ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 65 คล้ายฝันหนึ่งตื่น (1)
ยังมิทันลืมตา ติงหมิงก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ตอนสลบเขาอยู่ในเรือลำงาม แต่ยามนี้เขากลับรู้สึกถึงสายลมของทะเลสาบที่ไล้แผ่วเบาบนร่างเย็นเฉียบ ริมหูได้ยินเสียงคลื่นทะเลสาบไหวกระเพื่อม ด้านล่างยิ่งรู้สึกเหมือนลอยเคลื่อนที่อยู่
เขามิกล้าขยับส่งเดช เขาเตรียมร่างกายให้อยู่ในสภาพพร้อมลงมือได้ตลอดเวลาก่อนแล้วจึงค่อยใช้ประสาทสัมผัสทั้งหกสอดส่องสภาพรอบกาย แต่นอกจากเสียงน้ำในทะเลสาบ ก็ได้ยินแต่เสียงลมหายใจที่ค่อนข้างสงบเสียงหนึ่งไม่ไกลเท่านั้น
เมื่อแน่ใจแล้วว่าข้างกายไม่มีอันตรายอยู่ เขาจึงลืมตาขึ้นมาช้าๆ แล้วก็เห็นตนเองนอนอยู่บนเรือลำน้อยลำเดิม ฝั่งตรงข้ามคือไผ่ระทมผู้กำลังขดตัวนอนหลับฝันหวานอยู่ท้ายเรือ ไม้ไผ่ถ่อเรือยังคงถูกกำอยู่ในมือเขา ส่วนตนเองฟุบอยู่ตรงหัวเรือ ผีผาวางอยู่ข้างกาย กระบี่คู่กายยังห้อยอยู่ข้างตัว
ในใจติงหมิงเกิดความรู้สึกประหลาด ราวกับว่าเมื่อวานมิมีผู้ใดเชิญพวกตนสองคนไปจิบชาบนเรือลำงาม มิมีผู้ใดถกเถียงสนทนากับตนเอง พวกตนสองคนเพียงหลับไปหนึ่งคืนบนทะเลสาบเท่านั้น เสียงพิณประหนึ่งเสียงสวรรค์ ชาใหม่หอมตลบอบอวลนั่น แล้วก็คุณชายอวิ๋นผู้ลึกลับแต่สง่างามและชาญฉลาดผู้นั้นเหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่ พร่ามัวเลือนรางประหนึ่งห้วงฝัน
เขาพลิกตัวลุกขึ้นนั่งเลียริมฝีปากแห้งผาก ทันใดนั้นก็รู้สึกเจ็บแปลบเพราะไม่ทันระวังแตะถูกปลายลิ้นที่ถูกขบจนแตก แม้เลือดจะหยุดไหลนานแล้ว แต่ยังคงมีความรู้สึกเจ็บอยู่ จนกระทั่งตอนนี้เขาถึงเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานมิใช่ความฝัน
เขาโคจรลมปราณจนครบรอบก็สัมผัสได้ว่าบนร่างมิมีสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด ลมปราณดั่งเม็ดไข่มุกไหลคล่องไร้อุปสรรค มิติดขัดแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่มีอาการมึนศีรษะเวียนหัวหลังจากถูกยาสลบแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง หากมิใช่ว่าต้องลมหนาวและนอนอยู่ในท่าฟุบหลับมาทั้งคืนจนรู้สึกไม่สบายตัวนัก แม้แต่อาการปวดเอวปวดหลังก็ไม่มี
เขายืดเหยียดแขนขาที่เป็นเหน็บชาเล็กน้อย เตรียมจะไปปลุกไผ่ระทม ทว่าของชิ้นหนึ่งกลับร่วงตกลงบนท้องเรือ เกิดเสียงดังกังวานหนึ่งหน เขาเพ่งมองก็พบว่าเป็นป้ายหยกสีขาวใสแวววาวชิ้นหนึ่ง
