ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 33 ขอถามนี่บุตรชายบ้านใด (5)
ทันใดนั้นแม่ทัพยศต่ำคนหนึ่งในกองทัพหนานฉู่ก็ตวาดด่าเสียงดัง “ต่งซาน เจ้าสังหารพี่ชายข้า ผู้แซ่เฉินจะชำระแค้นกับเจ้า ดีที่สุดเจ้าอย่าได้ยอมจำนน”
ต่งซานมองแม่ทัพผู้นั้นอย่างเย็นชาแล้วหัวเราะกล่าวว่า “ผู้แซ่ต่งสังหารคนบนสนามรบมานับสิบปี ผู้คนที่เคยสังหารมีมากมายนับมิถ้วน ผู้ใดจะทราบว่าพี่ชายของเจ้าคือผู้ใด หากอยากล้างแค้นก็หวดอาชาเข้ามา ไยต้องเอาแต่เสแสร้งวางท่า”
แม่ทัพผู้นั้นโกรธจัด แต่เขามิได้ขี่อาชาอยู่ย่อมมิอาจรบพุ่งกับแม่ทัพทหารม้านายหนึ่งได้ ทำได้เพียงเคียดแค้นจนดวงตาแทบปริแยก
เวลานี้เอง แม่ทัพน้อยอาภรณ์สีขาวสองคนที่อยู่ข้างกายสือกวนก็ย้อนกลับมาจากการสู้รบชุลมุน คนหนึ่งในนั้นเปิดหน้ากากขึ้น เอ่ยเสียงดัง “แม่ทัพต่ง บางทีท่านอาจมิสนใจความเป็นความตายของตนเอง แต่ท่านมิรักเหล่าทหารของท่านหรือ ท่านจะให้ทหารใต้บัญชาตายหมดทั้งกองทัพหรือไร หากท่านยอมวางอาวุธ ข้ารับประกันว่าจะปฏิบัติต่อทหารใต้บัญชาของท่านอย่างให้เกียรติ กองทัพของข้าจะมิเข่นฆ่ากระทำทารุณต่อพวกเขาอย่างเด็ดขาด”
ดวงตาของต่งซานทอประกายเจิดจ้ายามมองเด็กหนุ่มผู้นั้น ดูหน้าตาแล้วอายุมิพ้นสิบสามสิบสี่ปี แต่กลับองอาจกล้าหาญ เป็นวีรบุรุษหนุ่มที่ดีคนหนึ่ง เขาหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “หากต้องการให้ผู้แซ่ต่งยอมจำนน นั่นเป็นไปมิได้ เอาเช่นนี้เถิด หากพวกเจ้ามีทหารกล้าที่เอาชนะข้าได้บนสนามรบ ข้าขอสาบาน ณ ที่นี้ มิว่าข้ารอดหรือตาย ทหารใต้บัญชาของข้าล้วนจะทิ้งอาวุธยอมจำนน”
สายตาของสือกวนสบกับหัวหน้ากองทหารม้ากองนั้น พวกเขามิใช่คนใจอ่อน เพียงแต่กังวลว่าหากใกล้ถึงเวลาตาย กองทัพต้ายงกองนี้จะแว้งกลับมาทำให้กองทหารม้าฝั่งตนเองสูญเสียมากเกินไป หากเป็นเช่นนั้นย่อมมิคุ้มค่า แต่หากพูดถึงการต่อสู้ตัวต่อตัว จะมีผู้ใดมั่นใจว่าเอาชนะแม่ทัพต้ายงผู้นี้ได้เล่า หากพ่ายแพ้ จะมองหน้าสหายร่วมรบกับแม่ทัพใหญ่ลู่ได้เช่นไร
สายตาของทั้งสองคนจับอยู่บนร่างของลู่อวิ๋นพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ลู่อวิ๋นเป็นบุตรชายของลู่ช่าน หากเขาสู้กับต่งซาน มิว่าแพ้หรือชนะล้วนอธิบายได้ อย่างไรเสียเขาก็เพิ่งอายุสิบสามปี แต่ทั้งสองคนก็กังวลอีกว่าลู่อวิ๋นจะเกิดเรื่องมิคาดฝันอะไรขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นต้องแย่แน่
เห็นกองทัพหนานฉู่ชักช้ามิตอบรับเสียที ต่งซานก็แหงนหน้าหัวเราะลั่น “เจียงหนานมิมีผู้กล้าจริงดังว่า มิมีผู้ใดกล้าสู้กับข้าสักคน”
