ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 23 ไฟสงครามฝั่งหยางโจว (2)
ทหารเหล่านั้นเห็นแม่ทัพตายอย่างอนาถก็หวาดหวั่นขวัญผวาแล้ว เมื่อได้ยินคำสั่งของที่ปรึกษาหวง จึงง้างคันศรยิงลูกธนูออกไปอย่างมิรู้ตัว แต่เพราะจิตใจสับสนวุ่นวาย ลูกศรระลอกแรกจึงมิมีกำลังสักนิด ถึงกระนั้นซุนฟางที่ขดตัวอยู่ที่มุมกระโจมตั้งแต่ก่อนหน้านี้ก็ยังเป็นปลาติดร่างแห ถูกลูกศรหลายดอกปักบนร่างจนตาย
เผยอวิ๋นกลับถีบศพของลั่วโหลวเจินออกแล้วคว้าศีรษะของเขา หนึ่งดาบตวัด กระโจมพลันแหวกเป็นช่อง ช่องว่างเผยให้เห็นร่างของทหารหนานฉู่ผู้ถือดาบยาวอยู่ในมือคนหนึ่งกับซากศพเกลื่อนพื้น ซากศพเหล่านั้นก็คือทหารซึ่งที่ปรึกษาหวงส่งมาจัดการตน
เผยอวิ๋นแหวกกระโจมออกมา ศรระลอกที่สองไล่ตามโจมตีมาถึง ทว่าพลทหารผู้นั้นกลับวาดดาบจนกลายเป็นประหนึ่งสายรุ้ง ขัดขวางลูกศรทั้งหมดเอาไว้ได้ เมื่อลูกศรระลอกที่สามถูกยิงออกมา เผยอวิ๋นกับทหารผู้นั้นก็ฝ่าออกไปสิบกว่าจั้ง หายเข้าไปในค่ายทหารของหนานฉู่แล้ว เสียงตะโกนดังลั่นของทั้งสองคนดังขึ้นในค่าย “ลั่วโหลวเจินตายแล้ว ลั่วโหลวเจินตายแล้ว”
ภายในค่ายปั่นป่วนโกลาหล ผู้คนมิรู้เท่าใดวิ่งสับสนอลหม่าน ร้องตะโกนอย่างตื่นตระหนก ได้ยินเสียงแม่ทัพบางคนตวาดด่าทอตำหนิพยายามควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชา ในตอนนี้เองเสียงแตรสัญญาณพลันดังขึ้นบนทุ่งรอบทิศ เสียงกลองตีกระหน่ำ ทหารหนานฉู่คนหนึ่งตะโกนเสียงดัง “แย่แล้ว กองทัพต้ายงมาแล้ว”
เสียงพันทหารหมื่นอาชาห้อตะบึงดังมาจากข้างตัว แรงสั่นสะเทือนบนพื้นดินบ่งบอกว่ากองทัพที่มาคือทหารม้ากองหนึ่ง ที่ปรึกษาหวงหันกลับไปมองตรงประตูค่ายก็เห็นทหารม้าต้ายงผู้สวมชุดเกราะสีน้ำเงินเกือบดำทะลักเข้ามาในค่ายใหญ่ฉู่โจวประหนึ่งน้ำหลาก ทหารหนานฉู่ที่กำลังโกลาหลถูกกีบเท้าเหล็กของกองทัพต้ายงเหยียบย่ำจนกลายเป็นเศษเนื้อ ในมือของทหารต้ายงเหล่านั้นถือดาบซิ่วชุนยาวถึงสามฉื่อสองชุ่นที่ต้องถือด้วยสองมือ หนึ่งดาบฟันลงมาสะบั้นมนุษย์เป็นสองท่อน พวกเขาทะลวงซ้ายทะลวงขวาภายในค่าย เหยียบราบทุกทิศ
จะต่อต้านกองทหารเช่นนี้ได้อย่างไร ในหัวใจของทหารหนานฉู่แทบทุกคนเกิดความคิดเช่นนี้ มีคนเริ่มวิ่งหนีไปทางประตูค่ายทิศอื่นอย่างมิคิดชีวิต บางคนนิ่งงันทำสิ่งใดมิถูกจึงหลบอยู่ภายในกระโจมรอวันสุดท้ายมาเยือน แน่นอนว่ามีบางคนรวมกลุ่มโจมตีสวนกลับจนกว่าจะหมดสิ้นเรี่ยวแรง ที่ปรึกษาหวงก็เป็นหนึ่งในนั้น
