ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 135 แก้แค้นถึงเมื่อใดจึงพอ (4)
ฮั่วฉงเล่าเรื่องที่หลี่หลินตกลุมรักลู่เหมยตั้งแต่แรกเห็นอย่างละเอียด ข้าฟังแล้วหน้าชื่นตาบาน ปรบมือหัวเราะลั่นอย่างอดใจมิอยู่ “นี่มันช่างมีบิดาเช่นไรก็มีบุตรเช่นนั้นโดยแท้ ตอนนั้นฉีอ๋องต้องทุ่มเทความคิด ทำเรื่องน่าขันมากมายตั้งเท่าใดเพื่อองค์หญิงจยาผิง กว่าจะได้คนงามมาครอง เกรงว่าวันหน้าเจ้าหนูหลี่หลินคนนี้คงต้องทุ่มเทความคิดมากกว่าพ่อของเขาสิบเท่าจึงจะสมปรารถนา แต่เรื่องนี้ต้องส่งเสริมให้เต็มที่จึงจะดี
แต่จะว่าไปแล้วเด็กพวกนี้ก็โตกันหมดแล้ว ปีกลายหลันเอ๋อร์ปักปิ่นแล้วก็สมควรเลือกคู่ครองดีๆ ให้นางสักคน แม้จะยังอยากรั้งนางไว้อยู่ข้างกายอีกสักสองสามปี แต่จะปล่อยให้นางพลาดวาสนาคู่ครองของนางมิได้”
ฮั่วฉงตัดสินใจได้แล้ว จึงก้าวเข้าไปคำนับบอกว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์มีเรื่องต้องการไหว้วานอาซุ่น ขอท่านอาจารย์โปรดอนุญาต”
คิ้วเรียวเลิกขึ้นนิดๆ สายตาของข้าหยุดอยู่บนร่างของฮั่วฉงครู่หนึ่ง จากนั้นตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าไปขอร้องเขาเองเถิด หากเสี่ยวซุ่นจื่อตกลง ฝั่งข้าย่อมไม่มีปัญหา”
ฮั่วฉงโขกศีรษะคำนับอีกหน จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปยืนข้างตัวเสี่ยวซุ่นจื่อ ดวงตาทอแสงสุกสว่าง แต่กลับกุมมือมิพูดจา เสี่ยวซุนจื่อวางตำราหมากลงแล้วเอ่ยเรียบๆ “ไปเถิด” พูดพลางก็เดินออกไปด้านนอก
ฮั่วฉงก้มหน้าเดินตามอยู่ด้านหลังเขา แม้จะหันหลังให้เจียงเจ๋อ แต่ก็สัมผัสได้ว่าสายตาของเขามองตามหลังตนอยู่ตลอดเวลา จวบจนกระทั่งประตูห้องด้านหลังปิดลง สายตาอันร้อนแรงนั่นจึงถูกบานประตูไม้หนาขวางเอาไว้
ทั้งสองคนเดินมาถึงในสวน เสี่ยวซุ่นจื่อยกมือไพล่หลังยืนอยู่หน้าสระน้ำสีหยกแห่งหนึ่งแล้วถามอย่างเฉยชา “เจ้ามีเรื่องอันใดเล่า”
ฮั่วฉงตอบอย่างนิ่งสงบ “ศิษย์ต้องการขอร้องให้อาซุ่นสังหารคนผู้หนึ่ง”
เสี่ยวซุ่นจื่อชะงักไปเล็กน้อยแล้วถามว่า “เจ้าต้องการสังหารผู้ใด”
ฮั่วฉงหยิบขวดหยกออกมาจากในอกเสื้อ เล่นอยู่ในมือพักหนึ่งก็วางลงบนพื้นแล้วถอยไปหนึ่งก้าว “ศิษย์ต้องการสังหารคนผู้หนึ่งนามว่าลี่หมิง คิดว่าน่าจะหาตัวเขาได้ที่โรงเตี๊ยมผิงอันในเมืองโซ่วชุน หากอาซุ่นลงมือคงจะมิพลาด ศิษย์ถึงจะวางใจได้”
เสี่ยวซุ่นจื่อกลับมิถามว่าลี่หมิงคือผู้ใด แต่ถามเสียงเย็นชาว่า “เจ้ามิกังวลหรือว่าสังหารเขาเพียงคนเดียวจะไร้ประโยชน์”