คำพูดโอหังของเขากลับจุดโทสะให้คนผู้หนึ่ง เดิมทีสือซิ่วยังกังวลอยู่ว่าตนเองจะต่อสู้จนมัวเมา ลืมสัญญาที่ว่าจะอยู่ติดข้างกายบิดาแล้วอีกประเดี๋ยวจะถูกบิดาต่อว่า แต่เวลานี้เห็นต่งซานโอหังเหิมเกริม คิ้วเรียวของนางก็ลุกตั้ง เปิดหน้ากากขึ้น กล่าวเสียงดังว่า “ต่งซาน ยังมิต้องพูดว่าเจียงหนานไร้วีรบุรุษผู้กล้า แม้แต่พวกเราเด็กน้อยเหล่านี้ เจ้าก็ยังมิแน่ว่าจะเอาชนะได้ หากเจ้ากล้าพอ ข้ากับเขาขอท้าเจ้าสู้พร้อมกัน อายุของพวกเราสองคนรวมกันยังโตสู้เจ้ามิได้ เจ้ากล้ารับคำท้าหรือไม่”
ต่งซานชะงัก แต่เมื่อเขาหวนนึกถึงความแกล้วกล้าเมื่อครู่ของเด็กหนุ่มทั้งสองคน ก็มิรู้สึกว่าเป็นการดูแคลนนัก ในใจคิดว่าพวกเขาอายุยังน้อยก็ออกรบสังหารศัตรู นับว่าเป็นวีรบุรุษ หากได้ตายในมือวีรบุรุษหนุ่มเช่นสองคนนี้ก็มินับว่าอัปยศ หากสังหารพวกเขาได้ยิ่งกำจัดต้นตอเภทภัยได้สองประการ นับว่าคุ้มยิ่งนักจริงๆ ดังนั้นเขาจึงมิยอมให้พวกสือกวนคัดค้าน ควบอาชาพุ่งออกมาจากกระบวนทัพของกองทัพต้ายง ตอบสียงดังกังวาน “ดี ข้าต่งซานยอมรับคำท้าของพวกเจ้า แจ้งนามมา ให้ข้ารู้ว่าคนที่สังหารคือผู้ใด”
ลู่อวิ๋นฟังแล้วความห้าวหาญพลันบังเกิดขึ้นในใจ ลืมคัดค้านอย่างสิ้นเชิง ตอบเสียงกังวานว่า “บิดาข้าครองตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ นามของข้าคือลู่อวิ๋น แม่ทัพต่งโปรดจำไว้”
สือซิ่วกลับฉลาด นามของเด็กผู้หญิงไฉนจะให้ผู้คนล่วงรู้ส่งเดช แม้นางมิถือสา แต่หากมารดาทราบต้องโมโหโกรธาอย่างแน่นนอน จึงตะเบ็งเสียงเอ่ยว่า “บิดาข้าคือแม่ทัพใหญ่แห่งไหวซี ข้านามว่าสืออวี้จิ่น แม่ทัพต่งโปรดอย่าได้ลืม”
แม้ต่งซานจะคิดไว้นานแล้วว่าฐานะของเด็กหนุ่มสองคนนี้จะต้องมิธรรมดา แต่คิดมิถึงว่าคนหนึ่งคือบุตรชายของลู่ช่าน ส่วนอีกคนคือบุตรชายของสือกวน (เขามองมิออกว่าสืออวี้จิ่นคือเด็กสาวนางหนึ่ง) เขาหัวเราะกังวาน “ดี ที่แท้ก็เป็นแม่ทัพน้อยทั้งสอง สมกับเป็นบุตรพยัคฆ์แห่งจวนแม่ทัพจริงๆ”
กล่าวจบก็เงื้อแหลนพุ่งเข้าใส่ ลู่อวิ๋นกับสือซิ่วสบตากัน จากนั้นทั้งสองก็ควบอาชาพุ่งเข้าใส่ สือกวนรีบออกคำสั่งให้เคลื่อนพลธนูออกมา หากต่งซานทำท่าจะทำร้ายลู่อวิ๋นกับสือซิ่ว มิว่าอย่างไรเขาก็จะยิงธนูช่วยคน
อาชาสามตัวเข้าโรมรัน หอกสีเงินสองเล่มกับแหลนอาชาหนึ่งเล่มต่อสู้กันท่ามกลางฝุ่นดินฟุ้งอย่างมิหยุดพัก ชุดเกราะสีครามคล้ายสีดำกับชุดเกราะสีขาวขยับตัดผ่านกันไปมาอย่างชุลมุน ศึกนี้ไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบอยู่ฝั่งเดียวอย่างที่คนจำนวนมากคิด แม้ต่งซานเป็นแม่ทัพผู้กล้าแกร่งของต้ายง แต่ลู่อวิ๋นกับสือซิ่วก็วรยุทธิ์มิอ่อนแอ ผนวกกับทั้งสองคนใจสื่อถึงกัน ร่วมมือกันได้อย่างเข้าขา อีกทั้งต่งซานเองก็เหน็ดเหนื่อยเกือบสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ก่อนแล้ว ศึกนี้จึงสู้กันอย่างสูสี
