ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 37 เพียรเยือนกระท่อมสามหน (2)
บนใบหน้าของฮั่วฉงปรากฏสีหน้ากระอักกระอ่วนก่อนจะตอบว่า “ศิษย์จะมีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร จยาจวิ้นอ๋องไหว้วานข้าให้หยั่งเชิงถามท่านอาจารย์ อยากทราบว่าท่านอาจารย์มีแผนการสยบหนานฉู่แล้วหรือไม่ บางทีอาจได้รับคำสั่งมาจากฉีอ๋องกระมัง”
ข้าหัวเราะหยัน “ยุ่งมิเข้าเรื่อง ในเมื่อหลี่หลินมีศักดิ์เป็นถึงจวิ้นอ๋อง จะทุ่มเทความคิดเสียบ้างก็ช่างเถิด แต่เจ้าเป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่ง ไยต้องยุ่งมิเข้าเรื่องเช่นนี้ เจ้าร่ำเรียนตำราของเจ้าให้ดีก็พอ
จริงสิ วันพรุ่งนี้เจ้าจัดการข่าวสารที่กรมกลาโหมส่งมาเรียบร้อยแล้วก็ส่งกลับไป บอกว่าผู้แซ่เจียงเป็นคนเอ้อระเหยลอยชาย มิสนใจข่าวการศึกเหล่านี้ หลังจากนี้หากมีเอกสารเช่นนี้ส่งมาอีกก็บอกว่าข้ากำลังรักษาอาการป่วยอยู่ มิมีเวลาสนใจสิ่งนอกกาย ห้ามเจ้ารับข่าวการศึกเหล่านี้มาเองโดยพลการอีก”
ฮั่วฉงบ่นในใจ เมื่อครู่ท่านมิได้ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่หรือ แล้วยังวิเคราะห์สถานการณ์เป็นวรรคเป็นเวร ตอนนี้ไฉนจึงเปลี่ยนท่าทีเสียแล้วเล่า แต่ปากกลับรีบเอ่ยว่า “ล้วนเป็นศิษย์กระทำโดยพลการ ขอท่านอาจารย์โปรดอภัยด้วย” กล่าวจบก็ถอยออกไปอย่างนอบน้อม
ข้ามองแผ่นหลังของฮั่วฉง มุมปากเผยรอยยิ้มหยันจางๆ เหอะ เจตนาของฉีอ๋องอะไร เป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าจยาจวิ้นอ๋องน่าจะรับคำสั่งมาจากรัชทายาท ส่วนรัชทายาทก็คงรับบัญชามาจากฝ่าบาทอีกที เขาคงอยากจะหยั่งเชิงความคิดของข้าเท่านั้น ดูท่าความพ่ายแพ้ย่อยยับในการบุกตีหนานฉู่หนนี้จะทำให้เจ้าแผ่นดินและขุนนางต้ายงได้สติขึ้นมามาก พวกเขาคงจะหวนคิดถึงหนังสือกราบทูลในวันนั้นของข้า ส่วนฝ่าบาทก็คงเข้าใจแล้วว่าข้ามิได้อาลัยบ้านเกิด แต่พวกเขาต่างหากที่ดูแคลนศัตรู
ยามนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเช่นนี้ คนเหล่านี้ต้องอยากฟังความเห็นของข้าแน่ แต่ข้าเจียงเจ๋อใช่คนที่กวักมือเรียกก็มา โบกมือไล่ก็ไปเสียที่ไหน ในเมื่อพวกเขาเคยสงสัยข้า ข้าก็จะมิยุ่งเกี่ยวกับศึกระหว่างต้ายงกับหนานฉู่ แต่เดิมนี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าปรารถนาอยู่แล้ว อย่างไรเสียพวกเขาทั้งเจ้าแผ่นดินทั้งขุนนางก็เป็นยอดแม่ทัพผู้กรำศึกมานับร้อย หากรุกคืบทีละก้าว ในสถานการณ์เช่นนี้พยายามสักยี่สิบสามสิบปี จะบุกตีหนานฉู่สำเร็จก็คงมิเป็นปัญหากระมัง
