ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 51 ระลอกคลื่นกระเพื่อม (1)
ปีอี่โหย่ว รัชศกหลงเซิ่งปีที่แปด เดือนหนึ่ง จักรพรรดิต้ายงออกราชโองการลับให้จิ้งไห่โหวแซ่เจียงนำกองทัพเรือตงไห่ลงใต้ เดือนสอง วันที่แปด กองเรือตงไห่บุกตีค่ายทหารติ้งไห่แตก วันเดียวกัน จ่างซุนจี้แห่งค่ายใหญ่หนานหยางโอบล้อมเซียงหยาง
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สี่
ซั่งเหวยจวินวางบันทึกคดีในมือลงอย่างพึงพอใจ นี่เป็นเอกสารจากจวนเจ้าเมืองจยาซิง กรมอาญาตัดสินแล้วว่าให้ประหารทันที หนังสือตอบกลับอยู่ระหว่างทางแล้ว ต้องการเวลาอีกเพียงสองสามวัน หนังสือฉบับนั้นก็จะไปถึงจยาซิง
นี่เดิมทีเป็นคดีที่เล็กมากอย่างยิ่งคดีหนึ่ง ขุนนางทิ้งหน้าที่คนหนึ่งถูกตัดสินโทษประหาร แต่เดิมมิจำเป็นต้องให้อัครมหาเสนาบดีซั่งผู้ยิ่งใหญ่สนใจ แต่ซั่งเหวยจวินกลับเชื่อว่าลู่ช่านจะต้องขัดขวางหรือเดินทางมาขอความเมตตาแน่
เขากำลังครุ่นคิดว่าจะยืนกรานมิยอมรับการขอความเมตตาของลู่ช่าน สังหารจิงฉางชิงคนนั้นไปเสีย หรือว่าจะไว้หน้าลู่ช่านสักหน ให้เขาถอยเพิ่มอีกสักหน่อย แต่มิว่าอย่างไรตนก็ล้วนเป็นฝ่ายได้เปรียบ เฉิงเยี่ยผู้เป็นบุตรชายก้าวหน้าขึ้นทุกทีจริงๆ วิธีการเช่นนี้ก็ยังคิดออกมาได้ เพียงแต่มิทราบว่าเป็นความดีความชอบของซ่งอวี๋ผู้นั้นด้วยหรือไม่
ขณะที่เขากำลังใคร่ครวญนั่นเอง หนิงเชียนก็ก้าวผลุนผลันเข้ามารายงานว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี แม่ทัพใหญ่ลู่ช่านขอเข้าพบอยู่ด้านนอก”
ซั่งเหวยจวินมีสีหน้ากระตือรือร้นขึ้นมาทันใด ถามขึ้นว่า “ท่านหนิง ลู่ช่านสีหน้าเป็นเช่นไร”
หนิงเชียนตอบอย่างกลัดกลุ้มกังวล “เขาสีหน้าเคร่งขรึม แม้มองมิออกว่าในใจคิดสิ่งใด แต่เห็นชัดว่าโกรธเคืองอย่างยิ่ง ท่านอัครมหาเสนาบดีต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ”
ซั่งเหวยจวินโบกมือ “ไม่เป็นไร หนนี้ข้าเป็นฝ่ายมีเหตุผล ตัวเขายังประหารหูเฉิงโทษฐานทิ้งหน้าที่ต่อหน้ากองทัพได้ ข้าเพียงสังหารจิงฉางชิงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นหากไล่เรียงอย่างละเอียดแล้ว คนผู้นี้ก็ยังมิแน่ว่าหนีเอาชีวิตรอดมาได้อย่างไร จะตัดสินว่าเขามีความผิดสบคบศัตรูด้วยก็มิใช่ว่าจะมิได้ ข้ามิสังหารตระกูลจิงทั้งตระกูลก็ใจกว้างอย่างยิ่งแล้ว เอาละ เจ้าตามข้าไปต้อนรับทัพใหญ่เถิด” ซั่งเหวยจวินลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก หนนี้เขาทำถูกต้องตามกฎครบถ้วน มิมีทางปล่อยให้ลู่ช่านมีสิ่งใดมาเป็นข้ออ้างเด็ดขาด
