ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 4 ดอกเหมยตูมดุจเมล็ดถั่ว (2)
จิตใจลู่อวิ๋นกำลังหวั่นไหวอยู่จึงตัดใจปฏิเสธไม่ลง แต่แล้วองครักษ์นายหนึ่งก็ก้าวเข้ามาบอกว่า “ท่านหญิง ให้ผู้น้อยช่วยสหายน้อยคนนี้ทำแผลเถิด”
ลู่อวิ๋นตกตะลึง เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นดรุณีน้อยนางหนึ่งหรอกหรือ มิน่าดวงหน้าของนางจึงงามพริ้มเพราอ่อนหวานปานนี้ ต่อมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าองครักษ์นายนั้นเรียกขานดรุณีน้อยผู้นี้ว่าท่านหญิง ก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายคงเป็นคนในราชวงศ์เช่นกัน
หัวใจของลู่อวิ๋นสับสนวุ่นวาย มิทราบว่าเพราะตื่นตระหนกหรือผิดหวัง ลู่อวิ๋นจึงผลักเด็กสาวอาภรณ์สีเหลืองออกอย่างแรงแล้วต่อว่า “เจ้ามิต้องมาเสแสร้งเวทนา”
ดรุณีน้อยผู้นั้นถูกผลักจนเซก้าวหนึ่งเกือบล้ม ตั้งแต่เล็กนางถูกเอาอกเอาใจจนชิน ไฉนจะเคยถูกกระทำเช่นนี้ หากมิใช่ว่าต้องการขออภัยแทน ‘น้องชาย’ ผู้ดื้อรั้นของตน เหตุใดนางจะมาทำแผลให้เด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้ คิดมิถึงเด็กหนุ่มผู้นี้กลับไร้มารยาทปานนี้ ชั่วขณะนั้นพลันอดกลั้นไม่ไหว หยดน้ำตาเอ่อคลอ
แต่เดิมหลี่หลินยืนหน้าบึ้งตึงอยู่ด้านข้าง กำลังคิดว่าจะประจบแก้สถานการณ์อย่างไร แต่เมื่อเห็นลู่อวิ๋นไร้มารยาทเช่นนี้ เพลิงโทสะก็ยากจะระงับไว้ได้ เขาตวัดแส้ชี้ ตวาดว่า “เจ้าคนถ่อยผู้นี้กล้าล่วงเกินท่านหญิงเจาหวา จับตัวเขาพากลับไปรับโทษที่จวน”
แต่เดิมลู่อวิ๋นกำลังรู้สึกละอายใจอยู่ว่าตนเองมิสมควรกระทำกับดรุณีน้อยจิตใจดีผู้นั้นเช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดขอองหลี่หลิน ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับว่าอสนีบาตฟาดลงมากลางฟ้าแจ้ง
ท่านหญิงเจาหวา นามนี้เขารู้จัก เพื่อลอบสังหารเจียงเจ๋อ ก่อนออกเดินทางเขาอ่านเอกสารในห้องหนังสือของบิดามาแล้ว จึงทราบว่าฉู่จวิ้นโหวเจียงเจ๋อมีบุตรีบุญธรรมนางหนึ่ง นามว่าเจียงโหรวหลัน นางได้รับความโปรดปรานจากราชวงศ์ยิ่งนัก จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นท่านหญิงเจาหวา
ดรุณีน้อยคนนี้ตรงหน้าเป็นบุตรสาวของเจียงเจ๋อ แล้วยังเป็นศิษย์น้องเล็กของบิดาตน แม้ว่าหากมิพูดถึงฐานะอาจารย์ บิดาของดรุณีน้อยคนนี้ก็คือขุนนางทรยศแห่งหนานฉู่ เป็นศัตรูคู่แค้นที่ตนต้องลอบสังหาร แต่มิทราบว่าเพราะอย่างไร ในหัวใจของเขากลับว่างเปล่า แม้แต่ตอนที่องครักษ์สองนายเข้ามาจับตนเองมัดก็ยังลืมขัดขืน
