ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 29 ขอถามนี่บุตรชายบ้านใด (1)
กองทัพต้ายงกับหนานฉู่ประจันหน้ากันอยู่ ณ ท่าเรือกวาโจว ทั้งสองกองทัพต่างนิ่งมิเคลื่อนไหว สามวันต่อมา ทางไหวซีแจ้งข่าวด่วน กองทัพชุยเจวี๋ยใต้บัญชาของจ่างซุนจี้บุกโจมตีโซ่วชุน กองทัพของต่งซานจากค่ายใหญ่สวีโจวบุกจงหลี ห้าวันจงหลีแตกพ่าย เจ้าเมืองแซ่จูและนายกองแซ่เฉินมิยอมถูกจับเป็นเชลยจึงปลิดชีพตน สองกองทัพร่วมมือกันบุกตีโซ่วชุน โซ่วชุนเป็นเมืองสำคัญของไหวหนาน อยากครอบครองไหวหนานต้องยึดโซ่วชุน
ยามนั้นลู่อวิ๋นบุตรชายคนโตของลู่ช่านรับบัญชาช่วยสือกวนรักษาโซ่วชุน ลู่อวิ๋นอายุสิบสามปี แกล้วกล้าเหนือผู้ใด ทหารและประชาชนไหวซีได้ยินว่ามีลู่อวิ๋นอยู่ ล้วนกล่าวว่าแม่ทัพใหญ่จักต้องมิทอดทิ้งพวกตนเป็นแน่ ดังนั้นจึงร่วมแรงสู้อย่างลืมตาย กองทัพต้ายงมิอาจรุกคืบได้แม้แต่ก้าวเดียว
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม
ในที่สุดก็ยึดเมืองจงหลีสำเร็จ แต่ต่งซานมิยินดีแม้แต่น้อย เมืองจงหลีที่มีกองทหารรักษาเมืองเพียงสามพันนายทำให้เขาลิ้มรสความยากลำบากของการบุกยึดกำแพงเมืองอย่างอิ่มหนำถึงห้าวันเต็ม กองทัพใหญ่สามหมื่นนายบุกตีเมืองทั้งวันทั้งคืน แต่เมืองจงหลีที่เห็นชัดเจนว่าอ่อนแอถึงเพียงนั้นกลับมิยอมจำนนเสียที เมืองรอบนอกถูกยึดแล้วก็ถอยไปยังตัวเมืองชั้นใน ตัวเมืองชั้นในถูกยึดแล้วก็ยังถอยทีละก้าวๆ ลงมาสู้รบบนถนน เมืองจงหลีเล็กๆ แห่งนี้แทบจะสูบโลหิตของกองทัพต้ายงจนเหือดแห้ง
ต่งซานนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ของจวนเจ้าเมืองจงหลี มองดูเจ้าเมืองจงหลีที่ถูกพลทหารผลักให้เดินเข้ามาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าต่อต้านกองทัพโอรสสวรรค์แห่งต้ายง มีโทษมิอาจให้อภัย หากยอมสวามิภักดิ์ ข้าจะละเว้นชีวิตเจ้า หากมิยอมจำนนก็อย่าถือโทษข้าที่ใช้ศีรษะของเจ้าเซ่นไหว้ดวงวิญญาณวีรบุรุษของเหล่าไพร่พลใต้บัญชาข้า”
เจ้าเมืองจงหลีเป็นบุรุษวัยกลางคนอายุสามสิบกว่าปีคนหนึ่ง เขาหัวเราะลั่นตอบว่า “ผู้แซ่จูเป็นทั่นฮวาจากการสอบขุนนางหน้าพระพักตร์เจ้าแคว้น ได้รับพระกรุณาจากเจ้าแคว้นมากมายนัก ไฉนจะยอมคุกเข่าสวามิภักดิ์กับศัตรูได้ อยากสังหารก็สังหาร ไยต้องพูดมากความ”
