ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 54 สำเนียงบ้านเกิดยังคงเดิม (2)
เวลานี้เอง ชายหนุ่มผู้เงียบขรึมอีกคนก็เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ จยาซิงตกอยู่ในครอบครองของกองทัพต้ายงแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกลับบ้านเถิด จะได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับครอบครัว”
ชายหนุ่มเหล่านี้ฟังจบก็ทราบว่าตนเองไร้กำลังพลิกสถานการณ์อย่างสิ้นเชิง จึงฉวยโอกาสที่หอเยียนอวี่ยังมิถูกคุมเข้มจากไปทีละคน
จิงซิ่นกลับยืนก้มหน้าเงียบงันอยู่บนหอ สีหน้าเย็นยะเยือก หวนนึกถึงความอัปยศที่บิดาต้องพบพานในฉู่โจว กว่าจะเดินทางหลบหนีภัยกลับมาก็ยากลำบากยิ่งนัก แต่ในสายตาของลูกหลานตระกูลใหญ่ในจยาซิงกลับเป็นเพียงการเสแสร้ง ช่างทำให้เขาแค้นใจนัก ในใจพลันบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา หากตนเข้าร่วมกองทัพทำสงครามขับไล่กองทัพต้ายงออกจากอู๋เย่ว์ คงมิมีผู้ใดตำหนิตระกูลจิงว่าสมคบกับศัตรูอีกต่อไป
ความคิดนี้เกิดขึ้นมาก็ประหนึ่งไฟลามทุ่ง เมื่อเริ่มแล้วมิอาจหยุด เวลานี้เองข้างใต้หอก็มีเสียงวุ่นวายดังขึ้น เขาเดินไปยังหน้าต่างอีกบานแล้วมองลงไปด้านล่าง ทุกแห่งหนบนถนนมีแต่ชาวบ้านที่ตระหนกลนลาน กองทัพต้ายงประหนึ่งคลื่นโลหะสีครามเข้มทะลักมาจากทั่วทุกสารทิศ อำนาจอันแข็งแกร่งของพวกเขาบีบให้ประชาชนหนานฉู่ผู้ไร้กำลังปกป้องตนเองเหล่านี้ทยอยกันปิดประตูกลับบ้าน เมืองจยาซิงทั้งเมืองค่อยๆ ตกอยู่ใต้การควบคุมของกองทัพต้ายง
จิงซิ่นกำลังจะหันหลังกลับเดินลงไปด้านล่าง ฉวยโอกาสนี้กลับบ้าน แต่ยังมิทันเดินลงบันไดก็เห็นทหารอาภรณ์ดำผู้มีฝีเท้าหนักแน่นหลายนายปกป้องเด็กหนุ่มอาภรณ์สีเขียวคนหนึ่งเดินขึ้นบันไดมา จิงซิ่นตกตะลึง ยังมิทันตอบสนอง ทหารนายหนึ่งก็ผลักเขาไปด้านข้าง กุมด้ามดาบถามขึ้นว่า “เจ้าคือผู้ใด เหตุใดเวลานี้จึงยังเตร็ดเตร่อยู่ที่หอเยียนอวี่” ทหารนายนั้นแผ่จิตสังหารออกมาเลือนราง เห็นชัดว่าหากจิงซิ่นตอบมิเข้าท่าก็จะสังหารเขาในดาบเดียว
จิงซิ่นโกรธขึ้นมาเล็กน้อย “เดิมทีผู้เยาว์เที่ยวชมทิวทัศน์ทะเลสาบอยู่ที่นี่ แต่แล้วกองทัพของท่านก็บุกเข้าเมืองมาจึงมิทันหลีกหลบ หากพวกท่านจะทำร้ายกันด้วยเหตุนี้ ผู้เยาว์ก็มิมีคำใดจะกล่าว”
ทหารนายนั้นหัวเราะ “บัณฑิตคนนี้โมโหได้น่ากลัวนักเชียว” กล่าวจบก็หันกลับไปถาม “คุณชายฮั่ว จะจับกุมตัวเขาไว้หรือไม่ขอรับ”
