ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 130 เพียงแรกพบดวงใจถวิลใฝ่ปอง (1)
องค์หญิงทราบข่าวเจียงเจ๋อล้มป่วยจึงขอพระราชโองการเดินทางลงใต้เพื่อเยี่ยมเยียน จักรพรรดิต้ายงทรงอนุญาต องค์หญิงจึงพาท่านหญิงเจาหวาและอานกั๋วกงเดินทางไปดูแลคนป่วยที่สวีโจว เจียงเจ๋อป่วยใกล้หายดี ก็มีผู้ตรวจการถวายฎีการ้องเรียนว่าเมื่อเจียงเจ๋อเป็นผู้ตรวจการกองทัพอยู่ข้างนอก องค์หญิงย่อมมิควรออกจากเมืองหลวง จักรพรรดิต้ายงสดับฟังแต่มิตรัสคำใด ผ่านไปอีกสองสามวันจึงอ้างว่าไทเฮาประชวรเล็กน้อย มีพระบัญชาเรียกตัวองค์หญิงกลับเมืองหลวง
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
เดือนสี่ปลายวสันต์ บุปผางามใกล้โรยรา ต้นไม้เขียวชอุ่มแผ่ร่มเงา เป็นฤดูกาลอันงดงามบนโลกมนุษย์ ทว่าเส้นทางจากจงหลีมายังโซ่วชุนกลับเงียบเหงาวังเวง ข้างทางมักพบเห็นซากศพโครงกระดูก ป่าดงพงไพรเงียบกริบไร้เสียงวิหค ทันใดนั้นเสียงกีบเท้าม้าเลือนลั่นดุจเสียงอสนีบาตก็ดังมาแต่ไกล วิหคแตกกระเจิง สองกองทัพกำลังรบราอยู่บนทุ่งกว้าง กองหนึ่งคือทหารม้าเฟยฉีแห่งกองทัพหนานฉู่ กองหนึ่งคือทหารม้าอาภรณ์ดำเกราะดำแห่งกองทัพต้ายง สองกองทัพต่างเข่นฆ่า สู้รบกันอย่างดุเดือด เมื่อพินิจดูจะเห็นว่ากองทัพต้ายงเป็นฝ่ายได้เปรียบ
นับตั้งแต่เดือนสองของรัชศกหลงเซิ่งปีที่สิบเอ็ดแห่งต้ายง ต้ายงก็โหมบุกโจมตีอีกหน หนนี้กองทัพจากหลายทางบุกโจมตีพร้อมเพรียงกัน ฉินหย่งบุกปาจวิ้น จ่างซุนจี้รุกเจียงหลิง จิงฉือจู่โจมจงหลี เผยอวิ๋นตีซื่อโจว สงครามเกิดขึ้นมิขาดสาย หวนกลับสู่สภาพก่อนหน้าอีกหนหนึ่ง ทว่าหนานฉู่สูญเสียลู่ช่านแม่ทัพอันดับหนึ่งแห่งกองทัพไปแล้ว แม่ทัพของสมรภูมิแต่ละแห่งจึงต่างทำตามที่ตนเห็นสมควร
สถานที่อื่นยังพอทำเนา แต่ไหวซีวิกฤติที่สุด เนื่องจากสือกวนตายแล้ว ส่วนไช่ฉวินที่มารับตำแหน่งแม่ทัพคนใหม่ก็มีฝีมือเพียงดาษๆ รู้จักแต่ปักหลักป้องกันโซ่วชุน อีกทั้งเขายังระแวงกองทหารม้าเฟยฉีที่เคยขึ้นตรงกับลู่ช่าน จึงบีบบังคับออกคำสั่งให้พวกเขาต้านรับกองกำลังหลักของกองทัพต้ายงทุกครั้ง
แม้ค่ายเฟยฉีจะมีแต่ทหารฝีมือแกล้วกล้า แต่พวกเขามีทหารม้าเพียงมิถึงหมื่นคน ยามนี้ยังสูญเสียลู่อวิ๋นกับสืออวี้จิ่นผู้เป็นแม่ทัพไปอีก จึงยากจะคว้าชัยเหนือทหารม้าเหล็กของต้ายงผู้เคยตะลุยกำราบแดนเหนือ ภายในเวลาเพียงสองเดือน พวกเขาสูญเสียกำลังพลไปมากกว่าครึ่ง กลางเดือนสามจงหลีก็เสียเมือง ทหารม้าค่ายเฟยฉีรับบัญชาขัดขวางการรุกคืบของกองทัพต้ายง กำลังพลจึงยิ่งเสียหายสาหัส