ต่งซานโกรธจัด สั่งขึ้นว่า “ลากเขาไปประหารหน้าประตู ให้เขาได้แสดงความภักดีสมประสงค์”
พลทหารเหล่านั้นผลักเจ้าเมืองผู้นั้นออกไป พอมาถึงหน้าประตูจวนเจ้าเมืองก็กดเจ้าเมืองผู้นั้นลงกับพื้นจะประหาร เวลานี้เอง แม่ทัพชุดเกราะหลุดลุ่ย หมวกเกราะหล่นหายสภาพน่าอเนจอนาถผู้หนึ่งก็ถูกทหารต้ายงมัดพาตัวมาที่นี่ เมื่อเห็นเจ้าเมืองกำลังจะถูกตัดศีรษะ แม่ทัพผู้นั้นก็ถามเสียงแหบพร่า “ใต้เท้าเจ้าเมือง เหตุใดท่านต้องยืนหยัดปกป้องจนตัวตายมิยอมถอย มิยอมสวามิภักดิ์ตามคำสั่งเบื้องบน”
เจ้าเมืองแซ่จูกล่าวตอบ “ข้ารับบัญชาจากราชสำนักให้ปกป้องเมืองจงหลี ไฉนจะทอดทิ้งเมืองหลบหนีได้ ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพต้ายงบุกรุนแรงนัก หากคิดอยากรักษาชีวิต เมืองจงหลีคงแตกพ่ายนานแล้ว อยากจะถอยทัพตั้งรับ ง่ายดายดั่งพูดเสียที่ไหน
ยิ่งไปกว่านั้น ทหารมากมายปานนั้นเดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ตัวข้าเจ้าเมืองจะปล่อยให้พวกเขารอนานได้เช่นไร แม้ท่านแม่ทัพใหญ่ยอมให้อภัย แต่ท่านกับข้าล้วนเป็นขุนนางหนานฉู่ จะมิพลีชีพเพื่อแว่นแคว้นได้หรือ” กล่าวจบ เจ้าเมืองแซ่จูผู้นั้นพลันขยับลำคอเข้าหาคมดาบเชือดคอตาย
แม่ทัพฟังจบก็ถอนหายใจ “ใต้เท้าเจ้าเมืองเป็นบัณฑิตผู้หนึ่งยังสละชีพเพื่อแว่นแคว้น นับประสาอะไรกับผู้แซ่เฉินที่เป็นทหารคนนี้เล่า” หลังจากเขาถูกจับเป็นเชลย แต่เดิมเขาคิดจะยอมสวามิภักดิ์ เมื่อเห็นเจ้าเมืองปลิดชีพตนเองก็มิละโมบอยากมีชีวิตอีกต่อไป พอเข้าไปในห้องโถง แม้ต่งซานเอ่ยวาจาเกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนน เขากลับมิพูดคำใดทั้งสิ้น ต่งซานหมดความอดทนจึงออกคำสั่งให้ประหารเขาเช่นกัน แม่ทัพผู้นั้นจวบจนสิ้นใจก็มิเอ่ยแม้แต่คำเดียว
หลังจากจัดการจงหลีหนึ่งวัน ต่งซานก็นำกองทัพสวีโจวเร่งเดินทางมาถึงโซ่วชุน ยังห่างจากโซ่วชุนอีกยี่สิบลี้ ชุยเจวี๋ยจากค่ายใหญ่หนานหยางก็ให้ผู้ส่งสารมาต้อนรับด้วยตนเอง หนนี้บุกตีโซ่วชุน ค่ายใหญ่หนานหยางเป็นกำลังหลัก แต่เพราะทหารของค่ายใหญ่หนานหยางมิคุ้นเคยกับภูมิประเทศแถบไหวหนาน ดังนั้นราชสำนักจึงตัดสินใจให้เผยอวิ๋นส่งกำลังพลกองหนึ่งมาสนับสนุนจ่างซุนจี้