หนึ่งกระบวนท่า สิบกระบวนท่า ร้อยกระบวนท่า เมื่อสู้กันเกินหนึ่งร้อยกระบวนท่า ทั้งสามคนต่างก็คนเหนื่อยม้าล้า ต่งซานโงนเงนอยู่บนหลังอาชา ส่วนสือซิ่วกับลู่อวิ๋นเองก็สภาพไม่ได้ดีไปถึงไหน ลู่อวิ๋นเป็นบุรุษ อีกทั้งหลายวันนี้ยังคอยใช้ยาที่เจียงเจ๋อมอบให้ มันมีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูกำลังกายยิ่งนัก เขาจึงยังทนไหวอยู่ แต่สือซิ่วหอบแฮ่ก เหงื่อซึมออกมาจากชุดเกราะ แทบจะกำหอกเงินในมือเอาไว้มิไหว
ต่งซานเห็นเช่นนี้จึงทุ่มกำลังที่เหลือทั้งหมดโจมตีใส่สือซิ่ว มิหลีกหลบหอกเงินของลู่อวิ๋นอีกต่อไป แม้สำหรับเขาแล้วลู่อวิ๋นจะมีค่ามากกว่า แต่ตัวเขาที่ตระหนักดีกว่าตนเองเหลือกำลังมิพอ ย่อมเลือกสือซิ่วที่ลงมือง่ายกว่า แหลนแทงเข้าใส่ ก่อนจะทะลุเข้ามาในเสื้อเกราะ หอกเงินของสือซิ่วหลุดจากมือ ร่างกายหงายตกจากหลังม้า
ลู่อวิ๋นขวัญกระเจิง ตวาดลั่นคำหนึ่งจบก็เสือกหอกออกไปสุดกำลังด้วยความโกรธแค้น หอกเงินกลายเป็นเงาสายรุ้งแทงเข้าใส่แผ่นหลังของต่งซาน ทว่าในเวลาที่หอกสีเงินกำลังจะเสียบเข้าบนร่าง ลำตัวของต่งซานพลันเอี้ยวหลบบนหลังม้าด้วยท่วงท่าประหลาด หนึ่งหอกนั้นจึงแทงทะลุเพียงซี่โครงขวา ในขณะที่ลู่อวิ๋นใช้แรงมากเกินไป ร่างกายจึงถลาไปด้านหน้า ต่งซานเผยรอยยิ้มเล็กๆ จากนั้นแทงแหลนอาชาตรงมาที่ลำคอของลู่อวิ๋น มิเห็นอาการบาดเจ็บบนร่างของตนอยู่ในสายตาสักนิด
แทบจะในเวลาชั่วพริบตา สถานการณ์ก็พลิกผันกลายเป็นเช่นนี้ ทหารหนานฉู่ส่งเสียงดังอื้ออึง สือกวนอยากจะออกคำสั่งยิงธนู แต่ร่างกายกลับแข็งทื่อ จับจ้องแต่ร่างของบุตรสาวแสนรักที่ร่วงตกลงมา คำพูดสักคำก็เอ่ยมิออก ขยับมิได้แม้แต่นิดเดียว
แหลนอาชาของต่งซานกำลังจะแทงทะลุลำคอของลู่อวิ๋นอยู่รอมร่อ ใบหน้าของต่งซานเผยรอยยิ้มยินดี ก่อนตายสังหารยอดวีรบุรุษในอนาคตสองคนของหนานฉู่ได้ย่อมเป็นการตายที่คุ้มค่าแล้ว ผู้ใดจะคิดว่าจู่ๆ หน้าอกของเขาก็เจ็บแปลบ เขาก้มศีรษะลงช้าๆ จึงเห็นปลายหอกสีเงินทะลุออกมาจากหน้าอกของตนเอง
ขณะที่ปลายอันคมกริบของแหลนอาชากำลังพุ่งมาเกือบจะถึงลำคอ พริบตาที่ความตายกำลังจะมาเยือนลู่อวิ๋น จู่ๆ ดวงหน้าหล่อเหลารูปงามของสือซิ่วที่กำลังถลึงตาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธเกรี้ยวก็พลันปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา คล้ายกับตกอยู่ในห้วงฝัน แต่แล้วหอกสีเงินที่แทงทะลุหน้าอกของต่งซานกับความเร็วที่ลดลงของแหลนอาชาที่โจมตีมาก็ทำให้เขาได้สติ
