ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 60 เพียงล่องนาวา (2)
ข้าคิดมาถึงตรงนี้ก็เอ่ยอย่างตื่นเต้น “บุคคลที่ความสามารถบุ๋นบู๊เพียบพร้อมเช่นนี้ย่อมมิพบหน้ามิได้” เสียงพูดเพิ่งกล่าวจบ ไม่รอฮูเหยียนโซ่วออกปากคัดค้าน ด้านหลังก็มีเสียงเหอะอันเย็นชาดังขึ้น
ข้าตัวสั่นสะท้าน หันกลับไปยิ้มบอกเสี่ยวซุ่นจื่อ “ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว หนนี้หนเดียว” แล้วมองเขาตาปริบๆ กลัวเขาจะเอ่ยปากคัดค้าน
การออกเดินทางหนนี้ข้าเสียเรี่ยวแรงไปอักโขกว่าจะเกลี้ยกล่อมเสี่ยวซุ่นจื่อได้ ยกเหตุผลต่างๆ นานามาพูดเสียครึ่งวันกว่าจะทำให้เสี่ยวซุ่นจื่อยอมพยักหน้าได้อย่างหวุดหวิด ถึงกระนั้นระหว่างทางเขาก็ทำหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ ข้าอยู่ในตัวเรือ เขากลับทำสมาธิอยู่ท้ายเรือตลอด นั่นก็เพราะทะเลาะกับข้า ไม่เช่นนั้นแต่ไหนแต่ไรมาเขาต้องอยู่คอยรับใช้ข้างกายข้าเสมอ
แต่เดิมเสียวซุ่นจื่อก็ไม่พอใจมากอยู่แล้ว ตอนแรกเขาไม่ต้องการปล่อยให้เจียงเจ๋อก่อเรื่องเพิ่มอีก ทว่าเมื่อเห็นคุณชายท่าทางมีชีวิตชีวา ดูผ่อนคลายมีอิสระเสรีขึ้นมาก เขาก็หวนคิดถึงยามคุณชายอยู่ในนครหลวงต้ายง แม้ได้อยู่ท่ามกลางความหรูหรา พร้อมหน้ากับครอบครัว ทว่าก็มิอาจปกปิดความเหนื่อยล้าจางๆ ที่ซ่อนอยู่ มีเพียงห้วงเวลาที่หลุดพ้นจากเรื่องงวุ่นวายในโลกมนุษย์ชั่วคราว เขาจึงเบิกบานใจเช่นนี้ พอคิดดังนี้หัวใจก็รู้สึกทนไม่ได้ ถอนหายใจตอบว่า “จะพบก็พบเถิดขอรับ”
ข้าได้ยินดังนั้น ในใจก็เปรมปรีดิ์ ให้ฮูเหยียนโซ่วออกไปสั่งการ แล่นเรือเข้าไปขนาบข้างเรือน้อย จากนั้นเลิกม่านเดินออกมาจากห้องบนเรือ กล่าวขึ้นเสียงดังว่า “พี่ชายท่านนี้บรรเลงผีผาได้ดียิ่งนัก บทเพลงที่ขับร้องก็ช่างน่าตกใจ ผู้น้อยอวิ๋นอู๋จงแห่งจยาซิง ขอเชิญทั้งสองท่านมาร่วมดื่มชาสักจอก มิทราบว่าทั้งสองท่านจะยินดีรับคำเชิญหรือไม่”
นักพรตผู้นั้นผินหน้ามามองข้าแล้วยิ้มเย็นชา “พวกข้าเป็นคนยากคนจน คงมิคู่ควรเป็นแขกของลูกหลานตระกูลขุนนาง ในเมื่อท่านมีถิ่นฐานบ้านเกิดที่จยาซิงก็สมควรทราบเรื่องที่ยามนี้จยาซิงประสบภัยแล้ว แต่อาตมามิเห็นท่านมีท่าทีโศกเศร้าคับแค้น กลับท่องเที่ยวทะเลสาบยามวสันต์เช่นนี้ ช่างเป็นคนไร้หัวจิตหัวใจอย่างแท้จริง ผู้ไร้หัวใจขาดคุณธรรมเช่นนี้จะคู่ควรสนทนากับพวกข้าได้เช่นไร”