เขาค้นพบแล้วว่ากองทัพต้ายงกองนี้ความจริงแล้วมีจำนวนคนมิมาก ดูท่าทางมีเพียงไม่กี่พันคน ดังนั้นเขาจึงเริ่มออกคำสั่งบัญชาการให้พลทหารโต้กลับ ส่วนรองแม่ทัพหลี่ผู้เดิมทีสมควรแบกรับหน้าที่นี้ พริบตาที่กองทัพต้ายงเข้ามาในค่ายเขาก็พาองครักษ์คนสนิทร้อยกว่าคนหลบหนีไปทางด้านหลังแล้ว
การต่อต้านของกองทัพหนานฉู่เริ่มปรากฏผลลัพธ์ อย่างไรเสียกองทัพใหญ่สามหมื่นนายก็มิมีทางพังทลายลงง่ายดายปานนั้น มิว่าอย่างไรแต่เดิมกองทัพไหวตงก็มีแม่ทัพที่ยอดเยี่ยมอยู่บ้าง แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาจะถูกลั่วโหลวเจินทำลายจนสูญเสียความกล้าหาญฮึกเหิมจนหมดสิ้น แต่เมื่อถึงห้วงเวลาแห่งความเป็นความตายพวกเขาก็ยังต่อสู้ได้สักยก การบุกของกองทัพต้ายงเริ่มถูกขัดขวาง มิอาจโจมตีได้ดั่งใจอีกต่อไป
ในเวลานี้เอง เผยอวิ๋นผู้หายไปท่ามกลางกองทัพอันโกลาหลก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง ภายในเวลาน้อยนิดเท่านี้ เขาเปลี่ยนอาภรณ์จนเรียบร้อย บนร่างสวมอาภรณ์สีดำกับชุดเกราะสีดำ ผ้าคลุมสีดำด้านหลังสะบัดพลิ้วเสียงดังท่ามกลางสายลมสารท
เบื้องหลังของเขามีองครักษ์คนสนิทติดตามอยู่สิบกว่านาย คนเหล่านี้ล้วนสวมชุดเกราะสีครามเกือบดำตามปกติ แต่บนร่างของพวกเขากลับผูกผ้าคลุมตัวใหญ่สีขาวเอาไว้ บนชุดเกราะมิมีสัญลักษณ์บ่งบอกตัวตน นี่ก็คือเครื่องหมายของค่ายไป๋อีใต้บัญชาของเผยอวิ๋น หนึ่งในคนเหล่านั้นก็คือตู้หลิงเฟิงผู้ลอบเข้าไปยึดด่านซื่อโข่ว คนกลุ่มนี้เคลื่อนขบวนอย่างเชื่องช้าท่ามกลางกองทัพที่กำลังปั่วป่วน มุ่งตรงมายังกระโจมหลังใหญ่กลางกองทัพ
ที่ปรึกษาหวงกำลังบัญชาการทหารหนานฉู่ให้โต้กลับอยู่หน้ากระโจม แม้เขาเป็นขุนนางบุ๋น ยามปกติก็ขี้ขลาดยิ่งนัก แต่อย่างไรเสียก็มีความสามารถทางทหารอยู่บ้าง อีกทั้งทหารหนานฉู่ที่กำลังเป็นฝูงมังกรขาดหัวต้องการเพียงหัวหน้าสักคนก็พอฝืนต้านกองทัพต้ายงที่จำนวนน้อยกว่าพวกเขาอยู่มากได้แล้ว เขาเห็นเผยอวิ๋นพาองครักษ์คนสนิทรุกคืบเข้ามาอย่างเชื่องช้าท่ามกลางกองทัพอันโกลาหล ในใจก็หวาดหวั่นยิ่งนัก หากปล่อยให้คนผู้นี้บุกมาถึงตรงนี้ได้ น่ากลัวว่าคงมิมีโอกาสรักษาค่ายเอาไว้ได้แล้ว
เขาออกคำสั่งอย่างต่อเนื่องให้ขัดขวางกลุ่มคนเหล่านั้นของเผยอวิ๋นไว้ ทว่าคนเหล่านี้ข้างกายเผยอวิ๋นล้วนมีวรยุทธ์แกร่งกล้าอย่างยิ่ง มิจำเป็นต้องให้เผยอวิ๋นลงมือ พวกเขาก็ฟันดาบแทงหอก เปิดทางโลหิตเส้นหนึ่งออกมา ทหารหนานฉู่เบื้องหน้าพวกเขาเริ่มแตกพ่าย จากนั้นก็เริ่มวิ่งหนี แม้แต่ที่ปรึกษาหวงเองก็ทำให้พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งต่อไปมิได้