ถึงอย่างไรภายในของหนานฉู่ก็มีเรื่องน่ากังวลซ่อนอยู่มากมาย หากลู่ช่านมิคิดจะแสวงหาความก้าวหน้า ข้าคาดว่าภายในเวลาสี่ห้าปีเขาก็คงพบความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว จ้าวหล่งเจ้าแคว้นหนานฉู่ในยามนี้ น่าจะสวมกวานในอีกไม่กี่ปี ถึงยามนั้นเขาก็สมควรปกครองบ้านเมืองด้วยตนเอง นั่นย่อมเป็นโอกาสดีที่สุดที่ซั่งเหวยจวินจะชิงอำนาจทหารกลับมา
แต่ช่วงนี้วิธีการของลู่ช่านมีความโหดเหี้ยมอยู่บ้าง มิเหมือนวิธีการของเขา วิธีการกระทำเรื่องต่างๆ ของคนผู้หนึ่งย่อมเปลี่ยนแปลงได้ยาก เป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าจะเป็นการวางแผนของเหวยอิง สองคนนี้ร่วมมือกันประหนึ่งปลาได้น้ำ มิเป็นประโยชน์ต่อการบุกลงใต้อย่างยิ่ง พอแล้ว ไฉนข้ายังขบคิดเรื่องการปราบหนานฉู่อีก มิใช่คิดแล้วว่าจะเอาตนเองออกมาอยู่วงนอกหรือ
ข้าผินหน้าไปเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อยังครุ่นคิดเคร่งเครียดอยู่ก็ลอบหัวเราะ เมื่อวันก่อนข้าได้ตำราหมากของยอดฝีมือระดับแคว้นมาเล่มหนึ่ง ในนั้นบันทึกการดวลหมากอันล้ำเลิศไว้หลายกระดาน ข้าจึงจงใจนำมาใช้กระดานหนึ่ง ในที่สุดก็ทำเขาลำบากได้ ช่วยกอบกู้หน้าให้ข้าได้บ้าง นึกถึงสภาพก่อนหน้านี้ยามถูกเขาเล่นงานจนเหงื่อแตกพลั่ก ข้าก็มองเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างฮึกเหิมลำพอง หวังจะได้เห็นภาพเขาพ่ายแพ้ยอมจำนน ผู้ใดจะคิดว่าขณะที่ข้ากำลังลำพองอยู่ หัวคิ้วของเสี่ยวซุ่นจื่อก็คลายออกแล้ววางตัวหมากแก้วสีขาวเม็ดหนึ่งลงมา
ทันใดนั้นเกมหมากก็พลิกตาลปัตร หมากสีขาวที่แต่เดิมตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากถือกำเนิดทหารกล้า พลิกแพ้เป็นชนะ กลับมาประจันหน้ากับหมากสีดำ ข้าถอนหายใจเฮือกหนึ่ง รู้ทันทีว่าเล่นงานเสี่ยวซุ่นจื่อมิสำเร็จอีกแล้ว ข้าหยิบตำราหมากเล่มนั้นออกมาจากใต้หมอนหยกแล้วโยนให้เขา จากนั้นก็ดันกระดานหมากออกอย่างฮึดฮัดขัดใจ เอนกายหันข้างนอนลงบนตั่งนุ่ม ใต้ร่างคือฟูกกับผ้าห่มนุ่มนิ่มอบอุ่น ในอากาศมีกลิ่นหอมระรวยจางๆ ข้ารู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย เพราะข้ามิอยากให้ฉางเล่อมาช่วยพูดแทนฝ่าบาท ดังนั้นหลายวันนี้ข้าจึงเตรียมตัวจะนอนค้างในสวนเหมันต์