กองทหารม้าที่กำลังประมือกับทหารม้าค่ายเฟยฉีกองนี้มิใช่กองทัพทหารม้าธรรมดา อาภรณ์สีดำกับเกราะสีดำมิใช่สิ่งที่พลทหารธรรมดาทั่วไปของต้ายงจะสวมใส่ได้ ทหารม้ากองนี้เป็นทหารคนสนิทของจยาจวิ้นอ๋องหลี่หลินซึ่งจักรพรรดิต้ายงพระราชทานอนุญาตให้ใช้เกราะสีดำด้วยตนเอง กองทัพต้ายงบุกไหวซีหนนี้ หลี่หลินเป็นแม่ทัพทัพหน้าของกองทัพต้ายง
ความจริงรัชศกหลงเซิ่งปีที่แปด ตอนที่หลี่เสี่ยนบัญชาการทัพบุกเจียงหนาน หลี่หลินก็ติดตามบิดาลงใต้มาเรียนรู้งานในกองทัพแล้ว ทว่าแม้เขาจะอยากลงสนามรบเพื่อประมือกับลู่อวิ๋นยิ่งนัก แต่กลับถูกหลี่เสี่ยนถลึงตาปฏิเสธ หากจะให้ยกคำพูดฉบับดั้งเดิมของหลี่เสี่ยนมาพูดก็คือต้ายงของพวกเราไม่มีคนแล้วหรือไรถึงต้องให้เด็กตัวน้อยเช่นเจ้าเข้าสมรภูมิเข่นฆ่าศัตรู แม่ทัพในกองทัพได้ฟังต่างก็ทำหน้าเห็นด้วย หลี่หลินขัดใจยิ่งนักแต่ทำได้เพียงโอดครวญอยู่ในใจว่า สมัยก่อนเสด็จลุงกับเสด็จพ่อก็ออกรบสังหารศัตรูตั้งแต่อายุสิบกว่าปีมิใช่หรือไร
จนกระทั่งวสันต์ของปีนี้ หลี่หลินผู้อายุเต็มสิบห้าปีจึงได้รับอนุญาตจากฉีอ๋องให้นำทัพออกศึกในที่สุด เสด็จลุงหลี่จื้อยังพระราชทานอนุญาตให้ทหารคนสนิทของเขาสวมเกราะสีดำเพื่อแสดงความโปรดปรานที่มีต่อเขาอีกด้วย
แม้หลี่หลินจะเข้าสมรภูมิเป็นหนแรก แต่เขาฝึกฝนในกองทัพมาหลายปี ผ่านไปเพียงไม่กี่สมรภูมิ จิงฉือก็วางใจพอที่จะให้เขาเป็นทัพหน้าแล้ว แต่น่าเสียดายลู่อวิ๋นมิได้อยู่ที่จงหลีอีกแล้ว แม้แต่สืออวี้จิ่นแม่ทัพหนุ่มแห่งกองทัพไหวซีผู้ชื่อเสียงเลื่องลือว่าฝีมือยอดเยี่ยมยิ่งกว่าลู่อวิ๋นผู้นั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย การมิได้วัดฝีมือกับพวกเขาทำให้หลี่หลินเสียดายยิ่งนัก
เขาบัญชากองทัพให้ไล่ตามหลังทหารม้าเฟยฉีอย่างไม่รีบร้อน คอยสังหารทหารม้าของค่ายเฟยฉีที่รั้งท้าย ขณะเดียวกันก็ทลายการโจมตีสวนกลับของทหารม้าค่ายเฟยฉีได้หลายครั้งหลายหน แม่ทัพของค่ายเฟยฉีเห็นท่าไม่ดีจึงหยุดตั้งกระบวนทัพเตรียมตัวเผชิญศึก กองทัพต้ายงเห็นเช่นนี้จึงแผ่ปีกออกสองข้าง โอบล้อมกองทัพหนานฉู่อยู่กลายๆ