ต่งซานกับชุยเจวี๋ยเป็นสหายกันมาแต่เก่าก่อน ทั้งสองคนเคยทำงานอยู่ใต้บัญชาของฉีอ๋อง หลายปีก่อนเพิ่งจะแยกย้ายกันก้าวหน้าไปตามทางของตนเอง องครักษ์คนสนิทที่เดินทางมารับผู้นั้นคือหลานชายในตระกูลของชุยเจวี๋ยนามว่าชุยฟั่ง เขาก็เป็นคนรู้จักเก่าของต่งซานเช่นเดียวกัน ต่งซานบังคับอาชาก้าวไปข้างหน้า มองสำรวจชุยฟั่งตั้งแต่หัวจดเท้าครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงกังวาน “ดีมากเจ้าหนู มิพบหน้ากันหลายปี เจ้าเติบโตถึงเพียงนี้แล้ว เป็นเช่นไร สงครามเป็นอย่างไรบ้าง ท่านอาของเจ้าร่างกายเป็นเช่นไร”
องครักษ์คนสนิทหนุ่มผู้นั้นหัวเราะ “อาต่ง ท่านอาของข้าร่างกายแข็งแรงยิ่งนัก สงครามกำลังดุเดือดอย่างยิ่ง กองทหารรักษาเมืองโซ่วชุนต่อต้านอย่างมิคิดชีวิต ท่านอากำลังรู้สึกว่ากำลังพลมิพอ พวกท่านก็มาพอดี”
ต่งซานตกตะลึงอยู่ในใจ ดูท่าโซ่วชุนแห่งนี้คงจะจัดการมิง่ายเหมือนกัน เขาตอบอย่างขึงขังทันควัน “ต่งซานรองแม่ทัพค่ายใหญ่สวีโจวรับคำสั่งแม่ทัพเผยผู้บัญชาการทหารไหวหนานเดินทางมารับคำบัญชาการจากแม่ทัพชุย”
ผู้ส่งสารคนนั้นเห็นเช่นนี้จึงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ชุยเจวี๋ยแม่ทัพผิงหย่วนแห่งค่ายใหญ่หนานหยาง รับคำสั่งแม่ทัพจ่างซุนบุกตีโซ่วชุน ผู้น้อยชุยฟั่ง รับคำสั่งแม่ทัพเดินทางมารับแม่ทัพต่ง”
ทั้งสองคนกล่าวจบก็ยิ้มให้กัน ต่งซานถ่ายทอดคำสั่งให้ทหารใต้บัญชาเดินทางไปตั้งค่ายก่อน ตนเองนำองครักษ์คนสนิทหลายคนติดตามชุยฟั่งเดินทางไปหาชุยเจวี๋ยที่สนามรบ
ด้านหน้าเมืองโซ่วชุน ควันไฟปกคลุมไปทั่ว ชุยเจวี๋ยผู้อายุสามสิบกว่าปีขมวดคิ้วมองภาพตรงหน้า เดิมทีเขาเป็นบุรุษที่หน้าตาสง่างามผู้หนึ่ง แต่น่าเสียดายบนแก้มกลับมีรอยแผลจากดาบเส้นหนึ่งทำลายความสมบูรณ์แบบ ต่งเชวียควบม้ามาถึงหน้าสนามรบก็เห็นชุยเจวี๋ยกำลังใช้แส้ม้าชี้บนกำแพงเมืองโซ่วชุน สั่งการว่า “ให้หน่วยกล้าตายขึ้นกำแพงเมืองจากตรงนั้น ตำแหน่งนั้นจะต้องมีแม่ทัพของกองทัพศัตรูอยู่แน่ มิเช่นนั้นทหารคุ้มกันคงมิแข็งแกร่งเช่นนี้”
ทันทีที่คำสั่งแม่ทัพถ่ายทอดลงไป ไม่นานทหารสวมเกราะสีครามท่าทางเหี้ยมหาญกองหนึ่งก็ควบอาชาเข้าไปหากำแพงเมืองโซ่วชุน ต่งซานย่อมทราบว่าทหารเหล่านี้ล้วนเป็นทหารที่ทำผิดกฎกองทัพ บางคนก็เป็นนักโทษที่นำมาเสริมกำลังของกองทัพ หากสร้างความดีความชอบแล้วมีชีวิตรอดกลับมาก็จะได้อิสระกลับคืน ดังนั้นยามทำศึก พวกเขาจึงกล้าหาญช่วงชิงกันอยู่ด้านหน้า ห้าวหาญเป็นที่สุด ในกองทัพแต่ละกองของต้ายงล้วนมีหน่วยทหารเช่นนี้อยู่