เด็กหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นเดินขึ้นมาแล้วคลี่ยิ้ม “เรื่องนี้เป็นพวกเราเสียมารยาทเอง หอเยียนอวี่แต่เดิมก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อที่ทุกคนมาเที่ยวชมได้อยู่แล้ว พี่ชายจะอยู่ที่นี่ก็มิมีสิ่งใดแปลก ผู้น้อยฮั่วฉงขอถามนามของพี่ชาย ข้าเห็นพี่ชายท่าทางมิธรรมดา เวลาเช่นนี้ยังเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอก คิดว่าคงเป็นชายหนุ่มผู้กล้าแห่งจยาซิง”
จิงซิ่นรวบรวมสติพิจมอง เด็กหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้นี้อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปี หน้าตาธรรมดามิถึงกับโดดเด่นแต่กลับมีสีหน้านิ่งสงบ ทหารอาภรณ์สีดำหลายคนนั้นมองปราดเดียวก็มองออกว่ามิใช่ทหารธรรมดา แม้จิงซิ่นมิค่อยเข้าใจเรื่องในกองทัพมากนัก แต่ก็ทราบว่าอาภรณ์สีดำในกองทัพต้ายงถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญ ผู้ที่สวมอาภรณ์สีดำกับเกราะสีดำได้ย่อมเป็นทหารกล้าแห่งกองทัพต้ายง เด็กหนุ่มผู้นี้อายุน้อยเช่นนี้แต่บัญชาการทหารอาภรณ์สีดำเหล่านี้ได้ย่อมเป็นบุคคลสำคัญของกองทัพต้ายง
แม้ทราบว่าคนผู้นี้เป็นศัตรูตัวฉกาจของหนานฉู่ แต่เมื่อเห็นเขามีสีหน้าเป็นมิตร ในใจจิงซิ่นกลับมิเกิดความรู้สึกเคียดแค้นเกลียดชัง ยามเห็นความสุขุมสง่างามบนสีหน้าของเขาก็ยิ่งมิกล้าชักช้า ค้อมกายคำนับเอ่ยว่า “ผู้เยาว์จิงซิ่น มิกล้ารับคำเรียกขานว่าผู้กล้า”
เด็กหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปวูบหนึ่งแล้วจึงคลี่ยิ้ม “ที่แท้ก็ลูกหลานผู้เก่งกาจของตระกูลจิงแห่งจยาซิงนี่เอง ได้ยินว่าพี่จิงอายุสิบสี่ก็สอบได้จวี่เหริน หากมิใช่หลายปีนี้เก็บตัวอยู่ในบ้านเล่าเรียน มิแสวงหาตำแหน่งลาภยศ เกรงว่าคงมีชื่อบนป้ายทอง กลายเป็นอนาคตเสาหลักของหนานฉู่ไปแล้ว”
จิงซิ่นฟังน้ำเสียงของเขาเหมือนจะมิสนใจชาติกำเนิดตระกูลจิงของตนเอง ในใจกลับรู้สึกโล่ง แต่เมื่อได้ฟังคำยกยอเช่นนี้ของเขาก็เกิดความรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง นับตั้งแต่สองแคว้นทำศึกกัน คนเก่งของแคว้นศัตรูหากมิเอามาเป็นพวกตนเองก็ต้องสังหารให้สิ้นภัย แม้เด็กหนุ่มคนนี้จะพูดจาด้วยท่าทางนิ่งสงบ แต่ก็อาจกำลังพิจารณาตัดสินความเป็นความตายของตนอยู่ก็เป็นได้ แต่เขากลับทำได้เพียงยิ้มละไมให้สถานการณ์เช่นนี้