ยามนี้หลี่หลินหันไปตวาดใส่โหรวหลัน “ดูสิ เพราะเจ้าใจอ่อนเช่นนี้ เจ้าคนถ่อยคนนี้เป็นสายลับของหนานฉู่ชัดๆ แล้วยังคนพวกนี้ที่ร่วมเดินทางมากับเขาอีก จับส่งไปให้เจ้าเมืองให้หมด สอบสวนให้ดี ดูสิว่าพวกเขามีปัญหาอันใดหรือไม่”
เวลานี้เอง พวกซ่งเจี่ยนที่ลอบร้องในใจว่าแย่แล้วตั้งแต่ก่อนหน้านี้จึงจำต้องก้าวออกมาวิงวอน “ท่านจวิ้นอ๋อง พวกเราล้วนเป็นพ่อค้าที่เคารพกฎหมายเห็นแก่ส่วนรวม สหายน้อยคนนี้มิใช่สายลับอะไรจริงๆ ขอท่านจวิ้นอ๋องเมตตาอภัยด้วย”
หลี่หลินหน้าบึ้งไม่สนใจพวกเขา องครักษ์ทั้งหลายมองหน้ากันแล้วส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา คนหนึ่งในนั้นหยิบแตรสัญญาณออกมา เตรียมจะส่งสัญญาณเรียกทหารราชองครักษ์ที่ลาดตระเวนอยู่ใกล้ๆ
ทันใดนั้นโหรวหลันที่ถูกหลี่หลินต่อว่าจนน้ำตาไหลรินก็ตะโกนเสียงดัง “หลี่หลิน เจ้าพอได้หรือยัง หากเจ้ายังจะก่อเรื่องต่อเช่นนี้ ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีกแล้ว เจ้าเป็นคนหาเรื่องผู้อื่นก่อนจนพานทำให้เขาไร้มารยาทกับข้าแท้ๆ เหตุใดตอนนี้เจ้ากลับจะข่มเหงรังแกผู้อื่นเพิ่มอีก”
หลี่หลินก็โกรธมากเช่นกัน ชี้หน้าโหรวหลันโต้ว่า “ข้ากำลังโกรธแทนเจ้าอยู่ เจ้ากลับไม่รับน้ำใจ พวกเขาเป็นอะไรกับเจ้า เจ้าจึงต้องใส่ใจเช่นนี้ หรือเป็นเพราะว่าพวกเขาคือคนหนานฉู่ เจ้าจึงมีไมตรีให้เช่นนี้ อย่าลืมว่าท่านอาเขยเป็นคนหนานฉู่ แต่เจ้าไม่ใช่ เจ้าเป็นคนต้ายง”
โหรวหลันได้ยินก็ปิดหน้าร้องไห้โฮ ร่ำไห้พลางว่า “เจ้า เจ้าพูดจาเหลวไหล เจ้าชอบวางมาดเป็นจวิ้นอ๋อง ทำตัวไม่มีเหตุผล ข้าไม่ต้องการให้เจ้ากำเริบเสิบสาน แต่เจ้ากลับมาด่าข้า ฮือๆ หลังจากนี้ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีกแล้ว”
กล่าวจบนางก็พลิกกายขึ้นม้าจะควบอาชาจากไป หลี่หลินลนลาน บังคับอาชาไปขวางทางโหรวหลัน อ้าปากต้องการจะขอโทษ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย ปากกลับพูดไม่ออก ได้แต่ร้อนรนจนเหงื่อแตกพลั่กดั่งสายฝน
เวลานี้เอง เด็กหนุ่มที่นิ่งดูอยู่ด้านข้างมาตลอดผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างสุขุม “ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว มิใช่เรื่องใหญ่อันใดเสียหน่อย ทะเลาะกันเป็นเด็กน้อยตรงนี้ มีแต่จะให้คนหัวเราะเยาะ หลันเอ๋อร์ จยาจวิ้นอ๋องเพียงต้องการระบายโทสะแทนเจ้า มิได้โกรธเจ้า นิสัยของจวิ้นอ๋องเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ
ขอเพียงตัวตนของสหายน้อยคนนี้ไม่มีปัญหา จวิ้นอ๋องย่อมไม่เอาแต่ใจทำให้เขาลำบาก อย่างมากก็ให้เขาอดทนสองสามวันเท่านั้น หากเจ้าไม่เข้ามายุ่ง จวิ้นอ๋องก็คงไม่โกรธถึงเพียงนี้”
โหรวหลันฟังอย่างนิ่งอึ้ง สุดท้ายก็ก้มหน้ามิพูดจา ความโกรธบนใบหน้าค่อยๆ ลดทอน
เด็กหนุ่มผู้นั้นกล่าวกับหลี่หลินบ้างว่า “จยาจวิ้นอ๋อง หลันเอ๋อร์นิสัยอ่อนโยน มิชมชอบเห็นท่านข่มเหงรังแกผู้อื่น นางเห็นว่าท่านเป็นพี่น้องจึงทำเช่นนี้ ในนครฉางอันมีลูกหลานชนชั้นสูงมากมายปานนั้น ท่านเคยเห็นโหรวหลันยุ่งไม่เข้าเรื่องไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นเช่นนี้เมื่อใด”
หลังจากหลี่หลินฟังจบ สีหน้าก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่ฮั่ว ข้าผิดเอง ข้ามิควรสร้างความลำบากให้คนผู้นี้เพียงเพราะนึกสนใจขึ้นมา” กล่าวจบก็โบกมือ ให้องครักษ์ปล่อยลู่อวิ๋น
ลู่อวิ๋นนวดรอยเชือกบนข้อมือคล้ายว่าตนกำลังตกอยู่ในห้วงฝัน เวลานี้เอง เด็กหนุ่มแซ่ฮั่วผู้นั้นก็บังคับม้าเดินมาข้างหน้าพูดขึ้นว่า “สหายน้อยคนนี้ แม้จยาจวิ้นอ๋องจะทำเกินไปอยู่บ้าง แต่เจ้าก็หยิ่งทะนงเกินไปเช่นกัน ถึงจะกล่าวกันว่าเป็นคนมิอาจไร้ศักดิ์ศรี แต่เจ้าเดินทางอยู่ข้างนอกตัวคนเดียว จะเอาแต่ใจได้เช่นไร
อีกอย่างหนึ่ง หลันเอ๋อร์ของพวกเราปฏิบัติต่อเจ้าอย่างมีมารยาทตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้าจึงมิสมควรพานโกรธนาง นี่คือเงินยี่สิบตำลึง มอบให้เจ้าเป็นค่ารักษาแผลกับปลอบขวัญ เจ้าอย่าปฏิเสธ นี่เป็นมารยาทแล้วก็เป็นน้ำใจ ในเมื่อเจ้าเดินทางมาฉางอันเพื่อตามหาญาติ ย่อมต้องมีข้อลำบากบางประการ หากมีสิ่งใดติดขัดก็ไปหาข้าที่จวนองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อได้ ข้ามีนามว่าฮั่วฉง เจ้าคงเข้าไปเขตพระราชฐานไม่ได้ เพียงฝากข้อความมากับองครักษ์ที่ประตูจูเชว่ก็พอ”
จิตใจของลู่อวิ๋นสงบลงแล้ว แม้มิทราบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีฐานะเช่นไร แต่เขาสนิทสนมกับท่านหญิงเจาหวาเช่นนี้ แล้วยังเรียกขานหลี่หลินด้วยคำว่าจวิ้นอ๋อง ส่วนหลี่หลินก็เรียกเขาว่าพี่ใหญ่ เช่นนั้นฐานะของเขาก็คงมิธรรมดา แล้วในเมื่อเขาอาศัยอยู่ในจวนของเจียงเจ๋อ ย่อมต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอย่างยิ่งกับตระกูลเจียงเป็นแน่