ตีนบันไดหน้าห้องหนังสือ ลู่ช่านยืนเอามือไพล่หลังอยู่ เขามีสีหน้าเคร่งขรึมคล้ายน้ำแข็งที่มิละลายมาพันปี ในใจซั่งเหวยจวินรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่อง ความผยองที่หลายวันก่อนถูกเจ้าเด็กรุ่นหลังคนนี้กดลงไปหวนกลับมายังร่างของเขาอีกหน เขาก้าวลงบันไดมาต้อนรับพร้อมกับรอยยิ้มที่มิคล้ายเป็นรอยยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้นว่า “มิทราบว่าแม่ทัพใหญ่มาหาหนนี้มีธุระประการใด เสบียงทหารมีสิ่งใดผิดพลาดหรือ หากเป็นเช่นนั้น ข้าจักตำหนิขุนนางกรมกลาโหมกับกรมคลังให้ตั้งใจทำงาน”
ดวงตาลู่ช่านทอประกายเย็นยะเยือก เขาย่อมทราบเจตนาของซั่งเหวยจวิน แต่น่าเสียดายตนเองมิมีเวลาสู้รบปรบมือกับซั่งเหวยจวินเพื่อคนเพียงคนเดียวแล้ว เขากล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา “อัครมหาเสนาบดีซั่งทราบหรือไม่ว่าวันนี้กองทัพต้ายงเข้าอาณาเขตมาแล้ว”
ซั่งเหวยจวินร่างกายสะท้าน หลุดปากว่า “เป็นไปได้อย่างไร กองทัพต้ายงเพิ่งพ่ายแพ้หนใหญ่กลับไป เหตุไฉนเร็วเพียงนี้ก็ขนไพร่พลกลับมาอีก”
ดวงตาของลู่ช่านทอประกายเย้นหยัน เล่าว่า “หนึ่งเค่อก่อนหน้านี้ ผู้แซ่ลู่ได้รับข่าวจากสายลับว่ากองทัพต้ายงจากค่ายใหญ่หนานหยางยกพลประชิดเซียงหยางอีกหนแล้ว หนนี้ท่าทางดุดัน มิเหมือนแสร้งโจมตี เรื่องนี้ยังพอทำเนา เซียงหยางมีแม่ทัพหรงคุ้มกันอยู่ คาดว่าคงจะมิมีปัญหา
แต่ข่าวทหารอีกทางหนึ่งกลับรายงานมาว่ากองเรือของต้ายงบุกจู่โจมติ้งไห่ กองเรือหังสุ่ยที่เหลืออยู่กำลังทหารมิเพียงพอจึงทำได้แต่รักษาแม่น้ำเฉียนถังไว้ มิให้กองทัพต้ายงบุกลึกเข้ามาในแผ่นดิน หากปล่อยให้กองเรือของต้ายงควบคุมอ่าวหังโจวได้ อู๋จวิ้น เย่ว์จวิ้นช้าเร็วย่อมรักษาไว้มิได้ ถึงเวลานั้นจะมีผลลัพธ์เช่นไร ท่านอัครมหาเสนาบดีคงทราบดี”
แม้ซั่งเหวยจวินมิชำนาญเรื่องการรบ แต่ก็ทราบว่าอู๋จวิ้นกับเย่ว์จวิ้นสองเมืองที่อยู่ติดชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้เป็นแหล่งเสบียงสำคัญของหนานฉู่ หากถูกกองเรือต้ายงบุกปล้น รากฐานของหนานฉู่ย่อมสั่นคลอน แม้นมีเจียงไหวเป็นชัยภูมิคุ้มกันก็ยังถูกศัตรูควบคุมได้อยู่ดี เมื่อคิดจนถึงตรงนี้ สีหน้าพลันเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว เขาถามอย่างยากเย็น “เหตุใดกองทัพต้ายงมิบุกหนิงไห่ แต่กลับยึดติ้งไห่”