ฮูเหยียนโซ่วได้ยินพลันโกรธจัด สองตาวาวโรจน์มองนักพรตผู้นั้น สองมือกำแน่นจนข้อนิ้วส่งเสียงออกมาเบาๆ คล้ายพยัคฆ์ร้ายต้องการขย้ำเหยื่อ นักพรตผู้นั้นหัวเราะหยัน ดวงตาคมปลาบสบตากับฮูเหยียนโซ่วมิแสดงความอ่อนแอแม้แต่น้อย รอบตัวแผ่จิตสังหารหนักอึ้งออกมา
บัณฑิตอาภรณ์ฝ้ายผู้นั้นขมวดคิ้วน้อยๆ พลางวางผีผาลง จากนั้นหันมามองเรืออีกลำ ปราณกระบี่สายหนึ่งแผ่พุ่งออกมาจากร่างของเขา แต่มันกลับมิได้ประสานกำลังกับจิตสังหารของนักพรตคนนั้น แต่กลับขัดขวางการต่อสู้กันอย่างลับๆ ของทั้งสองคน
แม้เป็นเช่นนั้นฮูเหยียนโซ่วก็ยังหน้าซีดคล้ายถูกโจมตีอย่างหนัก ทว่าเขามีจิตใจแข็งแกร่ง ทั้งยังเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากยอดฝีมือระดับปรมาจารย์อยู่บ่อยครั้ง (การฝึกฝนพิเศษของเสี่ยวซุ่นจื่อ) บนสีหน้าจึงมิแสดงท่าทีอ่อนแอแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับแสดงความเป็นศัตรูออกมามากกว่าเดิม นักพรตผู้นั้นถูกปราณกระบี่ของสหายขัดขวาง แต่เขาเคารพสหายคนนี้มาตลอดจึงมิรู้สึกขุ่นเคือง พอเห็นฮูเหยียนโซ่วท่าทางดุดันมิลดน้อยถอยลง ในใจกลับรู้สึกนับถือ สีหน้าจึงอ่อนลงมาก
บัณฑิตอาภรณ์ฝ้ายคนนั้นกล่าวเสียงอ่อนโยน “ขอท่านอย่าได้ถือสา สหายของข้าเป็นคนตรงไปตรงมา อาจล่วงเกินไปบ้าง แต่พวกข้าเป็นคนหยาบช้าในยุทธภพ มิสะดวกคบหากับคนสูงศักดิ์จากตระกูลใหญ่ ขอท่านโปรดอภัยด้วย” ถ้อยคำอ่อนโยน แม้ซ่อนความห่างเหินและความหมายปฏิเสธไว้ แต่ฟังแล้วกลับไม่ขัดหู
ระหว่างที่พูด บัณฑิตอาภรณ์ฝ้ายคนนั้นก็ใช้ดวงตากระจ่างใสมองคุณชายผู้สวมชุดตัดจากผ้าไหมหรูหราบนเรือฝั่งตรงข้าม ในใจลอบวิเคราะห์ความเป็นมาของคนผู้นี้ เรือลำนี้เป็นเรือของ ‘โรงปักผ้าเสียซิ่ว’ โรงปักผ้าที่ใหญ่ที่สุดของอู๋โจว โรงปักผ้าเสียซิ่วครองตลาดผ้าปักลายซูซิ่วของเจียงหนานอยู่เกือบครึ่ง ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของกู้ซิ่วเหนียงยอดฝีมือแห่งการปักผ้าผู้โด่งดังของหนานฉู่ โรงปักผ้าเสียซิ่วเชิญมาได้ถึงสี่คน เถ้าแก่ของโรงปักผ้าเสียซิ่วมิเปิดเผยชื่อแซ่ โรงปักผ้าเพิ่งก่อตั้งมาได้สิบกว่าปี ได้ยินว่าเถ้าแก่ของโรงปักผ้าเป็นเพียงชายหนุ่มอายุยังไม่ถึงสามสิบปีคนหนึ่ง หรือว่าคุณชายผู้สวมอาภรณ์หรูหราตรงหน้าคนนี้จะเป็นเถ้าแก่ของโรงปักผ้าเสียซิ่ว