หลังจากตั้งกระบวนทัพเสร็จแล้ว หลี่หลินจึงถือแหลนควบอาชาออกมาจากแถว หัวเราะลั่นกล่าวว่า “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าทหารม้าเฟยฉีแกล้วกล้าว่องไว วันนี้ได้พบมิเห็นว่าจะสมคำร่ำลือเท่าใดนัก พวกเจ้าทิ้งอาวุธยอมจำนนเสียดีกว่า เห็นแก่ลู่อวิ๋นแม่ทัพลู่ของพวกเจ้า ข้าจะปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างดี”
เห็นแม่ทัพหนุ่มอาภรณ์สีดำผู้นี้เหิมเกริมเช่นนี้ ทหารทั้งหมดของค่ายเฟยฉีพลันโกรธแค้นสุมทรวง แต่พวกเขาสู้รบอยู่ตามลำพัง ในขณะที่กองทัพศัตรูมีทหารม้านับร้อย แม่ทัพหนุ่มผู้นี้แม้พูดจาโอหังแต่ยามบัญชาการกองทัพทำศึกก็คล่องแคล่วเสมือนหนึ่งขยับแขนขา สั่งการได้ดั่งใจ แม่ทัพผู้เป็นหัวหน้าเริ่มมีความคิดจะพลีชีพ ขณะที่เขากำลังจะออกจากขบวนแถวมาให้คำตอบ ทันใดนั้นเสียงรื่นหูแฝงความเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังลอยมาตามลม
“ผู้ใดกล่าวว่าค่ายเฟยฉีมิสมคำร่ำลือ มาให้ข้าสืออวี้จิ่นสั่งสอนสักหน่อย”
ทหารม้าค่ายเฟยฉีได้ยินคำพูดนี้ต่างนิ่งอึ้งแทบทุกนาย หากยามนี้กองทัพต้ายงจู่โจม พวกเขาคงรับมือมิทันอย่างแน่นอน ทว่าแม่ทัพของกองทัพต้ายงเองก็นิ่งอึ้งอยู่เช่นกัน เขามิคิดจะออกคำสั่งโจมตีแม้แต่น้อย
พลทหารค่ายเฟยฉีเงียบกริบไปหลายชั่วอึดใจ ต่อจากนั้นเสียงโห่ร้องดีใจพลันดังกึกก้อง กระบวนทัพแหวกออกจากตรงกลางราวกับคลื่นน้ำ แม่ทัพหนุ่มบนอาชาสีขาวพร้อมกับหอกสีเงินควบอาชาตัดผ่ากระบวนทัพออกมาอย่างสุขุม เขาหล่อเหลาองอาจ ห้าวหาญฮึกเหิม แม้รูปลักษณ์ดูเหมือนจะอายุเพียงสิบแปดสิบเก้าปี แต่ดูจากความหนักแน่นและไอสังหารที่มีอยู่เลือนรางบนตัวเขาก็ทราบแล้วว่าเขาเป็นแม่ทัพแกล้วกล้าผู้กรำศึก
ข้างกายเขายังมีดรุณีงามพริ้มเพราสวมอาภรณ์เนื้อหยาบอายุราวสิบเอ็ดสิบสองปีอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง นางขี่อาชาสีพุทราแดงตัวหนึ่งคอยติดตาม ดรุณีน้อยผู้นั้นนั่งอยู่บนหลังอาชากำยำ อ้อมแขนอุ้มทารกน้อยคนหนึ่ง แม้นางจะสวมอาภรณ์ธรรมดา หน้าตาก็มอมแมมอยู่เล็กน้อย ทว่าท่าทางสง่าสุขุมกับดวงตาสุกสกาวเปล่งประกาย และรอยยิ้มน้อยๆ อันงดงาม กลับทำให้เหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ผู้ออกมาเที่ยวชมฤดูใบไม้ผลิ บุคคลที่เสมือนหนึ่งเทพบุตรเทพธิดาคู่นี้ปรากฏตัวขึ้นบนสนามรบ จะมิให้ผู้คนตาโตอ้าปากค้างได้อย่างไร
แม่ทัพหนุ่มผู้นั้นกวาดสายตาเย็นยะเยือกมองบนร่างหลี่หลินอย่างเย็นชาแล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าช่างกล่าววาจาโอหังได้มิละอาย ถึงกับกล้าบอกให้ทหารม้าค่ายเฟยฉีวางอาวุธเชียวหรือ”
