ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 31 ขอถามนี่บุตรชายบ้านใด (3)
เด็กหนุ่มเด็กสาวสองคนนี้ย่อมมิล่วงรู้ความคิดของเขา เห็นสือกวนยุ่งอยู่กับการจัดแจงงานของกองทัพ สือซิ่วก็กระชากลู่อวิ๋นไปด้านข้าง ทั้งข่มขู่และหลอกล่อ มิให้เขาเรียกนางว่าพี่สาว
เดิมทีสือซิ่วมีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง ทว่าเขาจากไปตั้งแต่ยังเล็ก ดังนั้นหลังจากสือซิ่วเกิดมา สือกวนจึงเลี้ยงดูสือซิ่วมาเสมือนบุตรชายเพื่อปลอบประโลมมารดากับภรรยา สือซิ่วนิสัยเหมือนบิดายิ่งนัก งานของสตรีที่เด็กผู้หญิงมักถนัด นางล้วนมิแตกฉานสักสิ่ง แต่วิชายุทธ์ วิชาขี่ม้ายิงธนู พอนางได้เรียนกลับทำเป็นทันที ต่อมายังกราบยอดฝีมือจากสำนักเอ๋อเหมยที่ลี้ภัยมาจากสู่จงคนหนึ่งเป็นอาจารย์ร่ำเรียนวิชากระบี่และหมัดภายใน ฝีมือเชิงยุทธ์โดดเด่นเหนือผู้อื่นตั้งแต่อายุยังน้อย
นิสัยของนางแข็งกร้าว มิชมชอบทำงานฝีมือด้วยกันกับเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ชอบแต่ควงหอกกวัดแกว่งกระบี่ ขี่ม้ายิงธนูล่าสัตว์ เมื่อเห็นวรยุทธ์ลู่อวิ๋นแข็งแกร่งตั้งแต่อายุยังน้อยเหมือนกัน ในใจก็รู้สึกเหมือนพบคนนิสัยเข้ากัน พูดคุยกันเพียงครู่เดียว ทั้งสองคนก็คุยเล่นยิ้มร่ากันอย่างสนุกสนานเสมือนหนึ่งพี่น้อง
วันต่อมาชุยเจวี๋ยกับต่งซานตั้งทัพใหม่ยกพลมาบุกตีเมืองอีกหน หนนี้ทั้งสองคนมิสนใจจะทำลายขวัญกำลังใจทหารอะไรอีกแล้ว เพียงบุกตีเมืองอย่างตรงไปตรงมา คว้าจุดอ่อนทุกอย่าง จับทุกโอกาสที่ปรากฏ บุกโจมตีประหนึ่งธารน้ำสายน้อยไหลรินทอดยาว บางครั้งก็บุกโจมตีดุจพายุโหมกระหน่ำ ทั้งจู่โจมตอนกลางคืน บุกจู่โจมสายฟ้าแลบ ใช้หมดทุกวิถีทาง สือกวนก็มิลดราวาศอกแม้แต่น้อย ปกป้องเมืองอย่างมั่นคงประหนึ่งหินผา ตกกลางคืนยังฉวยโอกาสลอบจู่โจมค่าย
เวลาสิบสองวันเต็มๆ ทั้งสองกองทัพแทบจะควักกลอุบายบุกตีเมืองและปกป้องเมืองออกมาใช้จนครบ กองทหารรักษาเมืองของโซ่วชุนอาศัยกำแพงเมืองอันแข็งแกร่งปกป้องจึงพอกล่าวได้ว่ากำลังสูสีทัดเทียมกับกองทัพต้ายง ในด้านกำลังรบ แม้กองทัพต้ายงจะแข็งแกร่งกว่าอยู่บ้าง แต่กองทัพไหวซีก็มิใช่พวกอ่อนแอ เรียกได้ว่าสองฝั่งขันแข่งกันจากขวัญกำลังใจของทหารและความทรหด ในเรื่องนี้กองทหารรักษาเมืองโซ่วชุนก็มีมิขาดแคลน