แต่คนผู้นี้รูปงามเกลี้ยงเกลา ท่าทางสง่าผ่าเผย แม้สหายของตนเอ่ยวาจาไม่ดีใส่ คนผู้นั้นกลับไม่มีสีหน้าโกรธเคืองแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามบนสีหน้ากลับเผยความใจกว้างมิถือสา ท่าทางสุขุมและวางเฉยต่อลาภยศดูมิเหมือนพ่อค้าที่มักคิดเล็กคิดน้อย ทั้งยังไม่มีท่าทางทะเยอทะยาน ปรารถนาจะฮุบความมั่งคั่งของเถ้าแก่โรงปักผ้าเสียซิ่ว
เวลานี้เอง คุณชายอาภรณ์ไหมผู้นั้นก็ยิ้มน้อยๆ สายตาผละจากร่างนักพรต เคลื่อนมามองบัณฑิตเสื้อผ้าเนื้อหยาบคนนั้น บัณฑิตผู้นี้ในใจสะท้านเฮือกหนึ่ง บุรุษผู้สวมอาภรณ์งดงามคนนี้ดวงตาสองข้างหม่นแสงเล็กน้อย เห็นชัดว่าลมปราณมิเพียงพอ ลักษณะเป็นคนธรรมดาเท่านั้น แต่เมื่อเพ่งสมาธิดูกลับรู้สึกว่าดวงตาทั้งสองของเขานิ่งสงบเยือกเย็น ล้ำลึกดุจมหาสมุทร แววตาวางเฉยต่อลาภยศมองโลกมนุษย์ทะลุปรุโปร่ง ทว่าพริบตาต่อมา ใบหน้าของคนผู้นี้ก็พลันมีชีวิตชีวา เมื่อประกอบกับดวงหน้าเกลี้ยงเกลาขาวผ่องของเขา ก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกยากจะแยกแยะอายุที่แท้จริง
บัณฑิตอาภรณ์ฝ้ายคนนี้แท้จริงแล้วเป็นบุคคลผู้โดดเด่นในยุทธภพหนานฉู่ วิชากระบี่เหนือกว่าผู้ใด ทั้งยังร่ำเรียนตำรามามากมาย พร้อมด้วยสติปัญญาและกลอุบาย ในหนานฉู่คนที่เทียบเคียงเขาได้มีน้อยนิดเพียงไม่กี่คน ความรอบรู้ของเขายิ่งมิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบได้
ดวงตาสี่ข้างสบประสาน เพียงชั่วพริบตาเขาก็ทราบแล้วว่าบุรุษอาภรณ์หรูหราผู้นี้มิธรรมดา ปลายหางตาเหลือบมอง สหายของตนคล้ายจะยังมิทันสังเกต บนใบหน้าจึงมีแต่สีหน้ารำคาญ บัณฑิตอาภรณ์ฝ้ายประหลาดใจ สหายของตนอายุมากกว่าตนมาก ทั้งยังเห็นโลกมามากมาย กระทั่งเขายังมองโฉมหน้าที่แท้จริงของคนผู้นี้ไม่ออก หากมิใช่ว่าคนผู้นี้เก็บงำตัวตนไว้อย่างดี เพียงเผยออกมายามสบตากับตนเท่านั้น ก็คงเพราะเนื้อแท้ของคนผู้นี้ต้องเป็นผู้มีสติปัญญาและประสบการณ์ในระดับหนึ่งเท่านั้นจึงจะมองออก
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในใจเขาก็เกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา รู้สึกว่าตนเองปฏิเสธเด็ดขาดเกินไป ออกจะเสียมารยาทอยู่บ้าง
ในตอนที่ดวงตาของเขาฉายแววลังเลสับสนนั่นเอง นักพรตผู้นั้นก็เอ่ยอย่างรำคาญ “พูดกันจบแล้ว ก็ไปได้แล้วกระมัง น่าเสียดายจริง อารมณ์ดีๆ ถูกลูกหลานชนชั้นสูงเสเพลพวกนี้ทำลายเสียหมด”
บัณฑิตอาภรณ์ฝ้ายขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยปากห้ามถ้อยคำร้ายกาจของสหาย จู่ๆ คุณชายอาภรณ์ไหมบนรือลำนั้นก็คลี่ยิ้มกล่าวรั้งเสียงดัง “ประเดี๋ยวก่อน!”