เขาเอ่ยเพียงสองสามประโยคก็หยุดการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างหลี่หลินกับเจียงโหรวหลันได้ คำพูดที่เอ่ยกับตนก็มีมารยาท หากตนเองไม่มีเจตนาร้ายซ่อนอยู่ ความโกรธคงมลายหายสิ้นเป็นแน่แท้ เป็นเหมือนที่ท่านพ่อบอกไว้ คนเช่นนี้น่ากลัวนักจริงๆ
เขาค้อมกายตอบว่า “ขอบคุณพี่ชายที่สั่งสอน ผู้น้อยยังด้อยประสบการณ์จึงล่วงเกินจวิ้นอ๋องกับท่านหญิง ขอท่านทั้งสามโปรดอภัย ลู่อวิ๋นจะอยู่ในนครฉางอันอีกหลายวัน หากจวิ้นอ๋องกับท่านหญิงต้องการไต่ถามสิ่งใด ส่งคนมาเรียกผู้น้อยได้ทุกเมื่อ หากมีสิ่งใดต้องการเรียกใช้ ผู้น้อยก็พร้อมรับบัญชา”
ดวงตาของเด็กหนุ่มแซ่ฮั่วผู้นั้นทอประกายวูบหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มตอบว่า “เป็นเช่นนั้นดีที่สุด” กล่าวจบก็พลิกกายขึ้นอาชา อมยิ้มค้อมกายให้หนึ่งหน ยามนี้หลี่หลินควบม้าจากไปด้วยความรำคาญแล้ว โหรวหลันตามไปติดๆ ก่อนจากไปยังหันมายิ้มให้ลู่อวิ๋นอีกหน ใบหน้าของนางยังคงมีคราบน้ำตา แต่หนึ่งรอยยิ้มนี้กลับประหนึ่งบุปผาวสันต์บานสะพรั่ง มองไม่เห็นความไม่พอใจยามเมื่อครู่อีกแล้ว เด็กหนุ่มแซ่ฮั่วผู้นั้นกับองครักษ์ทั้งหลายควบอาชาไล่ตามไปด้วย
พ่อค้าที่รอดพ้นภัยเหล่านั้นบางคนก็บ่นอย่างขุ่นเคือง บางคนปลอบประโลมกันและกัน ลู่อวิ๋นล้วนมิได้ใส่ใจทั้งสิ้น เวลานี้ในความคิดของเขากำลังขบคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากการพบพานในวันนี้เช่นไร
คนพวกนี้จักต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจียงเจ๋อเป็นแน่ จยาจวิ้นอ๋องหลี่หลินผู้นั้นมองหนแรกก็ทราบว่าเป็นคนเด็ดขาดโหดเหี้ยม หากเขาจับพิรุธของตนได้แม้เพียงเล็กน้อย ไม่รอจนได้หลักฐานชัดแจ้งมาถึงมือก็คงจับตนไปทรมานเค้นให้สารภาพ ส่วนฮั่วฉงผู้นั้นเกรงว่าจะเป็นคนความคิดล้ำลึกผู้หนึ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงองครักษ์ที่คุ้มกันข้างกายเจียงเจ๋อ เพียงเด็กหนุ่มสองคนนี้ก็ทำให้เขาต้องระวังอย่างยิ่งแล้ว
แต่ท่านหญิงเจาหวาเจียงโหรวหลันผู้นั้น นางเป็นบุตรสาวแสนรักที่ถูกเอาอกเอาใจอย่างถึงที่สุด ทั้งยังจิตใจดีงามไร้เดียงสาปานนั้น คงไม่กลายเป็นอุปสรรคของตนแน่ บางทีอาจกลายเป็นตัวช่วยของตน ทำให้ตนหาโอกาสเข้าใกล้เจียงเจ๋อได้เสียด้วยซ้ำ