หลายวันนี้กองทัพศัตรูบุกจู่โจมหนักทิศทางใด ลู่อวิ๋นก็แทบจะไปป้องกันเมืองทิศทางนั้น จากเริ่มแรกยังมิสันทัดจนต่อมาชำนิชำนาญ เขากลายเป็นทหารกล้าหนึ่งในพันลี้ของกองทัพหนานฉู่แล้ว แม้แต่ทหารต้ายงที่บุกตีกำแพงเมืองอยู่ด้านล่างก็ทราบว่าโซ่วชุนมีนายทหารหนุ่มผู้กล้าที่เป็นนักธนูมือฉมังตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่คนหนึ่ง
ลู่อวิ๋นที่เป็นเช่นนี้กลายเป็นเสาหลักในใจของทหารและประชาชนโซ่วชุน ขอเพียงลู่อวิ๋นอยู่ที่นี่ ถ้าเช่นนั้นย่อมต้องมีทหารกองหนุนมา ลู่อวิ๋นอายุยังน้อยก็กล้าหาญเช่นนี้ แม่ทัพใหญ่ลู่ย่อมต้องเป็นดั่งคำร่ำลือ ขอเพียงกองหนุนมาถึงก็จะเอาชนะกองทัพต้ายงได้
ความคิดเช่นนี้ทำให้ทหารไหวซีทุกนายล้วนกล้าหาญมิกลัวตายจนทำให้โซ่วชุนกลายเป็นสมรภูมินรกที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากเป็นรองเพียงเมืองเซียงหยางในความคิดของทหารทัพต้ายง
สือซิ่วเองก็มิแสดงความอ่อนแอแม้แต่น้อย นางมีความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะประชันฝีมือกับลู่อวิ๋น กระบี่ล้ำค่ากับคันศรแกะสลักของนางพรากชีวิตคนไปมิน้อยกว่าลู่อวิ๋นสักเท่าใด นอกจากนั้นมิทราบว่าเจตนาหรือไม่ ทั้งสองคนล้วนใส่ชุดเกราะแบบเดียวกัน ขนาดรูปร่างใกล้เคียงกัน มีทักษะการยิงธนูอันล้ำเลิศดุจเดียวกัน แม้คนหนึ่งจะใช้ดาบ คนหนึ่งจะใช้กระบี่ แต่ในสายตาของกองทัพต้ายง พวกเขาก็ถูกมองว่าเป็นคนเดียวกัน ดังนั้นการที่ทหารหนุ่มผู้กล้าแห่งโซ่วชุนพริบตาหนึ่งอยู่ทางฟากซ้าย แต่ประเดี๋ยวหนึ่งก็ปรากฏกายทางด้านขวาจึงกลายเป็นหนามตำตาอันลึกลับและน่ากลัวในใจของกองทัพต้ายง
เดือนสิบเอ็ด วันที่ยี่สิบ ยามโหย่ว ในที่สุดกองทัพต้ายงก็หยุดบุก ถอยกลับไปโดยมิได้สิ่งใดสักนิดอีกหน ลู่อวิ๋นมองกองทัพต้ายงเคลื่อนออกไป หลายวันนี้เพราะการลอบโจมตีค่ายของกองทัพหนานฉู่ กองทัพต้ายงจึงย้ายไปตั้งค่ายห่างสิบลี้ ลู่อวิ๋นขยับแขนขาที่ชาหนึบอย่างเหนื่อยล้ายิ่งนัก จากนั้นก็ทิ้งดาบยาวในมือลง ดาบเหล็กของตัวเขาเองหายไปนานแล้ว ดาบเล่มนี้เขาแย่งมาจากมือของทหารต้ายงที่บุกกำแพงเมือง ใช้จนคมบิ่นย่อมโยนทิ้งได้