ฮั่วฉงยิ้ม “สำนักเฟิงอี้สลายไปแล้ว ตำหนักเฉินเองก็ย่อยยับหมดสิ้นบนยอดเขาเซียนสยา ลี่หมิงคงมิมีคนสนิทอะไรอีกแล้ว สิ่งที่เขาพูดส่วนมากเป็นเพียงคำขู่ ข้ามิเชื่อถือ อีกประการหนึ่ง คำเล่าลือแพร่ออกไปก็มิเป็นอันใด แต่เดิมข้าก็มิได้สนใจลาภยศบารมีเหล่านั้นอยู่แล้ว ข้องเกี่ยวน้อยหน่อย ภาระก็น้อยลงหน่อย จะได้มิเหมือนท่านอาจารย์ สลัดตัวหนีออกมามิได้สักที”
เสี่ยวซุ่นจื่อหันกลับมา ในดวงตาเต็มไปด้วยแววตาเย็นเฉียบ แต่ก็แฝงความคาดหวังไว้เลือนราง เขาถามขึ้นมาว่า “เจ้าตัดสินใจแล้วหรือ”
ฮั่วฉงพยักหน้า “ขอรับ บางเรื่องสุดท้ายย่อมต้องเผชิญ ในเมื่อหัวใจข้าบอกแล้วว่าสมควรจะเลือกเช่นไร ข้าก็มิจำเป็นต้องลำบากใจอีกต่อไปแล้ว นับถือคนชั่วเป็นบิดาแล้วอย่างไร ลืมความแค้นที่ผู้อื่นสังหารบิดาแล้วอย่างไร ฮั่วฉงรู้เพียงว่าชั่วชีวิตยากจะลืมเลือนช่วงชีวิตในสวนเหมันต์ ท่านอาจารย์ อาจารย์หญิง อาซุ่น หลันเอ๋อร์กับเซิ่นเอ๋อร์ก็คือครอบครัวของข้า”
แววตาปลาบปลื้มปรากฏในดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อวูบหนึ่ง จากนั้นก็ถูกเก็บซ่อนไปอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยหน้าขรึม “เรื่องนี้ ข้าจะจัดการให้ ไปเดินหมากเป็นเพื่อนเขาหน่อยเถิด เมื่อวานแพ้ข้าอีกแล้วจึงอารมณ์ไม่ดียิ่งนัก หากพูดถึงการออมมือเล่นหมาก ต้องเป็นเจ้าถึงจะทำได้แนบเนียนจับมิได้ เรื่องนี้ข้าสู้เจ้ามิได้อย่างเด็ดขาด”
ฮั่วฉงยิ้มน้อยๆ “ศิษย์รับบัญชา ต้องรบกวนอาซุ่นแล้ว” กล่าวจบ ฮั่วฉงก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องพักของเจียงเจ๋อ
ลับหลังเขา เสี่ยวซุ่นจื่อดึงแถบกระดาษชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ บนนั้นเขียนตัวอักษรบรรจงเล็กเท่าหัวแมลงวันไว้ว่า ‘ผู้ที่นำกระบี่คู่กายของลู่ช่านไปขัดขวางอวี๋เหมี่ยนมิให้ยอมสวามิภักดิ์มีนามว่าลี่หมิง เขาเป็นคนของตำหนักเฉินแห่งสำนักเฟิงอี้ คนสนิทของเหวยอิง กรมวินิจการณ์รับบัญชาออกสืบเสาะหาตัวแล้ว คนผู้นี้อยู่ระหว่างทางจากจงหลีเดินทางไปยังซู่โจว ลอบพบฮั่วฉง สิ่งที่คุยกันมิใช่เรื่องดี ขอท่านอาจารย์โปรดระวังด้วย’
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มน้อยๆ ปลายนิ้วขยับเพียงนิดเดียว กระดาษแผ่นนั้นพลันสลายเป็นธุลีในพริบตา
เมื่อเห็นฮั่วฉงเดินเข้ามาในห้องอีกหน ข้าก็วางภาพอักษรในมือลง ในเมื่อเขาเดินเข้ามาได้อีกครั้ง ถ้าเช่นนั้นเรื่องทุกอย่างก็คงมิต้องไถ่ถามแล้ว ข้าวางหินก้อนโตในหัวใจลง สายตาที่มองไปยังฮั่วฉงเต็มไปด้วยความยินดีปรีดาและรักใคร่