เผยอวิ๋นจึงบุกมาถึงหน้ากระโจมกลางกองทัพเช่นนี้ เขามิชายตาแลที่ปรึกษาหวงผู้สีหน้าซีดเผือด และถูกทหารปกป้องอยู่ตรงกลาง แต่เงยหน้ามองไปยังธงผืนใหญ่ที่โบกสะบัดอยู่หน้ากระโจมกลางกองทัพด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างยิ่ง จากนั้นก้าวเท้าเดินไปยังธงผืนใหญ่ พลทหารทั้งหลายที่รับผิดชอบปกป้องธงแม่ทัพขัดขืนสุดชีวิต แต่เมื่อตกอยู่ใต้คมดาบและกระบี่ของคนค่ายไป๋อีข้างกายเผยอวิ๋น การขัดขืนของพวกเขาก็กลายเป็นการดิ้นรนที่มิควรค่าเอ่ยถึง
เผยอวิ๋นเดินมาถึงใต้ธงผืนใหญ่ จากนั้นคำรามอย่างดุดัน ออกแรงเหวี่ยงดาบฟันลงไป ประกายแสงเจิดจ้าสายหนึ่งสว่างวาบ ด้ามธงของธงผืนใหญ่สะบั้นหักกลาง ทหารหนานฉู่ในค่ายเห็นธงแม่ทัพหักแล้ว กำลังใจที่ยังเหลืออยู่ก็พังทลายลงจนหมดสิ้น บางคนที่ใจกล้าทิ้งค่ายหนีเอาตัวรอด บางคนทิ้งดาบหอก คุกเข่าหมอบอยู่กับพื้น เลิกต่อต้านอย่างสิ้นเชิง
ธงกองทัพของค่ายใหญ่ฉู่โจวหักลงแล้ว เหลือแต่เศษซากระเนระนาด ทหารสามหมื่นนายนอกจากคนที่หนีเอาตัวรอดกับคนที่สู้จนตัวตาย ครึ่งหนึ่งยอมจำนนแต่โดยดี ที่ปรึกษาหวงมองค่ายใหญ่ที่แตกพ่ายหมดสิ้นแล้วนิ่งงันประหนึ่งวิหคไม้ ผ่านไปเนิ่นนานเขาจึงชักกระบี่คู่กายออกมา หมายจะเชือดบนลำคอ ทว่ามือสั่นระริก มิกล้าลงมือ ยังมิทันให้เขาได้รวบรวมความกล้า องครักษ์คนสนิทคนหนึ่งข้างกายเผยอวิ๋นก็ควบอาชาเข้ามา ฟาดหนึ่งดาบตีบนหลังของเขา ตีจนเขาสลบฟุบไปกับพื้น ตอนนี้สถานการณ์ในค่ายใหญ่ฉู่โจวจึงปรากฏผลแพ้ชนะอย่างสมบูรณ์
ตู้หลิงเฟิงมองดูทหารหนานฉู่ที่ถูกกองทัพต้ายงข่มขู่บีบบังคับให้ทิ้งอาวุธยอมจำนนแล้วหัวเราะเสียงดัง “อาจารย์อา เหตุไฉนกองทัพหนานฉู่จึงเหยาะแหยะเช่นนี้ หากกำลังทหารของพวกเขาล้วนเป็นเช่นนี้หมด เกรงว่ามิต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี พวกเราก็กำจัดหนานฉู่ได้แล้ว”
เผยอวิ๋นมองเขาเรียบๆ แล้วเอ่ยว่า “ลั่วโหลวเจินเป็นคนไร้ความสามารถ รู้จักแต่ใช้เงินกับหญิงงามซื้อใจแม่ทัพใต้สังกัด มิรู้จักจัดการกองทัพฝึกฝนวรยุทธ์ กองทัพไหวตงของหนานฉู่กำลังรบมิเข้มแข้ง หากเจ้าได้เห็นกองทัพใต้บัญชาของลู่ช่านก็จะรู้ว่าหนานฉู่เองก็มีวีรบุรุษผู้กล้าเช่นเดียวกัน หากเจ้าดูแคลนศัตรูเช่นนี้ ข้าคงมิกล้าให้เจ้าเป็นทัพหน้าอีกต่อไป”