ลู่ช่านตอบเสียงราบเรียบ “ค่ายทหารหนิงไห่ตั้งอยู่ตรงชัยภูมิสำคัญ เป็นช่วงคอคอดก่อนฉางเจียงไหลลงทะเล หากเสียที่แห่งนี้ไป ไท่โจว หยางโจวล้วนตกอยู่ในอันตราย หากกองทัพต้ายงล่องเรือทวนน้ำขึ้นมา เจี้ยนเย่ย่อมพบหายนะ แต่ก็เพราะสาเหตุนี้ กองเรือที่ค่ายทหารหนิงไห่จึงมิกล้าหย่อนยานแม้แต่น้อย พวกเขามีข้อได้เปรียบทั้งทางชัยภูมิและกำลังพล ดังนั้นกองทัพต้ายงจึงมิบุกหนิงไห่ แต่ค่ายทหารติ้งไห่แม้ปกป้องอ่าวหังโจวอยู่ แต่มิได้ทำศึกมานานแล้ว ขาดแคลนยุทโธปกรณ์ มิแปลกที่กองทัพต้ายงจะทิ้งของยากมาหาของง่าย”
แม้เสียงของลู่ช่านจะราบเรียบ แต่ซั่งเหวยจวินก็ฟังน้ำเสียงเย็นยะเยือกในถ้อยคำของเขาออก หนิงไห่ ติ้งไห่ ค่ายทหารทั้งสองแห่งเป็นสิ่งที่จักรพรรดิอู่ตี้ของหนานฉู่ก่อตั้งขึ้น แต่เดิมเป็นค่ายทหารสำคัญที่มีไว้ป้องกันโจรสลัดและอยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของเจี้ยนเย่มาตลอด หลายปีที่ผ่านมาแถบอู๋เย่ว์มิมีสงคราม ซั่งเหวยจวินรังเกียจว่าค่าใช้จ่ายของค่ายทหารทั้งสองแห่งมากมายมหาศาลจึงลดค่าใช้จ่ายของกองทัพไปหลายหน
แม้ลู่ช่านเคยถวายฎีกาหลายครั้งเขาก็มิสนใจ แต่เขามิได้ปฏิบัติต่อค่ายทหารทั้งสองแห่งอย่างเท่าเทียมกัน ค่ายทหารหนิงไห่แม่ทัพผู้เป็นหัวหน้านามว่าจ้าวฉวินเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นซั่งเหวยจวินจึงมิยุ่งเกี่ยว แต่เสบียงกับเบี้ยหวัดที่ค่ายทหารติ้งไห่ได้รับแทบจะพอประทังชีวิตได้เท่านั้น แม้แต่การซ่อมบำรุงเรือรบก็มิอาจดำเนินการได้ คิดมิถึงยามนี้กองทัพต้ายงกลับบุกตีค่ายทหารติ้งไห่ จะมิให้ซั่งเหวยจวินใบหน้าหมดราศีได้เช่นไร หากมิใช่ว่าวันนี้เขากุมอำนาจการปกครองอยู่ ความผิดเช่นนี้เพียงพอทำให้เขาเสียตำแหน่งแล้ว
เขาลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “กองทัพต้ายงบุกยึดติ้งไห่ นี่เป็นเรื่องที่คิดมิถึง แม่ทัพใหญ่เดินทางมาหนนี้คงมีคำชี้แนะเป็นแน่ มิทราบว่าสมควรรับมือศัตรูเช่นไร”
ลู่ช่านตอบอย่างเย็นชา “เสียติ้งไห่ อ่าวหังโจวย่อมกลายเป็นจุดที่ขาดการป้องกัน สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงป้องกันอวี๋หังให้เข้มแข็ง เลี่ยงมิให้กองเรือของต้ายงเข้ามายังแม่น้ำเฉียนถัง มิเช่นนั้นย่อมรักษาอู๋เย่ว์ไว้มิได้
