมตตาแทนข้า น้ำใจหนนั้นข้ามิมีวันลืม
แต่น้องชิง ข้ายังโกรธเคืองเจ้า ความตายของสืออิง แม้จะเกิดจากหลายสาเหตุกอปรเข้าด้วยกัน แต่เจ้าคือสาเหตุสำคัญ แล้วข้ายังทราบว่าเจ้านำเรื่องระหว่างพวกเราไปใช้ประโยชน์ แม้สืออิงกับข้าจะมิถูกกัน แต่เขาก็เป็นบุรุษที่ดีคนหนึ่ง เรื่องนี้ข้ามิมีวันอภัยเจ้า
เจ้ามิเพียงทำให้เขาไร้หนทางแก้ตัวจนต้องปลิดชีพตนเอง แต่ยังสร้างมลทินให้ชื่อเสียงเกียรติภูมิของเขาด้วย แม้นี่เป็นเล่ห์กลของการทำศึกระหว่างสองแคว้น ข้ามิแค้นที่เจ้ากระทำเช่นนี้ แต่ในฐานะคนรักเก่า ข้ามิอาจมิโกรธเคืองเจ้าได้”
สตรีนางนั้นเงียบงันอยู่เนิ่นนาน ทันใดนั้นก็หัวเราะ “ข้าเข้าใจแล้ว วันนี้ได้ยินคำพูดนี้ของท่าน ในที่สุดข้าก็รู้สึกว่าได้รับการปลอดปล่อยเสียที หลายปีนี้ทุกครั้งที่ข้าหวนนึกถึงความตายของแม่ทัพสือ ล้วนโศกเศร้าจิตใจไม่เป็นสุขอยู่ตลอด วันนี้มีคนโกรธเคืองข้าเพราะเรื่องนี้ ข้ากลับปล่อยวางเรื่องในใจลงได้ ขอบคุณท่าน อู๋ตี๋ ที่กำจัดปมในหัวใจของข้า
หลายปีที่ผ่านมาข้ารอโอกาสได้พบท่านอีกครั้งมาตลอด ท่านอย่าได้หัวเราะเยาะข้า แม้ยามนั้นหน้าสุสานของแม่ทัพสือ ข้าตัดขาดความสัมพันธ์กับท่านไปแล้ว แต่ผ่านมาจนถึงวันนี้ วันที่ข้าทราบแล้วว่าท่านจักโกรธเคืองข้าไปตลอดชีวิต ข้าถึงปล่อยวางเรื่องในใจลงได้ รู้สึกว่ามิได้ทำผิดต่อท่านอีกต่อไป”
บุรุษผู้นั้นกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าเข้าใจ ไห่หลีเคยบอกข้าว่าหากมิให้โอกาสเจ้าตัดวาสนาระหว่างเจ้ากับข้า ชีวิตนี้ของเจ้าคงมิอาจมีความสุข หากมิใช่เช่นนี้ มิว่าอย่างไรข้าก็คงมิเดินทางมาฉางอัน หลายปีนี้แม่ทัพฮูเหยียนรักเจ้าจากใจจริง ในยามนั้นที่พบกันหนแรกข้าก็ล่วงรู้ความรู้สึกของเขาแล้ว เจ้าเจ็บปวดมาครึ่งชีวิตแล้ว หากมีเขาเคียงข้าง ข้าก็วางใจ”
น้ำเสียงของสตรีนางนั้นอ่อนโยนลงหลายส่วน กล่าวตอบว่า “ความจริงระหว่างทางมาที่นี่ข้ารับปากคำขอแต่งงานของเขาแล้ว ท่านยินดีอยู่ร่วมงานมงคลของพวกเราหรือไม่”
บุรุษผู้นั้นตอบด้วยน้ำเสียงยินดี “ยินดีกับเจ้าด้วย เจียงโหวรับปากแล้วว่าอีกไม่กี่วันจะปล่อยข้าไป เกรงว่าคงมิมีโอกาสร่วมงานมงคลของพวกเจ้าแล้ว ฝากบอกแม่ทัพฮูเหยียนแทนข้า บอกว่าข้าอวยพรให้พวกเจ้าเคียงข้างกันตราบจนผมขาว รักใคร่กลมเกลียวตราบชั่วนิรันดร์”
ลู่อวิ๋นที่อยู่ด้านล่างฟังจนตาพร่าลายจิตใจปั่นป่วน เวลานี้เขาฟังออกแล้วว่าทั้งสองคนนี้คือผู้ใด พวกเขาก็คือซูชิงเติ้งโหวแห่งต้ายงกับแม่ทัพต้วนต้วนอู๋ตี๋สี่แม่ทัพใต้บัญชาหลงถิงเฟยที่ยังเหลือรอดอยู่ เรื่องราวของสองคนนี้ เขาเคยได้ยินบิดาพูดถึง คิดมิถึงว่าวันนี้จะได้ยินบทสนทนาลับระหว่างทั้งสองคน หากมิใช่ว่าต้องบังคับตนเองให้หลบซ่อนตัวไว้ เขาก็อยากจะโผล่หน้าออกไปชื่นชมความสง่างามของทั้งสองคนจริงๆ
เวลานี้เอง หูของเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเคลื่อนไกลออกไป คิดว่าซูชิงคงจากไปแล้ว บุรุษผู้นั้นถอนหายใจแผ่วเบา ในเสียงถอนหายใจแฝงความปีติยินดีและความโล่งใจ เวลานี้จันทราเย็นยะเยือกสรรพเสียงเงียบสงัด เงาดำทอดลงบนสายน้ำหนาวเย็น ทันใดนั้นก็ได้ยินบุรุษผู้นั้นรำพันแผ่วเบา “เห็นคลื่นครามใต้สะพานพลันแสนเศร้า นึกถึงเงาเจ้าปักษาเคยร่อนรำ”
เสียงเศร้าสลด แม้ลู่อวิ๋นมิค่อยเข้าใจความนัยในนั้นนัก แต่ก็รู้สึกหม่นหมองเศร้าใจแทนเขา