เขาพลิกกายลงมาหลบข้างลำตัวอาชา จากนั้นม้วนตัวลงจากหลังม้า หอกสีเงินถูกรั้งกลับมาก่อนจะเสือกออกไปอีกหน หนึ่งหอกนี้แทงถูกท้องน้อยของต่งซาน ถูกหอกแทงจุดสำคัญสามหน ในที่สุดประกายแห่งชีวิตในดวงตาของต่งซานก็มลายหายไป เขาทอดสายตามองท้องนภาทิศเหนืออย่างอาลัย ร่างกายหล่นร่วงจากหลังม้า
ลู่อวิ๋นมิได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีกึกก้องจนหูแทบดับของทหารหนานฉู่ แล้วก็มิได้ยินเสียงตะโกนเศร้าสลดเสียดแทงหัวใจของทหารต้ายง เขาพลิกกายขึ้นอาชา มองสือซิ่วที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างนิ่งงัน ทั้งสองคนมองกันและกันราวกับตกอยู่ในภวังค์ อาชาศึกที่อานว่างเปล่าเพราะสูญเสียเจ้านายกั้นขวางอยู่ตรงกลาง
เมื่อครู่นี้พริบตาก่อนที่แหลนของต่งซานจะแทงถูกสือซิ่ว นางก็เรียกสติกลับมาแจ่มชัด ในใจนางเกิดปฏิภาณไหวพริบในชั่วสายฟ้าแลบ แสร้งทำเป็นต้องแหลนร่วงจากหลังม้า แต่ความจริงแหลนนั่นฝากไว้เพียงรอยแผลไม่ลึกนักรอยหนึ่ง ต่งซานเหนื่อยล้าจนถึงที่สุดแล้ว สัมผัสของมือจึงด้านชา มิรู้ตัวอย่างสิ้นเชิงว่าแหลนนั่นมิได้โจมตีถูกจริงๆ พอเขาหันกลับไปโจมตีสวนกลับ สือซิ่วก็พลิกกายลุกขึ้นมา หอกเงินที่ลอยอยู่กลางอากาศร่วงลงมาในมือราวกับนางคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า นางโจมตีสุดกำลังแทงหอกเข้าจุดตาย ทำให้กำลังมือของต่งซานอ่อนแรงลงจนลู่อวิ๋นหนีรอดจากความตายมาได้
เสียงโห่ร้องยินดียังคงดังอยู่ข้างหู แววตาของทั้งสองคนค่อยๆ ฟื้นกลับมีประกายชีวิต รู้สึกว่าชีวิตหวนกลับมาบนร่างของตน เมื่อย้อนนึกถึงห้วงเวลาที่ความเป็นความตายแขวนอยู่บนเส้นด้ายเมื่อครู่ ทั้งสองคนต่างก็ตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามมิได้ พวกเขาควบอาชาหันหลังกลับไปหาสือกวน สายตาของทั้งสองคนมิผละออกจากกันตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยนึกกลัวว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าจะเป็นเพียงภาพลวงตา ส่วนความจริงอีกฝ่ายตายในมือของต่งซานไปแล้ว
เวลานี้สือกวนได้สติกลับมาแล้ว เขาแอบเช็ดน้ำตาในดวงตาพลางควบอาชาเข้ามารับ สองมือคว้าแขนของเด็กน้อยไว้ข้างละคน จากนั้นตะโกนเสียงดัง “สวรรค์คุ้มครองหนานฉู่ ประทานวีรชนรุ่นเยาว์ให้พวกเรา”
ทหารหนานฉู่ตะโกนก้อง “สวรรค์คุ้มครองหนานฉู่ ประทานวีรชนรุ่นเยาว์ให้พวกเรา ลู่อวิ๋น สืออวี้จิ่น ลู่อวิ๋น สืออวี้จิ่น!”
เสียงตะโกนดังทอดต่อกันมิขาดสาย สะเทือนไปถึงหัวใจผู้คน ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของทหารหนานฉู่ พลทหารต้ายงนายหนึ่งทิ้งอาวุธในมือลงอย่างเศร้าสลด ทหารต้ายงที่เหลือเหมือนได้รับอิทธิพลจากเขา เสียงศาสตราวุธหล่นร่วงทยอยดังขึ้นมิขาด