เวลานี้ชุยเจวี๋ยรู้สึกตัวแล้วว่าต่งซานมาถึง เขาหันกลับมายิ้มทักทาย “จงหลีแตกแล้วหรือ ข้ายังปวดเศียรเวียนเกล้ากับที่นี่อยู่เลย”
ต่งซานคำนับบนหลังม้าแล้วตอบว่า “พี่ใหญ่ชุย ที่ผ่านมาสบายดีหรือไม่ ท่านอย่าล้อข้าเล่นเลย เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งอย่างจงหลี ข้าต้องบุกถึงห้าวัน ผลสุดท้ายเชลยคนสำคัญก็จับไว้ในมือมิได้สักคน”
ชุยเจวี๋ยเอ่ยอย่างประหลาดใจ “อะไรกัน เจ้าเมืองกับหัวหน้าทหารรักษาเมืองของจงหลีต่างสู้จนตัวตายหรือ”
ต่งซานตอบอย่างละอาย “เดิมทีล้วนถูกข้าจับเป็นเชลยได้หมด แต่ข้าโมโหชั่วขณะจึงประหารพวกเขาหมดแล้ว”
ชุยเจวี๋ยตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มเอ่ยว่า “นี่ก็มินับเป็นอันใด แม่ทัพเผยมิตำหนิเจ้าเพราะเรื่องนี้หรอก เป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าจะช่วยเจ้าปกปิดด้วยซ้ำ แต่กองทัพหนานฉู่ของไหวซีแกล้วกล้าชำนาญศึกจริงๆ กองทัพของเจ้าพักสักหน่อยก่อน วันพรุ่งนี้พวกเราค่อยบุกตีเมืองด้วยกัน มิรู้ว่าหน่วยกล้าตายจะทำร้ายกองทัพรักษาเมืองของที่แห่งนี้ได้หนักหนาหรือไม่” กล่าวจบเขาก็ยกแส้ม้าชี้ไปทางกำแพงเมืองโซ่วชุน ต่งซานมองตามขึ้นไป
พลทหารของหน่วยกล้าตายฝ่าห่าศรกับหมู่ก้อนหินปีนขึ้นไปบนกำแพงโดยแทบมิมีอุปสรรคอันใด ต่งซานขมวดคิ้ว ทักขึ้นว่า “ดูเหมือนจะง่ายดายยิ่ง”
ชุยเจวี๋ยตอบอย่างฉงนเช่นกัน “แปลก หลายวันนี้ข้าบุกตีเมืองอยู่หลายหน แต่ละหนทิศทางนี้ล้วนบุกยากเย็นยิ่งนัก ต่อให้ขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้แล้วก็มิมีสักคนรอดกลับมา เหตุไฉนหนนี้จึงง่ายดายเช่นนี้”
ทั้งสองคนเห็นเกราะสีครามของทหารกล้าแห่งหน่วยกล้าตายหายลับไปหลังช่องกำแพงก็ล้วนเกิดความรู้สึกประหลาด สังหรณ์ว่าการบุกหนนี้คงจะมิสำเร็จแล้ว ในเวลานี้เอง บนกำแพงเมืองโซ่วชุนพลันมีเสียงฆ่าฟันและเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นผสมปนเป ช่องกำแพงตรงนั้นมีเงาของทหารหนานฉู่ปรากฏตัวขึ้นอีกหน