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มน้อยๆ พลิกตำราหมากดูรอบหนึ่งแล้วเก็บเข้าในอกเสื้อ หลังจากนั้นจึงเก็บตัวหมากพลางเอ่ยว่า “คุณชาย ท่านโกรธเคืองฝ่าบาทเช่นนี้จะดีหรือ อย่างไรเสียเขาก็เป็นเจ้าแผ่นดิน ส่วนคุณชายเป็นขุนนาง”
ผ่านไปเนิ่นนานเจียงเจ๋อก็มิเอ่ยคำใด ตอนที่เสี่ยวซุ่นจื่อเก็บตัวหมากเสร็จ คิดว่าเจียงเจ๋อจะมิตอบแล้วนั่นเอง เจียงเจ๋อก็เอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบว่า “พบเภทภัยต้องตัดไฟแต่ต้นลม หนนี้ฝ่าบาทมิเชื่อถือข้าได้หนหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นวันหน้าเล่า ข้ามิอาจเหลือภัยซ่อนเร้นเอาไว้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากข้าแสดงท่าทางใจกว้าง อาศัยสติปัญญาของฝ่าบาทจะมองมิออกได้เช่นไรว่าข้าแคลงใจต่อเขาแล้ว ข้ามีแต่ต้องใช้นิสัยที่แท้จริงสร้างความลำบากให้เขาเท่านั้น เขาจึงจะเชื่อว่าข้ามิได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขาเพราะเรื่องนี้”
เสี่ยวซุ่นจื่อเงียบงัน เขามิถามต่ออีก คำถามอย่างเช่นว่าในใจเจียงเจ๋อเกิดความไม่พอใจต่อฮ่องเต้จริงหรือไม่ เจียงเจ๋อยังผูกพันกับหนานฉู่อยู่ ดังนั้นจึงมิยินดีถวายแผนการปราบหนานฉู่จริงหรือไม่ เมื่อเจียงเจ๋อตัดสินใจแล้ว มิว่าจะมิสมเหตสมผลมากเพียงใด เขาล้วนมิคัดค้าน
หลังจากเก็บกระดานหมากเสร็จแล้ว เขาก็เพิ่มเครื่องหอมช่วยสงบใจเข้าไปในเตากำยาน หลังจากนั้นจึงนำผ้าห่มขนสัตว์มาห่มไว้บนร่างของเจียงเจ๋อผู้สะลึมสะลือสู่ห้วงนิทรา ทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้น เขาจึงนั่งทำสมาธิโคจรลมปราณอยู่บนเบาะทรงกลมด้านข้าง สำหรับเขา การนอนหลับเป็นเรื่องที่มิสำคัญนักเรื่องหนึ่งไปเสียแล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปมองเจียงเจ๋อที่ยังหลับลึกอยู่ จากนั้นหมุนตัวไปเปิดประตูห้องแล้วเดินออกไป มองปราดเดียวก็เห็นขบวนคนกำลังเดินมาทางนี้ คนหนึ่งในนั้นสวมผ้าคลุมผืนใหญ่ปิดบังใบหน้า แต่อาภรณ์สีเหลืองที่โผล่ออกมาวับๆ แวมๆ กับองครักษ์ข้างกายเขายังคงทำให้เสี่ยวซุ่นจื่อทราบตัวตนของเขาตั้งแต่แวบแรก เมื่อคนเหล่านั้นเดินเข้ามาถึงตรงหน้า บุรุษวัยกลางคนที่ปิดบังใบหน้าผู้นั้นก็ถามขึ้นว่า “สุยอวิ๋นหลับแล้วหรือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อก้มศีรษะอย่างสำรวมแล้วตอบว่า “คุณชายหลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ ระยะนี้คุณชายนอนหลับยากยิ่งนัก ดังนั้นจึงจุดเครื่องหอมช่วยให้ผ่อนคลาย เกรงว่าคุณชายคงจะมิตื่นก่อนรุ่งเช้า อีกประการหนึ่ง ช่วงนี้ร่างกายของคุณชายก็มิค่อยดี เกรงว่าคงจะมารับเสด็จมิได้”