นักพรตผู้นั้นเลิกคิ้ว กำลังจะเอ่ยวาจา กลับถูกบัณฑิตอาภรณ์ฝ้ายห้ามไว้ เขาค้อมกายไปทางเรือลำงาม “สหายล่วงเกิน เสียมารยาทแล้ว ขอโปรดอภัยด้วย” หนนี้สีหน้าของเขามีแต่ความจริงใจ มิมีท่าทางเหินห่างเฉยชาเช่นเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
เวลานี้โฉมหน้าของทั้งสองคนล้วนตกอยู่ในสายตาของข้าแล้ว นักพรตผู้นั้นอายุราวสามสิบหกสามสิบเจ็ดปี รูปงามยิ่งนัก ทว่าหว่างคิ้วขมวดเคร่งเครียด บัณฑิตอาภรณ์ฝ้ายผู้นั้นอายุเพิ่งจะพ้นสามสิบ คิ้วกระบี่นัยน์ตาดารา ใบหน้าหล่อเหลา กิริยาท่าทางสง่างาม สองคนนี้ล้วนท่าทางมิธรรมดา คนเช่นนี้แม้ทำตัวไร้มารยาทไปบ้าง แต่ข้าก็ตัดใจสังหารโดยไม่ว่ากล่าวตักเตือนมิลง คำว่า ‘ประเดี๋ยวก่อน’ เมื่อครู่นั้นหาใช่หยุดมิให้ทั้งสองคนจากไป แต่เป็นการห้ามปรามเสี่ยวซุ่นจื่อที่อยู่ตรงท้ายเรือด้านหลังข้ามิให้ลงมือต่างหาก
เสี่ยวซุ่นจื่อเคารพรักข้ามาตลอด เห็นนักพรตผู้นั้นกล่าวล่วงเกินหลายหนจึงเกิดความคิดจะสังหารคนขึ้นมา เพียงแต่ว่าเขาเก็บงำจิตสังหารได้ดังใจมาตั้งนานแล้ว จึงมีเพียงจิตสังหารเสี้ยวเล็กๆ คล้ายมีคล้ายไม่มีเท่านั้นที่เล็ดลอดออกมา นอกจากข้าซึ่งคุ้นเคยกับตัวเขาอย่างที่สุดคนนี้ ผู้อื่นยากจะจับสังเกตได้
ข้าก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ข้าต่างหากเป็นฝ่ายเสียมารยาท บุ่มบ่ามมาเชื้อเชิญ ทั้งที่มิมีเทียบเชิญแจ้งชื่อเสียงเรียงนามและมิมีคนแนะนำให้รู้จัก เพียงแต่ชีวิตข้าชื่นชอบบัณฑิตผู้มีจิตใจห้าวหาญเป็นที่สุด เสียงผีผาของท่านถ่ายทอดจิตใจห่วงใยแว่นแคว้นปวงประชา บทเพลงที่นักพรตผู้นี้ขับขานก็เป็นบทเพลงที่เต๋อชินอ๋องผู้ล่วงลับชอบที่สุด แว่นแคว้นพบภัยหวนนึกถึงยอดแม่ทัพ เท่านี้ก็ทราบแล้วว่าเป็นผู้มีวิสัยทัศน์
แม้ข้าเป็นคนธรรมดาแต่นับถือจิตใจภักดีของทั้งสองท่านจึงมาเชื้อเชิญ แต่คิดมิถึงว่าทั้งสองท่านจะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ฟังจากน้ำเสียง คล้ายไม่พอใจความเย่อหยิ่งของลูกหลานตระกูลใหญ่ แต่ยามนี้ดูแล้ว ในหมู่พวกเราทั้งสาม ผู้ที่เย่อหยิ่งคือท่านผู้ภักดีและเป็นห่วงแว่นแคว้นทั้งสอง หาใช่ข้าคนธรรมดาผู้รักความรื่นรมย์สงบสุขผู้นี้”
ทั้งสองคนฟังเงียบๆ จนจบ สีหน้าของนักพรตผู้นั้นจากเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนก็กลายเป็นขุ่นเคือง ต่อจากนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นความเสียใจ