“คุณชายฮั่วเยาว์วัยเช่นนี้แต่กลับได้รับความเคารพจากทหารกล้าในกองทัพ คิดว่าคงมีตำแหน่งสำคัญยิ่ง บุคคลเช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นเสาหลัก ผู้แซ่จิงไร้ใจแสวงหาตำแหน่งขุนนาง ยามปกติเพียงอ่านตำราร่ำสุรา ยามว่างเที่ยวชมทิวทัศน์ทะเลสาบหนานหู มิมีปณิธานยิ่งใหญ่ห้าวหาญ จะเรียกว่าเป็นเสาหลักได้เช่นไร คุณชายฮั่วยกยอเกินไปแล้ว”
เด็กหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นฟังจบก็ยิ้มบาง ตอบว่า “พี่จิงชมเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงแมลงวันเกาะหางอาชาเท่านั้น มิมีอำนาจแต่ประการอันใด วันนี้มีวาสนาพบหน้ากับคุณชายจิง ผู้แซ่ฮั่วอยากจะเชิญคุณชายร่วมดื่มสักสองสามจอก มิทราบว่าคุณชายคิดเห็นเช่นไร”
จิงซิ่นยิ้มฝืดเฝื่อน มองทหารที่ยืนกุมดาบหลายคนนั้นแวบหนึ่งก็ตอบว่า “มิกล้าขัดบัญชา”
เด็กหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นเชิญจิงซิ่นมานั่ง ลูกจ้างภายในหอตัวสั่นระริกยกสุราอาหารมาให้ จิงซิ่นตกอยู่ภายใต้การจับตาดูของทหารกองทัพต้ายง ตอนแรกในใจก็หวาดวิตก แต่หลังจากดื่มไปสองสามจอก เห็นว่าเด็กหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นมิเคยเอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจิงกับเจียงเจ๋อ แล้วก็มิมีเจตนาจะชักชวนให้เป็นพวก ในใจเขาจึงสงบลง ขณะเดียวกันก็อดเย้ยหยันตนเองอยู่เล็กน้อยมิได้ ดูท่าความสามารถของตนคงมิเข้าตาผู้อื่น จึงกลายเป็นว่าวาจากับกิริยาของเขากลับผ่อนคลายมากขึ้น เด็กหนุ่มอาภรณ์เขียวผู้นั้นบอกว่าตนมาเยือนจยาซิงเป็นหนแรก จึงถามจิงซิ่นเกี่ยวกับสถานที่โด่งดังในจยาซิง
จิงซิ่นเริ่มเมามายเล็กน้อยแล้ว จึงชี้ทะเลสาบหน้าหอแล้วบอกว่า “ทะเลสาบหนานหูของจยาซิง ได้รับขนานนามว่าเป็นความงดงามอันอัศจรรย์แห่งตงหนาน นี่คือทะเลสาบเปียวหู สายน้ำอันงดงามทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของจยาซิง แล้วก็มีทะเลสาบยวนยางที่ทอดต่อจากทะเลสาบแห่งนี้ สองทะเลสาบถูกเรียกขานร่วมกันว่าทะเลสาบหนานหู
ทะเลสาบเปียวหูเป็นจุดรวมสายน้ำทั้งหลาย ธาราไหลมาสั่งสมแล้วทอดยาว ยามทัศนาภูมิประเทศของมันราวกับรวบรวมสรรพสิ่งอันงดงามในใต้หล้ามากองไว้ กลางทะเลสาบยวนยางมีทำนบยาวทอดขวาง บนทำนบมีสะพานหินแห่งหนึ่งนามว่าสะพานห้ามังกร
ทะเลสาบทางตะวันออกของสะพานมีนามว่าทะเลสาบตงหู ฝั่งตะวันตกของสะพานนามว่าทะเลสาบซีหู คนโบราณเคยประพันธ์บทกวีเอาไว้ ‘ตงซีสองทะเลสาบ เคียงขนาบดั่งคู่ยวนยาง นกเป็ดน้ำกลางชลาธาร ประสานปีกงามโผผิน[1]’ บทกวีนี้เป็นการพรรณนาทิวทัศน์อันงดงามของทะเลสาบยวนยาง ทะเลสาบซีหู มีอีกนามว่าทะเลสาบหลี่หู[2] บางทีก็เขียนผิดเป็นอักษรหลี่[3]อีกตัวหนึ่ง ต่อมาผู้คนจึงเรียกเพี้ยนมาเป็นว่าฟ่านหลี่หู[4] ริมทะเลสาบตั้งศาลเจ้าฟ่านเส้าปั๋วไว้ ใช้เซ่นไหว้บุคคลผู้มีความสามารถและคุณธรรม