คนผู้นั้นยิ้มจืดเจื่อนน้อยๆ แล้วเงยหน้าขึ้น หมวกของผ้าคลุมไถลร่วงเผยให้เห็นดวงหน้าที่ล่วงเลยวัยหนุ่มไปแล้ว แต่ยังคงมีสง่าราศีดังเดิม การให้กรมกลาโหมส่งสารมากับการหยั่งเชิงผ่านฮั่วฉงก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการขออภัยของเขา แต่วันนี้ดูท่าเจียงเจ๋อคงมิรับ คนผู้นี้ยังคงนิสัยเฉกเช่นวันวาน จนบัดนี้ก็ยังมิเปลี่ยน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลี่จื้อก็ยิ่งรู้สึกผิดกับความแคลงใจที่มีต่อเจียงเจ๋อในช่วงก่อนหน้า เขามองหลี่ซุ่นที่ขวางอยู่หน้าตนเอง แม้ท่าทางจะเคารพนบนอบเช่นนั้น แต่หลี่จื้อทราบดี ความนอบน้อมนั่นเป็นเพียงความเสแสร้งบนเปลือกนอกก็เท่านั้น เขาเชื่อว่าหากตนเองฝืนจะบุกเข้าไป เงามารหลี่ซุ่นจะมิสนใจทั้งสิ้นว่าตนมีฐานะใด เมื่อเรื่องดำเนินไปถึงขั้นนั้นย่อมมิมีทางให้หวนกลับ
หลี่จื้อจนปัญญา จึงได้แต่หมุนตัวจากไป ครุ่นคิดว่าหนนี้จะเกลี้ยกล่อมเจียงเจ๋อเช่นไรดี น่าจะมิยากไปกว่าตอนแรกที่โน้มน้าวให้เขามาทำงานให้ตนเองหรอกกระมัง
ช่วงเวลาต่อจากนั้น เจ้าแผ่นดินและขุนนางต้ายงต่างวุ่นวายอยู่กับการสะสางเรื่องต่างๆ หลังสงคราม ฉู่จวิ้นโหวผู้เก็บตัวมิปรากฏกายมาตลอดกลายเป็นผู้ที่ขุนนางของราชสำนักต้ายงจับตามอง ข่าวลือเรื่องหนึ่งแพร่ไปในหมู่ขุนนางทั้งหลายในนครต้ายงอย่างเงียบเชียบ เล่ากันว่าฝ่าบาทเสด็จมายังจวนขององค์หญิงฉางเล่อหลายหน แต่กลับถูกเจียงเจ๋อปฏิเสธมิพบอยู่นอกสวนเหมันต์ นอกจากคนที่เคยประสบพบด้านที่แข็งกร้าวของเจียงเจ๋อเมื่อตอนแรกอย่างพวกสืออวี้ ขุนนางในราชสำนักที่เหลือล้วนมิกล้าเชื่อเรื่องเช่นนี้
ความจริงเรื่องนี้เป็นเพียงการคาดเดาส่งเดชเท่านั้น เรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ ฝ่าบาทมิมีทางตรัส องครักษ์และขันทีข้างพระวรกายยิ่งมิกล้าพูด แม้แต่คนในจวนองค์หญิงฉางเล่อตั้งแต่บนจดล่าง มากกว่าครึ่งก็เป็นคนที่ฝ่าบาทและฮองเฮาคัดส่งมาอย่างพิถีพิถัน ดังนั้นแต่เดิมเรื่องนี้จึงมิมีผู้ใดเล่าออกไปข้างนอก