ตู้หลิงเฟิงแลบลิ้นใส่ ตอบว่า “ขอรับ ผู้น้อยสำนึกผิดแล้ว มิกล้าดูแคลนศัตรูอีกเด็ดขาด ท่านแม่ทัพอย่าให้ข้าไปอยู่ด้านหลังเลย”
เผยอวิ๋นยิ้มละไมเลิกสนใจเขา แล้วหันไปเอ่ยกับบุรุษวัยกลางคนหน้าตาเที่ยงธรรมคนหนึ่งที่เป็นทหารกล้าอีกคนของค่ายไป๋อี “เว่ยผิง เจ้านำกำลังคนห้าร้อยคนรั้งอยู่ที่นี่เฝ้าดูเชลย ข้าจะบุกจู่โจมฉู่โจวสายฟ้าแลบต่อทันที”
เว่ยผิงเอ่ยอย่างกังวล “ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหนึ่ง มิสมควรไปนำหน้าพลทหาร บุกเข้าค่ายศัตรูมาสังหารลั่วโหลวเจินตามลำพังอาจกล่าวได้ว่าเพราะวรยุทธ์ของแม่ทัพเหนือกว่าพวกเราเหล่านี้ แต่การบุกฉู่โจวสายฟ้าแลบสำคัญยิ่งนัก ขอท่านแม่ทัพโปรดทบทวน หากท่านแม่ทัพเกิดเป็นอันใดขึ้นมา พวกเราจะอธิบายกับแม่ทัพและเหล่าทหารทั้งหลายเช่นไร”
เผยอวิ๋นยิ้ม “เจ้าวางใจเถิด หลังจากยึดฉู่โจวแล้ว ข้าคิดว่าคงมิมีโอกาสเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว จางเหวินซิ่วนำทัพบุกตีซื่อโจว หนึ่งวันหนึ่งคืนก็คงจะยึดสำเร็จ หลังจากนั้นจะรวมกำลังกันโจมตีก่วงหลิง เมื่อบุกยึดหยางโจวได้แล้ว พวกเราก็จะสู้รบกับลู่ช่าน ถึงยามนั้นข้าไหนเลยจะยังมีโอกาสลงมืออีก”
ตู้หลิงเฟิงได้ยินก็ถามว่า “อาจารย์อา ลู่ช่านจะนำกำลังเสริมมาช่วยไหวตงแน่หรือ”
เผยอวิ๋นพยักหน้าตอบว่า “หากหยางโจวตกอยู่ในมือข้า กองทัพของข้าก็จะตั้งทัพอยู่ที่กวาโจว คุกคามจิงโข่วที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หากพวกเขามิยึดจิงโข่ว แต่ขึ้นเหนือตามแม่น้ำไปจนถึงเยี่ยนจื่อจี ก็จะคุกคามเจี้ยนเย่ได้ ดังนั้นลู่ช่านมิมีทางยอมให้พวกเราแสดงแสนยานุภาพในไหวตงอย่างแน่นอน
แม้ซั่งเหวยจวินจะกุมอำนาจอยู่ แต่เวลาสำคัญเขาก็ปล่อยมือเป็น แม้จะชักช้าเสียเวลาไปบ้างก็ตาม พวกเราต้องกำจัดกองทัพหนานฉู่ที่เหลืออยู่ก่อน ต่อให้รวดเร็วอีกเท่าใด อยากจะบุกถึงหยางโจวก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ถึงยามนั้นลู่ช่านจะต้องตั้งทัพรออยู่ที่ฉางเจียงเป็นแน่”
ตู้หลิงเฟยเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้พวกเราเดินทางไปจู่โจมหยางโจว ห้อม้ามิหยุดพัก ให้ลู่ช่านมิมีเวลารีบเร่งเดินทางมาทันเป็นอย่างไร”
เผยอวิ๋นยิ้มละไม ตอบว่า “ศึกนี้ต้องเกิด มิมีทางหลีกเลี่ยงได้ เจ้ามิต้องถามมากแล้ว”
ตู้หลิงเฟิงสีหน้ามึนงง แต่ก็มิกล้าถามต่อ
เวลานี้เว่ยผิงจึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ สถานที่แห่งนี้ยังมีเชลยอีกหมื่นกว่าคน กองทัพของข้าไหนเลยจะมีกำลังพอเฝ้าพวกเขา ขอท่านแม่ทัพโปรดสั่งการว่าจะจัดการเช่นไร”