ทันใดนั้นสือซิ่วก็ก้าวยาวเดินมาหา ชุดเกราะบนร่างของนางย้อมโลหิตทั้งตัว ทั้งยามปกป้องกำแพงเมืองและยามจู่โจมค่าย ทั้งสองคนมักจะปรากฏตัวคนละตำแหน่งอย่างเข้าขา แม้นกั้นกลางด้วยผู้คนพันหมื่น แต่เหมือนมีพลังงานล่องหนบางอย่างผูกพวกเขาไว้ด้วยกัน ทำให้รู้สึกราวกับสัมผัสการมีอยู่ของอีกฝ่ายได้
สือซิ่วก้าวเข้ามาหาลู่อวิ๋นแล้วว่า “น้องอวิ๋น คืนนี้ยังจะไปปล้นค่ายหรือไม่”
ลู่อวิ๋นส่ายหน้าตอบว่า “อวี้จิ่น วันนี้มิได้ ปล้นติดต่อกันสามวัน วันนี้กองทัพต้ายงต้องเตรียมตัวป้องกันไว้แน่ ข้าปรึกษากับท่านลุงแล้ว”
ระหว่างการลอบปล้นค่ายและการบุกตีเมืองของกันและกันระหว่างกองทัพต้ายงกับกองทัพหนานฉู่ ลู่อวิ๋นแสดงลางสังหรณ์อันเฉียบคมออกมา เขาเลือกจังหวะปล้นค่ายได้อย่างเหมาะสมอย่างยิ่ง อีกทั้งหากกองทัพศัตรูดักซุ่มอยู่ ลู่อวิ๋นก็มักจะสัมผัสถึงความมิชอบมาพากลได้ก่อนหน้าทหารสอดแนมที่ไปสืบ แม้แต่ลู่อวิ๋นก็รู้สึกว่าแปลกเช่นกัน หรือว่าตอนอยู่ฉางอันเขาติดกับดักมากเกินไปจึงทำให้กลายเป็นคนสัมผัสเฉียบแหลมเช่นนี้
ส่วนที่เรียกสือซิ่วว่า ‘อวี้จิ่น’ ก็เป็นเพราะสือซิ่วห้ามไม่ให้เขาเรียกว่าพี่สาว แต่จะเรียกขานนามตรงๆ ก็รู้สึกว่าเสียมารยาท ดังนั้นลู่อวิ๋นจึงตัดสินใจเรียกขานนามรองที่อาจารย์ของสือซิ่วตั้งให้นางเมื่อครึ่งปีที่แล้วก่อนที่อีกฝ่ายจะจากไป
สือซิ่วพยักหน้า ตอบอย่างมิได้คิดมาก “ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นพวกเรากลับกันเถิด เสื้อผ้าทั้งตัวมีแต่เลือด มิสบายตัวยิ่งนัก” กล่าวจบก็ยักไหล่อย่างรำคาญ ท่าทางเช่นนี้หากสตรีนางอื่นทำคงเถื่อนถ่อยมิน่าดูเป็นแน่ แต่เมื่อสือซิ่วเป็นคนทำกลับให้ความรู้สึกอิสระมิผูกติดกับกฎเกณฑ์ ยิ่งไปกว่านั้นแต่เดิมนางก็แต่งกายด้วยอาภรณ์ของบุรุษ ทำตัวเป็นแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งอยู่แล้ว มีลักษณะของสตรีสักนิดเสียที่ไหน