ประการต่อมา ไคว่จี อวี๋เหยา เจิ้นไห่ จยาซิง ไห่หนิง ผิงหู ล้วนต้องแบ่งทหารไปคุ้มกัน กองทัพต้ายงที่รุกรานเข้ามาหนนี้คงเป็นกองเรือตงไห่ แต่เดิมพวกเขาก็มีต้นกำเนิดเป็นโจรสลัด สู้รบบนทะเลมิมีผู้ใดสู้ได้ กองทัพเราทำได้เพียงคุ้มกันชายฝั่งทะเลให้มั่นคง มิให้กองทัพต้ายงรุกรานจึงจะมีโอกาสชัยชนะอยู่บ้าง
เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนี้ อู๋เย่ว์สองเมืองต้องใช้เสบียงและกำลังทหารจำนวนนับมิถ้วน ขอท่านอัครมหาเสนาบดีออกคำสั่งลดภาษีที่เก็บจากทั้งสองเมือง ให้แต่ละเมืองก่อตั้งกองกำลังอาสาเพื่อปกป้องมาตุภูมิต่อต้านศัตรู มีแต่ทำเช่นนี้จึงจะลดแรงกดดันของกองทัพฝั่งเราที่เมืองอู๋จวิ้นกับเย่ว์จวิ้นได้”
ซั่งเหวยจวินฟังแล้วเจ็บปวดหัวใจ บริเวณอู๋เย่ว์ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ แม้แต่การลดภาษีเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ขาดทุนอย่างที่ชวนให้หัวใจเจ็บปวด แต่ยามนี้สถานการณ์อันตรายจึงได้แต่ทำเช่นนี้ หากมิก่อตั้งกองกำลังอาสา อาศัยกองทหารรักษาเมืองที่อ่อนแอไร้ความสามารถเหล่านั้น อู๋จวิ้น เย่ว์จวิ้นต้องรักษาไว้มิได้เป็นแน่
หากมิยอมลดภาษี ประชาชนเหล่านั้นไหนเลยจะมีกำลังมาฝึกกองทัพ ฝึกวรยุทธ์เล่า คิดมาคิดไป ขุนนางแถวอู๋เย่ว์มากกว่าครึ่งก็มีแต่ลูกหลานขุนนาง คนที่มีฝีมือเก่งกาจมีน้อยยิ่งนัก ต้องย้ายพวกเขากลับมา หากพวกเขาเสียเมืองเสียดินแดนหรือตายในสงคราม ตนเองคงต้องยุ่งยากเพิ่มอีกมาก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ได้แต่เอ่ยว่า “ทุกสิ่งแล้วแต่แม่ทัพใหญ่ตัดสินใจ ข้าขอมอบกองเรืออวี๋หังกับค่ายทหารติ้งไห่ให้แม่ทัพใหญ่ดูแล”
แม้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ ซั่งเหวยจวินก็ยังจงใจเก็บค่ายทหารหนิงไห่ไว้ ตอนนี้ค่ายทหารหนิงไห่ยังปลอดภัย เขาย่อมมิยินดีส่งมอบกองเรือเช่นนี้ให้ลู่ช่าน ลู่ช่านเข้าใจความคิดเขาจึงเพียงยิ้มเย็นชา ขอตัวจากไป ทิ้งซั่งเหวยจวินผู้อับอายและเสียใจเดินวนเวียนมิอาจสงบใจอยู่ที่นั่น