หลี่หลินมองแม่ทัพหนุ่มผู้นั้นดวงตาวาววับ แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม ในใจคิดว่า มิแปลกที่ชื่อเสียงของคนผู้นี้จะเหนือกว่าลู่อวิ๋น ช่างเป็นวีรบุรุษชั้นยอดของหนานฉู่จริงๆ
ทันใดนั้นในใจก็เกิดความคิดอยากเอาชนะ เขาถือแหลนเยาะย่างอาชาออกมาเบื้องหน้าแล้วกล่าวว่า “ท่านคือสืออวี้จิ่น แม่ทัพน้อยสือสินะ หากแม่ทัพน้อยคิดว่าข้ากล่าวมิถูกต้อง กล้าประลองกับข้าสักหนหรือไม่”
พอคำนี้เอ่ยออกมา องครักษ์คนสนิทข้างกายหลี่หลินก็เอะอะทันที พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักรบผู้กล้าที่หลี่หลินคัดเลือกมาด้วยตนเองจึงจงรักภักดีต่อจยาจวิ้นอ๋องยิ่งนัก นอกจากนี้พวกเขายังได้รับคำสั่งอันเข้มงวดมาจากองค์รัชทายาทและฉีอ๋องว่าแม้นตายก็ห้ามให้จยาจวิ้นอ๋องเป็นอันตราย สืออวี้จิ่นเป็นถึงแม่ทัพหนุ่มผู้กล้าชื่อเสียงกระเดื่องเลื่องลือของกองทัพหนานฉู่ เขาเคยสังหารยอดแม่ทัพของต้ายงมาแล้ว หลายปีที่ผ่านมาก็สร้างชื่อระบือนามในไหวซี หากจยาจวิ้นอ๋องเกิดเป็นอันใดไปขึ้นมา แม้นตายก็มิอาจชดใช้ความผิด
แต่หลี่หลินดันเป็นคนเสนอจะประลองด้วยตนเอง ต่อให้อยากขัดขวางการต่อสู้หนนี้ก็ไร้ข้ออ้าง ดังนั้นมิทันปล่อยให้สืออวี้จิ่นเอ่ยปากตกลง องครักษ์คนสนิทผู้กล้าหาญทั้งหลายก็ควบอาชาแซงออกมาข้างหน้าตะโกนว่า “อยากจะประมือกับท่านอ๋อง ต้องผ่านด่านของพวกเราไปก่อน”
หลี่หลินเบิกตามององครักษ์คนสนิทพุ่งแซงหน้า เพลิงโทสะลุกโหมสามจั้ง ทว่าเขามิสะดวกจะตำหนิพวกเขาตอนนี้ มิฉะนั้นจะเป็นการลดทอนขวัญกำลังใจของฝ่ายตนเอง สืออวี้จิ่นหัวเราะดังลั่น ปลดหอกสีเงินที่อยู่ติดกับอานม้าออกมาแล้วพุ่งเข้าประจันหน้า ทหารของค่ายเฟยฉีต่างโห่ร้องข่มขวัญ ไม่รู้สึกว่าการที่สืออวี้จิ่นตัวคนเดียวอยู่ท่ามกลางหมู่ศัตรูจะมีอันตรายแต่ประการใด
อาชาศึกของทั้งสองฝ่ายเข้าโรมรัน หอกสีเงินขยับแทงว่องไว เงาขยับไหวคล้ายดอกสาลี่ คมวาววับดุจหิมะโปรยปราย เพียงสิบกว่ากระบวนท่า องครักษ์คนสนิทเหล่านั้นก็ถูกนางต้อนจนถอยร่นกลับมา สองคนในนั้นต้องคมหอกจนยากจะต่อสู้ได้อีก แม้คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้กล้าและทหารชั้นยอด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหอกสีเงินที่ผ่านการฝึกปรือมานับร้อยนับพันหนของสืออวี้จิ่นกลับกลายเป็นแลดูอ่อนด้อย