ข้าหวนนึกถึงเรื่องดีงามที่ข้าวางแผนมาเนิ่นนานแล้วเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ฉงเอ๋อร์ มีเรื่องหนึ่งข้าคิดมานานนักแล้ว หลันเอ๋อร์เป็นไข่มุกกลางฝ่ามือของข้า ข้าตัดใจให้นางแต่งออกไปมิลงสักที แต่มิว่าอย่างไรบุรุษเติบใหญ่ย่อมต้องแต่งงาน สตรีเป็นสาวย่อมต้องออกเรือน ข้ามิอาจทำให้นางพลาดเรื่องใหญ่ในชีวิต เจ้าเป็นศิษย์ของข้าก็เป็นเหมือนคนในครอบครัวของข้า ข้าตั้งใจจะหมั้นหมายหลันเอ๋อร์ให้เจ้า มิรู้ว่าเจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไร”
ข้ากล่าวจบก็หันไปมองฮั่วฉงอย่างกระตือรือร้น หากเขารับปาก ข้าก็มิต้องให้หลันเอ๋อร์แต่งออกไปแล้ว เดิมทีคิดว่าฮั่วฉงน่าจะตอบรับอย่างยินดีปรีดา ไหนเลยจะคิดว่าฮั่วฉงอึ้งไปครู่หนึ่งก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงพิกล “ท่านอาจารย์ ท่านเคยถามความคิดของหลันเอ๋อร์หรือไม่”
นี่หมายความว่าอย่างไร ข้าขมวดคิ้วตอบว่า “ยังมิเคยถาม แต่พวกเจ้าสองคนเป็นสหายกันมาตั้งแต่เล็ก แล้วเจ้ายังมีรูปโฉมความสามารถเช่นนี้ หลันเอ๋อร์คงมิปฏิเสธ”
ฮั่วฉงหัวเราะมิได้ ร้องไห้มิออก แต่มิกล้าบอกออกไปตรงๆ จึงบอกอย่างอ้อมๆ “ท่านอาจารย์ หลันเอ๋อร์กับองค์รัชทายาทและจยาจวิ้นอ๋องล้วนเติบใหญ่มาด้วยกัน ท่านอาจารย์มิเคยลองพิจารณาพวกเขาดูหรือ”
ข้าหัวเราะ “หลินเอ๋อร์มิต้องพูดถึงแล้ว ประการแรกอายุของเขาน้อยกว่าหลันเอ๋อร์หนึ่งปี แล้วอีกอย่าง หากเด็กคนนี้อยู่กับหลันเอ๋อร์ เป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าจะทะเลาะกันจนฟ้าถล่ม ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เขามีคนที่ต้องใจแล้ว บิดากับบุตรคู่นี้นิสัยคล้ายกันยิ่งนัก ข้ามิหวังว่าเขาจะโลเลเปลี่ยนใจ
ส่วนรัชทายาทยิ่งมิต้องพูดถึง นั่นเป็นไปมิได้อย่างเด็ดขาด หนนี้ฉางเล่อเดินทางมาสวีโจว เคยเล่าว่าฮองเฮาเตรียมเลือกพระชายาให้รัชทายาทแล้ว หลันเอ๋อร์กับเขาจะมีหวังอะไรได้อีกเล่า อีกอย่างหนึ่ง ต่อให้รัชทายาทมีใจ ข้าก็ไม่มีทางตกลง ต่อให้เจ้าตบแต่งกับหลันเอ๋อร์ วันหน้าก็ห้ามเจ้ารับอนุมีเมียบ่าว ต้องรักเดียวใจเดียวกับหลันเอ๋อร์เท่านั้น”
ฮั่วฉงนึกดีใจที่ตนเองเอาชื่อหลี่หลินเข้ามาเสริมด้วย หากมิได้ทำเช่นนี้ เกรงว่าตนคงมิได้ล่วงรู้ความคิดของท่านอาจารย์ เขาลังเลครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ท่านอาจารย์ องค์รัชทายาทเลือกพระชายาย่อมต้องเลือกคู่ครองที่คู่ควรจากบรรดากุลสตรีตระกูลดัง หลันเอ๋อร์มีฐานะเป็นท่านหญิง ดูเหมือนจะอยู่ในรายชื่อผู้ถูกคัดเลือกเหมือนกันนะขอรับ”