เมื่อในใจเกิดความคิดเช่นนี้ ลู่อวิ๋นก็พลันรู้สึกรังเกียจตนเองขึ้นมา ตนกลายเป็นคนชั่วช้าเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ถึงขนาดที่ต้องการจะหลอกใช้ดรุณีน้อยผู้หนึ่งเพื่อลอบสังหารบิดาของนาง
ตอนนี้ยังไม่เล่าว่าลู่อวิ๋นตำหนิตนเองในใจเช่นไร ฝั่งเด็กหนุ่มกับเด็กสาวสามคนนั้นที่ห้ออาชากลับมาถึงเขตพระราชฐาน หลี่หลินส่งโหรวหลันถึงประตูบ้านเสร็จก็ตะลีตะลานแผ่นแน่บโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เขาไม่อยากจะถูกโหรวหลันฟ้องเรื่องของตนเองต่อหน้า เพียงนึกถึงแววตาประหลาดขณะที่อาเขยผู้นั้นแย้มรอยยิ้ม ในใจเขาก็หนาวสะท้านแล้ว
จะว่าไปแล้วนิสัยของอาเขยคนนี้ของตนก็ประหลาดจริงๆ ทั้งที่เสด็จลุงโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่เขากลับชอบอ้างความเจ็บป่วยหลบเร้นอยู่ในสวนเหมันต์ตลอด บีบให้เสด็จลุงกับเสด็จพ่อมักต้องเดินทางไปขอคำปรึกษาจากเขา เรื่องนี้ยังพอทำเนา อย่างไรเสียนั่นก็เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับกองทัพและแว่นแคว้น เขาคร้านจะสนใจ อย่างไรเสียวันหน้าเขาก็มิจำเป็นต้องว้าวุ่นใจกับเรื่องนี้อยู่แล้ว
สิ่งที่ทำให้หลี่หลินรู้สึกลำบากก็คืองานอดิเรกสุดโปรดของอาเขยผู้นี้ก็คือการกลั่นแกล้งลูกชายลูกสาวทั้งคู่ของตน นั่นก็คือเจียงโหรวหลันกับเจียงเซิ่น แกล้งมานานหลายปีก็ยังไม่เบื่อ ยามนี้โหรวหลันอาศัยฮองเฮากับรัชทายาทหนุนหลัง นางจึงไม่กลัดกลุ้มมากปานนั้นแล้ว ส่วนเจียงเซิ่นน่ะหรือ ตั้งแต่เล็กก็เรียนรู้ที่จะหลบอยู่ในวัดฝูอวิ๋นไม่กลับบ้าน หากกลับบ้านหนใดก็มักจะเผ่นมาที่บ้านของตนเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากหลี่หนิงน้องสาวของเขาถือกำเนิด เจ้าเด็กคนนี้ก็ไม่ยอมกลับบ้านมากกว่าเดิม
สิ่งที่น่าแค้นใจก็คือ พออาเขยกลั่นแกล้งบุตรชายบุตรสาวของตนเองไม่ได้ ก็ไม่รู้คิดอย่างไรจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ตนเองแทน ทุกครั้งยามตนไปหาเขาที่นั่นล้วนต้องถูกเขาหาข้ออ้างกลั่นแกล้ง หนนี้ตนทำให้โหรวหลันโกรธจนร้องไห้ เขาจะต้องไม่ปล่อยโอกาสไปแน่นอน เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลี่หลินก็อยากจะให้ตนเองมิเคยรู้จักอาเขยผู้นี้ แปลกดีแท้ ตอนแรกเหตุไฉนตนเองจึงรู้สึกว่าอาเขยอ่อนโยนน่าใกล้ชิดกันนะ จะต้องเป็นเพราะความเขลาของวัยเยาว์เป็นแน่