ทหารม้าค่ายเฟยฉีเห็นเช่นนี้ต่างโห่ร้องชื่นชมดังลั่น หลี่หลินขมวดคิ้วตั้งใจจะควบอาชาเข้าไป ทว่าทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงหัวเราะปานกระดิ่งเงินของดรุณีน้อยคนหนึ่ง จู่ๆ หัวใจก็สั่นไหว เขาเพ่งสายตามอง จึงเห็นว่าดรุณีน้อยสวมอาภรณ์เนื้อหยาบที่มาด้วยกันกับสือวอี้จิ่นคนนั้นกำลังร้องชมเสียงดัง สีหน้าเปี่ยมความยกย่องเลื่อมใสกำลังมองดูสืออวี้จิ่นกวัดแกว่งศาสตราวุธแสดงความองอาจอยู่ต่อหน้ากองทหารสองกองทัพ
เมื่อครู่หลี่หลินสนใจแต่สืออวี้จิ่นจึงมองผ่านดรุณีน้อยผู้นี้ไปเฉยๆ แต่เวลานี้เขากลับรู้สึกว่าสมองว่างเปล่า ในสายตาเหลือเพียงดรุณีน้อยผู้งามเฉิดฉินประหนึ่งเทพธิดาบนโลกมนุษย์ผ๔นั้น
ในตอนนี้เอง ทารกในอ้อมแขนของดรุณีน้อยผู้นั้นก็ร้องไห้เสียงดัง ดรุณีน้อยตบห่อผ้าที่ห่อรอบตัวทารกอย่างคุ้นชินแล้วเอ่ยเสียงใส “เป่าเอ๋อร์หิวแล้ว รีบตีพวกเขาให้ถอยไปเร็วเข้าเถิด”
สืออวี้จิ่นขมวดคิ้ว ตวาดเสียงดุดัน “ทิ้งสองสามคนไว้คุ้มกันเหมยเอ๋อร์ คนที่เหลือตามข้ามา”
กล่าวจบก็ชูหอกพุ่งนำหน้า ทหารค่ายเฟยฉีด้านหลังนางโห่ร้องควบอาชาติดตาม แรกเริ่มกระบวนทัพยังสับสนอยู่เล็กน้อย แต่หลังจากเคลื่อนกำลังพลไปมิถึงหนึ่งร้อยก้าว คนหนึ่งพันคนกลับตั้งขบวนแถวเสมือนหนึ่งเป็นคนผู้เดียว ควบอาชาโถมเข้ามาดุจอสนีบาต
หลี่หลินเห็นกองทัพศัตรูขวัญกำลังใจฮึกเหิมราวรุ้ง จึงเรียกสติที่หลุดลอยออกจากร่างกลับมา เขาคำรามลั่นคล้ายระบายโทสะ จากนั้นควงแหลนนำทัพเข้าสู้รบ มิทราบเพราะเหตุใด หัวใจของเขาจึงโกรธแค้นยิ่งนัก
เขาสนใจแม่ทัพหนุ่มทั้งสองผู้เลื่องชื่อลือชาแห่งกองทัพไหวซีแห่งหนานฉู่มานานแล้ว ลู่อวิ๋นเป็นสหายเก่าของเขา ส่วนสืออวี้จิ่นเป็นบุตรของสือกวน หลังจากลู่อวิ๋นตบแต่งกับธิดาของสือกวน ทั้งสองคนก็คงสนิทสนมกันด้วยฐานะพี่ภรรยากับน้องเขย
เรื่องที่สืออวี้จิ่นคุ้มกันลู่เหมยบุตรีของลู่ช่านหนีออกจากโซ่วชุนเมื่อเดือนเก้าปีกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันทั่ว เมื่อทบทวนเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ดรุณีน้อยผู้นี้ก็น่าจะเป็นลู่เหมย พวกเขาสองคนทั้งเป็นญาติแล้วยังมีบุญคุณต่อกันมากมายถึงเพียงนี้ อาจจะผูกสมัครรักใคร่จากญาติกลายเป็นคู่รักก็เป็นได้
เพียงคิดเช่นนี้หัวใจเขาก็โกรธเกรี้ยวโกรธา หลี่หลินไม่คิดว่าทารกน้อยในอ้อมแขนของลู่เหมยจะสำคัญ ดังนั้นจึงมองข้ามไปอย่างมิฉุกคิดแม้แต่น้อย