‘ผลหว้าทิศใต้แต้มฟ่านหลี่หู ดอกท้อป่าร่วงพรูประดับหญ้าวสันต์ ทะเลสาบปลูกรากบัวกลางนที ดุจเรียวแขนไซซีก็มิปาน[5]’ บทกวีบทนี้เล่าขานทิวทัศน์อันงดงามของซีหู เรียวแขนไซซีก็คือชื่อของรากบัวในทะเลสาบซีหู”
ฮั่วฉงฟังอย่างเพลิดเพิน ยิ้มน้อยๆ มองไปเห็นจิงซิ่นสีหน้ากระตือรือร้น แลดูมีสง่าราศีก็นึกถึงชาติกำเนิดของคนผู้นี้ คิดในใจว่ามิเสียทีเป็นญาติกับท่านอาจารย์ เขายกสุราคารวะ กล่าวว่า “พี่จิงมีความสามารถเหนือผู้อื่นจริงๆ น้องก็พอจำบทกวีของคนรุ่นก่อนได้สองสามบทที่พรรณนาทิวทัศน์งามตระการของหอเยียนอวี่ มิทราบว่าพี่จิงเคยได้ยินหรือไม่” กล่าวจบเขาก็ขับขานท่าทางสุขุม “พิรุณโปรยริมธาร ดอกแห้วบานดอกจอกเฉา บนหอแขกเงียบเหงา ม่านฝนไกลคล้ายหมอกควัน เรือแบนแล่นไวว่อง คนหาปลาร้องเพลงเอื่อยเฉื่อย วาโยหอบพัด คู่นกเป็ดน้ำผวาบิน เพียงมิมีผู้ใดได้ยล[6]”
บทกวีบทนี้ขับขานจบ ความคิดหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามาในใจจิงซิ่นดุจสายฟ้า จากนั้นคิ้วก็ขมวดเป็นปม เงียบงันมิเอ่ยวาจา เขาเคยเห็นภาพอักษรชิ้นหนึ่งในห้องหนังสือของท่านปู่ สิ่งที่เขียนก็คือบทกวีบทนี้ ส่วนนามที่ลงไว้ข้างใต้คือบัณฑิตชิงหย่วน บัณฑิตชิงหย่วนก็คืออีกนามหนึ่งของเจียงหันชิวบิดาของเจียงเจ๋อ บทกวีบทนี้มิแพร่หลายนัก อย่างน้อยจิงซิ่นก็มิเคยเห็นว่าในเมืองจยาซิงมีผู้อื่นรู้จัก เด็กหนุ่มผู้นี้กลับขับขานบทกวีออกมาได้ หรือว่าคนผู้นี้กับเจียงเจ๋อจะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน ในใจเขาเกิดความคลางแคลง สีหน้าจึงค่อยๆ เปลี่ยนไป เด็กหนุ่มผู้นั้นถามเขาสามประโยค เขานานทีจะตอบสักประโยคหนึ่ง บรรยากาศบนหอเยียนอวี่อึดอัดขึ้นมาทันใด
[1] จากรวมบทกวีขับขานร้อยความงามแห่งจยาซิง (嘉禾百咏) โดยจางเหยาถง (张尧同) กวีสมัยราชวงศ์ซ่ง
[2] หลี่ (里) ที่แปลว่าด้านใน
[3] หลี่ (蠡) แปลว่าแมลงกินไม้ และเป็นตัวอักษรในชื่อคน
[4] ฟ่านหลี่ (范蠡) หรือ ฟ่านเส้าปั๋ว บัณฑิตผู้ศึกษาวิชาการปกครอง วิชาทหาร วิชาการค้า เป็นผู้ช่วยคิดกลยุทธ์ให้เจ้าแคว้นเย่ว์ทวงคืนแว่นแคว้นกลับมาได้
[5] จากบทกวี เพลงเรือทะเลสาบยวนยาง (鸳鸯湖棹歌) ของถานจี๋ชง (谭吉璁) กวีสมัยราชวงศ์ชิง
[6] บทกวีประเภทเตี่ยนเจี้ยงฉุน ชื่อว่า น้ำหลากยามสารท ณ หอเยียนอวี่ (点绛唇 • 烟雨楼秋泛) ประพันธ์โดยเฝิงเติงฝู่ (冯登府) กวีสมัยราชวงศ์ชิง