ข้าตอบอย่างมิใส่ใจ “เรื่องนี้มิเป็นปัญหา ข้าเขียนฎีกาไว้เรียบร้อยแล้ว หากเจ้าตกลงแต่งงาน ข้าก็จะถวายหนังสือกราบทูลเรื่องนี้ ฝ่าบาทคงเห็นแก่หน้าของข้าคนนี้ หลันเอ๋อร์เองก็เป็นที่โปรดปรานของไทเฮากับฮองเฮามาตลอด น่าจะมิมีปัญหา จริงสิ เจ้าคิดว่าอย่างไรกันแน่ หรือเจ้าคิดว่าหลันเอ๋อร์มีที่ใดมิคู่ควรกับเจ้า”
ฮั่วฉงเกือบจะกรีดร้องคร่ำครวญต่อสวรรค์แล้ว เวลานี้เขาอยากจะให้ตนเองถูกเสี่ยวซุ่นจื่อจัดการไปเสียตั้งแต่เมื่อครู่เหลือเกิน จะได้มิต้องเผชิญปัญหายากเย็นประการนี้ ยังมิต้องพูดถึงว่าตนเองใจกล้าพอจะแย่งคนรักขององค์รัชทายาทหรือไม่ ปัญหาก็คือเห็นชัดว่าหลันเอ๋อร์กับรัชทายาทรักกันอย่างลึกซึ้ง ตนจะไปพรากคนรักออกจากกันได้เช่นไร
เขาเค้นสมองคิด สุดท้ายก็ตัดสินใจว่ายืดเวลาออกไปก่อนสักหน่อยดีกว่า เขารู้จักนิสัยของเจียงเจ๋อดี หากจัดการไม่ดี มิแน่ว่าเขาอาจจะจับหลันเอ๋อร์หมั้นกับตนทันทีเลยก็เป็นได้ หากเรื่องนี้กระจายออกไป ย่อมยากจะกอบกู้สถานการณ์แล้ว
ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดแล้วครุ่นคิดอีก ฮั่วฉงก็ตอบอ้อมๆ “ท่านอาจารย์ หากกำหนดเรื่องนี้ตอนนี้ เกรงว่าหลันเอ๋อร์จะขุ่นเคืองมิกล้ารั้งอยู่ที่สวีโจวต่อ มิสู้รอให้สงครามสงบลงสักหน่อย ท่านอาจารย์ค่อยบอกนางเถิด ขอเพียงหลันเอ๋อร์ยินยอม ฮั่วฉงก็ยินดีสู่ขอนางเป็นภรรยา”
ข้ามิทันสังเกตความนัยในถ้อยคำของฮั่วฉงอย่างสิ้นเชิง เพียงคิดว่ารั้งตัวโหรวหลันไว้ก่อนก็ดี อย่าปล่อยให้นางกับรัชทายาทใกล้ชิดกันเกินไปนัก วันหน้าพระชายารัชทายาทจะได้มิรัษยาจนสร้างเรื่องปวดหัวให้ฉงเอ๋อร์ เพราะข้ามิเคยคิดมาก่อนว่าบุตรสาวสุดที่รักของข้าจะต้องไปแย่งชิงสามีกับผู้อื่น ดังนั้นความเป็นไปได้ใดๆ ระหว่างโหรวหลันกับองค์รัชทายทจึงถูกข้าโยนทิ้งออกจากสมองไปนานแล้ว มิรู้สักนิดว่าตนเองกำลังจะพรากคู่ยวนยางออกจากกัน
ข้าหยิบฎีกาที่เขียนเสร็จแล้วขึ้นมาบอกว่า “วันพรุ่งนี้ก็นำฎีกาฉบับนี้ไปส่งเสีย เรื่องการคัดเลือกพระชายารัชทายาทจะได้มิต้องข้องเกี่ยวกับหลันเอ๋อร์อีก ส่งไปพร้อมกับรายงานข่าวการศึกเถิด จะได้เร็วสักหน่อย อย่าให้ฉางเล่อต้องเปลืองน้ำลายมากมาย”
ฮั่วฉงยิ่งปวดหัวกว่าเดิม คิดในใจว่า ข้าคงไม่มีโอกาสขโมยฎีกาแล้ว ส่งข่าวไปบอกรัชทายาทให้เขาถวายหนังสือขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาทก็แล้วกัน หรือว่าจะส่งจดหมายไปหาเซิ่นเอ๋อร์ ให้เขาคิดหาวิธีดักปล้นฎีกากลางทางดีกว่านะ
ฮั่วฉงเหลือบมองเจียงเจ๋อ นึกแค้นตนเองว่าเหตุใดจึงละทิ้งการแก้แค้นไปเสีย หากมิใช่เช่นนั้นเขาคงมิต้องเผชิญหน้าสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้แล้ว