ปากอ่าวหังโจวของเมืองเย่ว์จวิ้นมีเกาะมากมายเช่นไต้ซาน ติ้งไห่ ผู่ถัว จักรพรรดิอู่ตี้จ้าวเซ่อยกติ้งไห่เป็นอำเภอ ก่อตั้งค่ายทหารให้ปกครองกองเรือของไต้ซานและผู่ถัว ยามค่ายทหารติ้งไห่เรืองอำนาจที่สุด ผิงหู ไห่หนิง อวี๋เหยา เจิ้นไห่ล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของมัน จนกระทั่งซั่งเหวยจวินกุมอำนาจปกครอง ชายฝั่งสงบสุขปลอดภัย เขาจึงลดเสบียงและเบี้ยหวัดของค่ายทหารติ้งไห่หลายหนจนทำให้กองเรือเละเทะ เหล่าทหารอ่อนแอ เป็นเหตุให้กองเรือตงไห่บุกตีครั้งเดียวยึดไต้ซานกับติ้งไห่สำเร็จ ส่วนผู่ถัวแม้ว่าจะยังอยู่ในมือของกองเรือหนานฉู่ แต่ก็ตกอยู่ในวิกฤตแล้ว
ข้ายืนอยู่บนหน้าผาสูง ทอดสายตามองขอบฟ้า หากล่องผ่านทะเลสีครามตรงหน้าผืนนี้ไปก็คือเย่ว์จวิ้นกับเจิ้นไห่ ส่วนถ้าข้ามทะเลจากตรงนี้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือก็คืออู๋จวิ้นกับผิงหู ตะวันตกของผิงหูก็คือไห่หนิง จากไห่หนิงขึ้นฝั่ง หวดแส้เร่งม้ามิถึงหนึ่งวันก็จะบรรลุถึงจยาซิง ที่แห่งนั้นคือสถานที่เกิดของข้า แล้วก็เป็นสถานที่ฝังกระดูกของมารดา
หวนนึกถึงยามนั้นบิดาล้มป่วยจากไปที่เจียงเซี่ย ข้าเกือบจะขายตนเองฝังบิดา ไร้กำลังนำโลงศพของบิดากลับมาฝังเคียงข้างมารดาที่จยาซิง ต่อมาข้าสอบได้เป็นจ้วงหยวน แต่ก็มิได้คืนดีกับตระกูลจิงจึงมิได้ย้ายสุสานมา อย่างไรเสียสุสานของมารดาก็อยู่ในความดูแลของตระกูลจิง บิดาคงมิต้องการอยู่ในรังของผู้อื่น เมื่อนึกขึ้นมาว่าสุสานของมารดาต้องอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ข้าก็เศร้าใจขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ ต้องถอนหายใจยาวเสียงเบา
เสี่ยวซุ่นจื่อก้าวเข้ามาเอ่ยว่า “คุณชาย ที่สูงลมแรง กลับกันเถิด”
ข้ากลับถามเรียบๆ “ฉงเอ๋อร์ทำงานอยู่ข้างไห่เทาได้ดีหรือไม่”
เสี่ยวซุ่นจื่อเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจตอบว่า “แม้ค่ายทหารติ้งไห่จะถูกปล่อยปละมาหลายปี แต่เอกสารและแผนที่ทั้งหมดยังอยู่ เพียงแต่พวกมันล้วนจมอยู่ในกองฝุ่น คุณชายฉงติดตามอยู่ข้างกายท่านมาหลายปี จัดการเอกสารเหล่านี้ได้ดีอย่างยิ่ง เจียงโหวพึ่งพาเขาได้มากทีเดียว”
เวลานี้เองก็มีเงาสีเขียวร่างหนึ่งเดินขึ้นมา เสี่ยวซุ่นจื่อมิจำเป็นต้องหันกลับไปมองก็คลี่ยิ้มเอ่ยว่า “คุณชายฉงมา คงจะจัดแจงเอกสารเรียบร้อยแล้ว”
ข้ายังมิทันตอบ ฮั่วฉงก็รีบเดินมาโค้งต่ำคำนับหนึ่งหนแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์จัดการเอกสารทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในนั้นมีแผนที่ทะเลอย่างละเอียดของอ่าวหังโจว เจียงโหวเชิญท่านอาจารย์ไปหารือการศึกก้าวต่อไปขอรับ”