สิ่งนี้แต่เดิมเป็นกิริยาที่ลู่อวิ๋นเห็นมาจนชินแล้ว แต่มิรู้เป็นอย่างไร วันนี้จู่ๆ หัวใจของลู่อวิ๋นก็สั่นไหว หวนนึกถึงท่านหญิงเจาหวาเจียงโหรวหลันผู้ถูกซุกซ่อนอยู่ลึกในความทรงจำ พบพานหนแรก โหรวหลันสวมอาภรณ์บุรุษทว่าแตกต่างจากสือซิ่ว แม้นางสวมอาภรณ์บุรุษ แต่กลับงามเฉิดฉินกิริยาเรียบร้อย บรรยากาศรอบตัวนางก็บริสุทธิ์ใสสะอาดประหนึ่งน้ำพุใส บางทีอาจเป็นเพราะชาติกำเนิด นางจึงเปล่งประกายเจิดจ้าจับตาถึงเพียงนั้น แม้นางไม่มีท่าทางเอาแต่ใจ ถึงขนาดกล่าวได้ว่านางเป็นคนเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ไร้เดียงสามิมีจิตใจชั่วร้าย แต่ลู่อวิ๋นมักรู้สึกว่าโหรวหลันมีบรรยากาศที่ทำให้ยิ่งแหงนหน้ามองยิ่งรู้สึกสูงส่ง ยิ่งชะเง้อมองยิ่งเหมือนห่างไกล
แต่เด็กสาวคนนี้ตรงหน้ากลับทำให้ลู่อวิ๋นรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดประหนึ่งสหายสนิท ประหนึ่งพี่น้อง มิอาจตัดขาด ยามทั้งสองอยู่ด้วยกันแทบมิจำเป็นต้องพูดก็สื่อสารกันได้อย่างไร้อุปสรรค สือซิ่วมองลู่อวิ๋นที่นิ่งงันอย่างไม่มีสาเหตุแล้วยกเท้าขึ้นเตะอย่างเคยชิน
สัญชาตญาณของลู่อวิ๋นคิดจะหลบ แต่มิรู้เพราะเหตุใดเมื่อเห็นแววตาตำหนิของสือซิ่ว ร่างกายก็ขยับมิได้ สุดท้ายจึงถูกเตะเข้าอย่างจัง ลู่อวิ๋นร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ แม่ทัพและทหารทั้งหลายปิดปากลอบหัวเราะ หลายวันนี้มักจะมีละครสนุกๆ เช่นนี้ให้ดูอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาเห็นกันจนชินแล้ว
เวลานี้องครักษ์คนสนิทข้างกายสือกวนก็วิ่งเข้ามาบอกว่า “แม่ทัพน้อย คุณชาย ท่านแม่ทัพเรียกพวกท่านไปหา”
ลู่อวิ๋นกับสือซิ่วมองกันอย่างประหลาดใจ หลังจากนั้นลู่อวิ๋นก็เลิกนวดขา ลุกขึ้นมุ่งไปยังสถานที่ที่สือกวนอยู่พร้อมกับสือซิ่ว เมื่อมาถึงที่พักของสือกวน ก็เห็นบนไหล่ซ้ายของเขามีวิหคส่งสารขนสีเทาตาสีแดงตัวหนึ่งเกาะอยู่ ลู่อวิ๋นรู้ทันที เขาก้าวเข้าไปถามด้วยความดีใจ “ท่านลุง เวลาโต้กลับมาถึงแล้วหรือ”
สือกวนยิ้มละไม ส่งกระดาษแผ่นบางในมือให้ลู่อวิ๋น ลู่อวิ๋นรับมาอ่าน บนนั้นเขียนอักษรลายเส้นตวัดงดงามทว่าแข็งแกร่งอยู่เพียงตัวเดียวว่า ‘สู้’ ด้านล่างประทับตราทองคำของลู่ช่านแม่ทัพใหญ่แห่งหนานฉู่ นอกเหนือจากตัวอักษร ตรงมุมก็ยังมีตัวอักษรเล็กๆ คำว่า ‘สาม’ อยู่
ลู่อวิ๋นพลันรู้สึกในใจลิงโลด พูดมิออกอีกต่อไป สือซิ่วที่อยู่ด้านข้างมองอย่างมึนงงก่อนจะแย่งกระดาษข้อความไปดูซ้ำไปซ้ำมา