ชุยเจวี๋ยกับต่งซานมองหน้ากัน ชุยเจวี๋ยยิ้มเจื่อน “คิดมิถึงว่าหนนี้พวกเขาจะใช้อุบายล่อพวกเราให้ติดกับ”
ต่งซานถอนหายใจ “พวกเขาคงทราบความร้ายกาจของหน่วยกล้าตาย ดังนั้นจึงปล่อยให้พวกเขาบุกเข้าไป จากนั้นค่อยๆ กำจัดพวกเขา พวกเรามองไม่เห็นสถานการณ์ศึกที่เกิดขึ้น หากคิดจะตัดสินใจการบุกก้าวต่อไปตามสถานการณ์ทางฝั่งนั้น มิว่าตัดสินใจเช่นไรก็อาจผิดพลาด แม่ทัพของกองทหารรักษาเมืองที่อยู่ตรงนั้นต้องเป็นผู้ที่เชื่อมั่นในตนเองอย่างมาก ทั้งยังเต็มไปด้วยกลอุบายแน่นอน แต่ข้าเห็นว่าธงแม่ทัพใหญ่มิอยู่ที่นั่น เขาคงเป็นเพียงแม่ทัพธรรมดาคนหนึ่ง เมืองโซ่วชุนมีคนเก่งมากมายจริงๆ”
ชุยเจวี๋ยรู้สึกว่าหนนี้หน่วยกล้าตายคงจะพาตัวเองไปติดกับดักแล้ว แต่มิว่าอย่างไรหน่วยกล้าตายก็ยังต่อสู้อย่างสุดกำลังอยู่แน่ ชนะหรือแพ้ยังมิอาจคาดเดา ดังนั้นเขาจึงสั่งพลทหารฉวยโอกาสบุกเมืองซ้ำ หลังจากถ่ายทอดคำสั่งเขาก็ยิ้มเฝื่อน “ผู้ใดว่ามิใช่เล่า แม่ทัพเผยตีไหวตงราบรื่นดั่งผ่าปล้องไผ่ แต่พวกเราฝั่งไหวซีกลับขยับแต่ละก้าวยากเย็นนัก”
ต่งซานปลอบเขา “นี่จะโทษท่านกับข้ามิได้ กองทัพไหวตงเหลวแหลกมิใช่เพียงวันเดียว แม่ทัพเผยส่งทหารสอดแนมนับไม่ถ้วนมาสืบข่าวทหารของทางไหวตงมาหลายปี รู้จักแม่ทัพของไหวตงกระจ่างดุจฝ่ามือ หากมิใช่เช่นนี้ แม่ทัพเผยไฉนจะเสี่ยงอันตรายเพียงลำพังเข้าไปลอบสังหารแม่ทัพใหญ่ของศัตรูถึงในค่ายใหญ่ฉู่โจว”
ชุยเจวี๋ยสังเกตสถานการณ์บนกำแพงเมืองโซ่วชุนไปพลางก็ยิ้มตอบไปด้วย “ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาทมีพระราชโองการตำหนิแม่ทัพเผย ห้ามมิให้เขาทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอีก อีกนิดเดียวก็เกือบจะลบล้างความดีความชอบที่เขายึดค่ายใหญ่ฉู่โจวตามลำพังได้เสียแล้ว”
ต่งซานเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “แม่ทัพมิเก็บมาใส่ใจหรอก แต่ช่วงนี้เขาคงมิเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายง่ายๆ อีกแล้ว”
ระหว่างที่ทั้งสองคนสนทนาเรื่อยเปื่อย เสียงฆ่าฟันบนกำแพงเมืองก็เงียบไป ชุยเจวี๋ยยิ้มเจื่อน ทราบว่าหน่วยกล้าตายที่ตนเองฝากความหวังไว้อย่างมากคงย่อยยับทั้งกองทัพแล้ว เขาจึงถ่ายทอดคำสั่งชะลอการบุก การบุกตีเมืองหนนี้ก็ล้มเหลวอีกเช่นเคย