ทว่าเรื่องเร้นลับอีกเท่าใดก็ยังมีร่องรอยให้ค้นหา ฝ่าบาทเสด็จไปเยือนจวนองค์หญิงฉางเล่อหลายครั้งหลายคราแต่ต้องกลับอย่างผิดหวังเสมอ เงื่อนงำต่างๆ เมื่อผ่านปากกับหูของเหล่าขุนนาง เค้าโครงของความจริงก็เริ่มปรากฏ แล้วถูกคนที่มีเจตนาซ่อนเร้นกระพือข่าวออกไป ทั่วทั้งท้องถนนก็ล้วนเข้ามาล่วงรู้ด้วย
เพียงแต่ว่าเรื่องนี้แม้แต่ขุนนางฝ่ายตรวจสอบที่ซื่อตรงที่สุดก็ยังปิดปากเงียบ มิต้องพูดถึงว่าอำนาจในเงามืดของฉู่จวิ้นโหวยิ่งใหญ่เพียงใด อาศัยเพียงความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมีต่อเขาก็ทราบแล้วว่าหากตีคนผู้นี้ให้ตายในครั้งเดียวมิได้ ทางที่ดีที่สุดก็อย่าไปล่วงเกินเขาจะดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น หากเรื่องนี้มิมีผู้คนล่วงรู้ ฝ่าบาทก็ยังรักษาหน้าไว้ได้อยู่บ้าง แต่หากเล่าลือกันออกไป น่ากลัวว่าจะกลายเป็นทำให้ฝ่าบาทอับอายจนพิโรธ ถึงยามนั้นขุนนางที่จุดเรื่องนี้ขึ้นมาต้องตกที่นั่งลำบากเป็นแน่แท้
ข่าวลือเรื่องนี้ยังมิทันสงบ ผ่านไปอีกระยะหนึ่งก็มีข่าวลือใหม่เล่าลือออกมาอีก มีคนบอกว่าสาเหตุที่ฉู่จวิ้นโหวเจียงเจ๋อมิยอมวางแผนการ มิยอมรับเสด็จก็เป็นเพราะยังอาลัยแคว้นบ้านเกิดเมืองนอน ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้แม่ทัพใหญ่ผู้เลื่องชื่อลือนามของหนานฉู่ก็ยังเป็นลูกศิษย์สายตรงของเขา เจียงเจ๋อกับตระกูลลู่แห่งหนานฉู่จนบัดนี้ก็ยังมีเยื่อใยต่อกัน ติดต่อกันอยู่บ่อยครั้ง ข่าวลือเรื่องนี้พูดอย่างมีหลักมีฐาน ขุนนางและประชาชนมากมายต่างเชื่อ แม้แต่ขุนนางคนสำคัญในราชสำนักก็พูดกันอย่างห้ามมิได้
หลี่จื้อได้ยินข่าวลือเรื่องนี้ก็พิโรธยิ่งนัก มาจนถึงตอนนี้เขาย่อมมิสงสัยแล้วว่าเจียงเจ๋อวางเฉยต่อต้ายงเพื่อหนานฉู่ แต่เขาก็ทราบว่านิสัยของเจียงเจ๋อดื้อรั้นเป็นที่สุด ตอนนี้เขาก็ขุ่นเคืองตนอยู่ก่อนแล้ว หากปล่อยให้เขาล่วงรู้ข่าวลือนี้เอง มิแน่ว่าอาจจะโมโหจนปิดปากเงียบไปจริงๆ นั่นไยมิใช่แย่อย่างที่สุด ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งให้กรมวินิจการณ์สืบหาต้นตอของข่าวแล้วแล้วออกคำสั่งอย่างจริงจัง ห้ามมิให้ผู้ใดปล่อยข่าวลือนี้ลอยไปถึงหูของเจียงเจ๋อ เพียงแต่ว่าข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วฉางอันแล้ว อยากจะสืบหาก็มิมีต้นตอให้หาพบ หลี่จื้อจึงพิโรธหนักอย่างช่วยมิได้ บรรยากาศในนครหลวงต้ายงตึงเครียดยิ่งนัก