เผยอวิ๋นตอบว่า “สังหารเชลยมิเป็นมงคล ยิ่งไปกว่านั้นทหารหนานฉู่เหล่านี้ก็หมดสิ้นขวัญกำลังใจแล้ว มิควรค่าให้ทำร้าย เจ้ากักพวกเขาไว้ในค่ายก็ใช้ได้แล้ว หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น พวกเจ้าถอนตัวออกมาก็พอ ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามเหออิ่งก็จะมาถึงแล้ว ส่งมอบค่ายใหญ่ฉู่โจวให้เขาเสร็จ เจ้าก็แบ่งทหารสองหมื่นไปสมทบกับข้าที่ฉู่โจว” กล่าวจบ เผยอวิ๋นก็ออกไปด้านนอก เวลานี้ทัพหน้าที่ติดตามเขามาจู่โจมค่ายใหญ่ฉู่โจวอย่างสายฟ้าแลบตั้งกระบวนทัพรอคอยการมาของเขาอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อถึงยามเว่ย ในที่สุดพลทหารเดินเท้าซึ่งเป็นกำลังหลักของกองทัพต้ายงก็เร่งเดินทางมาถึงค่ายใหญ่ฉู่โจวภายใต้การนำของแม่ทัพวัยกลางคนผู้หนึ่ง สภาพในค่ายที่เขาเห็นทำให้ตาค้างลิ้นพันกัน ทหารหนานฉู่หมื่นกว่าคนนั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ในกระโจมของค่ายโดยมีทหารต้ายงเพียงห้าร้อยนายลาดตระเวนไปมาเฝ้าคุมอยู่ หลังจากพบเว่ยผิง แม่ทัพวัยกลางคนนามเหออิ่งผู้นั้นก็ออกคำสั่งให้กองทัพใหญ่สามหมื่นนายเข้าควบคุมค่ายใหญ่ฉู่โจวทันที ส่วนเว่ยผิงนำทหารม้าสองหมื่นมุ่งไปยังฉู่โจว
สองชั่วยามหลังจากที่ค่ายใหญ่ฉู่โจวแตกพ่าย ค่ายใหญ่ซื่อโจวก็ถูกกองทัพต้ายงห้าหมื่นนายบุกสายฟ้าแลบ เนื่องจากผู้ส่งสารของลั่วโหลวเจินถูกคนของค่ายไป๋อีดักสังหารกลางทาง ค่ายใหญ่ซื่อโจวจึงมิได้เตรียมพร้อมแม้แต่น้อย แต่นับว่าแม่ทัพผู้ดูแลทางด้านนี้ยามปกติใส่ใจกับหน้าที่ทหารอยู่บ้าง จึงป้องกันได้จนถึงรุ่งเช้าวันที่สอง ค่ายใหญ่ซื่อโจวจึงแตกพ่าย
หลังจากนั้นจางเหวินซิ่วจึงนำทหารบุกตีซื่อโจว เจ้าเมืองซื่อโจวขลาดกลัวมิกล้าทำศึกจึงเปิดเมืองยอมจำนน ส่วนฉู่โจวถูกเปลี่ยนมือตั้งแต่เมื่อคืนวาน มาถึงตอนนี้กองทหารที่ปกป้องเมืองแถบไหวตงของหนานฉู่เหลือเพียงค่ายใหญ่ก่วงหลิงเพียงแห่งเดียว
ในที่สุดสงครามปราบหนานฉู่ของต้ายงก็เปิดม่านขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว หยางโจว ดินแดนเลื่องชื่อฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไหวสุ่ย ที่ตั้งศาลาจู๋ซีอันงดงาม สถานที่แห่งทิวทัศน์งามตระการ ทุกหนทุกแห่งล้วนปกคลุมไปด้วยไฟสงคราม กองทหารม้าเหล็กเหยียบย่ำความฝันแสนสุขของหนานฉู่มิเหลือชิ้นดี