ลู่อวิ๋นคำนับสือกวนแล้วเอ่ยว่า “ท่านลุง ลู่อวิ๋นต้องการติดตามท่านลุงเข้าร่วมกองทัพสังหารศัตรู ขอท่านลุงโปรดอนุญาต”
สือกวนขมวดคิ้วเล็กน้อย ยามปกป้องกำแพงเมืองลู่อวิ๋นย่อมเข้าร่วมได้ ยามลอบจู่โจมค่ายก็มิเป็นปัญหา แต่ในการโจมตีโต้กลับ บนสมรภูมิ ดาบหอกไร้เมตตา หากลู่อวิ๋นเป็นอันใดไปขึ้นมา ตนจะอธิบายกับแม่ทัพใหญ่เช่นไร
เห็นเขาลังเล ลู่อวิ๋นจึงรีบเอ่ยว่า “ท่านลุง ท่านก็ทราบ ช้าเร็วข้าล้วนต้องร่วมทัพสังหารศัตรู หลายวันนี้ท่านก็เห็นวรยุทธ์ของข้าแล้ว หนนี้ออกศึกข้าจะตามท่านลุงติดๆ มิพุ่งออกไปสู้โดยพลการอย่างแน่นอน”
สือซิ่วมองแถบข้อความอยู่นานก็มิเห็นเข้าใจความหมายในนั้นจึงส่งคืนให้ลู่อวิ๋น เวลานี้ลู่อวิ๋นกำลังมองสือกวนด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แต่มือก็รับแถบกระดาษมาอย่างลื่นไหล สือกวนมองการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทั้งสองคนแล้วอดคลี่ยิ้มมิได้ ในใจคิดว่า สาวน้อยของข้าคนนี้ในที่สุดก็ขายออกแล้ว เอาเถิด เจ้าหนุ่มคนนี้ช้าเร็วก็ต้องเข้าสู่สมรภูมิ ติดตามข้าอย่างไรก็ดีกว่าติดตามคนอื่น จึงเอ่ยว่า “ก็ได้ เจ้าเตรียมม้ากับอาวุธ ถึงเวลาตามมาเป็นองครักษ์ข้างกายข้า”
หนนี้สือซิ่วฟังเข้าใจแล้ว ที่แท้ก็จะออกจากเมืองไปสู้นี่เอง นางรีบบอกว่า “ท่านพ่อ ข้าก็จะออกศึกสังหารศัตรูด้วย”
หนนี้สือกวนกลับมิรับปาก ว่าอย่างกรุ่นโกรธ “เหลวไหล เด็กผู้หญิงอีกเดี๋ยวก็ต้องแต่งงาน มิรู้จักร่ำเรียนงานบ้านงานเรือน รู้จักแต่รำดาบแกว่งกระบี่ หนนี้มิได้ เป็นเด็กดีรออยู่ในเมือง”
สือซิ่วดึงแขนเสื้อชุดออกศึกของบิดา “ท่านพ่อ ข้าด้อยกว่าน้องอวิ๋นที่ตรงไหน เขาออกรบได้ เหตุใดข้าจึงทำมิได้ อย่างมากที่สุดข้าก็อยู่เป็นองครักษ์ข้างกายท่านพ่อเท่านั้น อีกอย่างหนึ่ง ข้ามิมีทางแต่งงานกับลูกหลานขุนนางที่ท่านแม่เลือกมาให้พวกนั้นหรอก หากต้องแต่ง ข้าก็จะแต่งกับวีรบุรุษผู้กล้าที่ออกรบสังหารศัตรูด้วยกันกับข้าได้” กล่าวถึงประโยคสุดท้าย ใบหน้าของนางพลันปรากฏสีหน้าเอียงอายเล็กน้อย แต่ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายเจิดจ้า มิมีความคิดจะถอยแม้แต่น้อย