ตรงกันข้าม บัณฑิตอาภรณ์ผ้าฝ้ายคนนั้นกลับดวงตาเปล่งประกาย บนใบหน้าเผยสีหน้านับถือ ประสานหมัดค้อมกายเอ่ยว่า “ท่านกล่าวได้ถูกต้อง พวกเรายึดติดเกินไป แต่สหายของข้าเองก็มีสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ไม่กี่วันก่อนแม่ทัพใหญ่ลู่ปรารถนาจะฝึกฝนกองกำลังอาสาในอู๋เย่ว์เสริมความแข็งแกร่งให้แนวป้องกันทางชายฝั่งทะเลแต่ขาดแคลนเสบียงของกองทัพ ข้ากับสหายท่านนี้จึงตั้งใจจะเกลี้ยกล่อมตระกูลใหญ่ในอู๋เย่ว์ให้บริจาคทรัพย์ช่วยเหลือกองกำลังอาสา ทว่าเมื่อวานพวกข้าเพิ่งกลับมาจากอู๋ซี ทุกคนต่างปฏิเสธ มิว่าผู้ใดก็ล้วนหลีกหลบ แม้ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดแล้วก็รวบรวมของบริจาคได้เพียงสามส่วนเท่านั้น ดังนั้นในใจพี่น้องคนนี้ของข้าจึงขุ่นเคืองอยู่ พอเห็นเรือหรูหราอาภรณ์งดงามของท่านจึงพานระบายโทสะใส่”
ข้าฟังคำอธิบายนี้จบก็ตกตะลึงเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าสองคนนี้จะเป็นคนของลู่ช่าน ข้ามาอ้อยอิ่งอยู่กับพวกเขาคงไม่เผลอเปิดเผยตัวตนออกไปใช่หรือไม่ ข้าครุ่นคิดในใจครู่หนึ่งก็ยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ทั้งสองท่านช่างสมเป็นผู้กล้า ทำเพื่อแว่นแคว้นเพื่อประชาชน ดูท่าทางทั้งสองท่านคงเตรียมจะไปรับบริจาคที่อู๋โจวกระมัง ข้ากับเถ้าแก่โจวแห่งโรงปักผ้าเสียซิ่วเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งอู๋โจวคบหากันเป็นสหาย คำพูดของข้า เขามักจะทำตาม หากเขายอมออกหน้าบริจาค คิดว่าทั้งสองท่านคงได้รับการช่วยเหลือบ้าง หากเป็นเช่นนี้ ทั้งสองท่านคงไม่จำเป็นต้องปฏิเสธเจตนาดีของข้าแล้วกระมัง”
ทั้งสองคนนั้นได้ฟัง ดวงตาล้วนทอประกายยินดี นักพรตผู้นั้นหน้าแดงหูแดงค้อมกายคำนับกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น อาตมาต้องขออภัยคุณชาย คุณชายมีใจทำเพื่อแว่นแคว้น อาตมาขอเป็นตัวแทนแม่ทัพใหญ่ขอบคุณท่านที่ยอมสละทรัพย์อย่างใจกว้าง”
ข้าแย้มยิ้ม “คำขอบคุณคงมิจำเป็น หากทั้งสองท่านมิดูแคลนข้าก็ขอเชิญสนทนากันสักครู่”
หนนี้ทั้งสองคนล้วนไม่ปฏิเสธ พวกเขาไม่ต้องพึ่งไม้กระดานพาดก็ใช้วิชาตัวเบาเหินมายังเรือลำงาม คนเรือผูกเรือลำน้อยไว้กับท้ายเรือ ส่วนข้ายื่นมือออกมาเชื้อเชิญแขก เชิญทั้งสองคนเข้ามาในตัวเรือ ส่วนตนเองเดินตามมาด้านหลังพลางส่งสายตาให้ฮูเหยียนโซ่วบอกให้เขากลับไปอยู่ท้ายเรือเสีย ป้องกันมิให้เขาเผยพิรุธอะไรออกมา