ติงหมิงหยิบป้ายหยกขึ้นมาดูอย่างไม่รู้ตัว ด้านหน้าของป้ายหยกสลักภาพอันประณีตงดงาม มันเป็นภาพหอบนเขาเซียนตั้งตระหง่านอยู่เลือนรางท่ามกลางทะเลเมฆาเวิ้งว้าง ส่วนด้านหลังของป้ายหยกมีอักษรตัวเล็กแข็งกร้าวแต่ตวัดปลายอ่อนช้อยสองแถวเขียนว่า ‘เจตนาสวรรค์ยากเดา จงคิดถ้วนถี่และมองให้ไกล’
ในใจติงหมิงสั่นไหว หวนนึกถึงก่อนตนเองจะสลบ เขาได้ยินอวิ๋นอู๋จงคนนั้นเอ่ยบทกวีออกมาสองวรรค ติงหมิงนึกทบทวนบทกวีสองวรรคนั่นซ้ำหลายหน ทันใดนั้นใจก็ฉุกคิดบางสิ่ง ดวงตาทอประกายวูบหนึ่ง อวิ๋นอู๋จง บุคคลเช่นนี้หรือจะไร้ชื่อเสียงเรียงนาม คิดไม่ถึงว่าตนเองจะมีโชคได้พบพานกับเจ้าหอกลไกสวรรค์ผู้ลึกลับที่สุดในยุทธภพเจียงหนาน
หอกลไกสวรรค์โลดแล่นในเจียงหนานมาสิบกว่าปีแล้ว อำนาจของมันเสมือนยอดภูเขาน้ำแข็งที่ผู้คนมิมีวันหยั่งตื้นลึกหนาบางได้ มีแต่อวิ๋นอู๋จง บุคคลเช่นนี้จึงคู่ครรกับฐานะเจ้าหอกลไกสวรรค์ ตนเองมีโชควาสนาได้ร่วมจิบชาสนทนากับบุคคลลึกลับเช่นนี้ แล้วยังได้รับคำสัญญาว่าจะช่วยเหลือจากเขาอีก ในใจติงหมิงยากจะกดความตื่นเต้นเอาไว้ได้ เขารู้สึกว่าฟ้าดินสดใสปลอดโปร่ง ไม่มีคำต่อว่าเรื่องที่อวิ๋นอู๋จงใช้ยาสลบกับตนเองแม้แต่คำเดียว หากตนเป็นเจ้าหอกลไสวรรค์ก็คงทำเช่นนี้ ถึงจะเปิดเผยตัวตนไปแล้ว แต่เขาไม่มีทางฝากความปลอดภัยของตนไว้ในมือผู้อื่นเป็นอันขาด
ยามนี้ไผ่ระทมฟื้นขึ้นมาแล้ว เขากลับมิได้เกิดความรู้สึกลวงเช่นนั้นอย่างติงหมิง ข้อดีของการเป็นอดีตสายลับพลันปรากฏขึ้นมา พอลืมตาตื่น เขาก็เอ่ยเสียงเคร่งขรึมทันที “พวกเราถูกลอบเล่นงานแล้วพี่ติง”
ติงหมิงหัวเราะ “ใช่แค่ถูกลอบเล่นงานเสียที่ไหน พวกเราถูกคนหยอกเล่นอยู่บนฝ่ามือแล้วต่างหากเล่า”
ไผ่ระทมงุนงง ยามติงหมิงเอ่ยคำนี้ออกมา บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่มีท่าทางโกรธเกรี้ยวแม้แต่น้อย เขาเองก็เป็นคนฉลาด สายตาขยับวูบเดียวก็จับอยู่บนแผ่นหยกที่ติงหมิงกำแน่นอยู่ในฝ่ามือ ติงหมิงส่งป้ายหยกให้ ไผ่ระทมกวาดสายตาอย่างว่องไว ไม่นานก็ถามหยั่งเชิง “เป็นคนของหอกลไกสวรรค์หรือ”
ติงหมิงค่อนข้างชื่นชมความคิดอันฉับไวของไผ่ระทม เอ่ยตอบว่า “ข้าคิดว่าคงเป็นเช่นนั้น อวิ๋นอู๋จงผู้นั้นแปดเก้าในสิบส่วนอาจเป็นเจ้าหอกลไกสวรรค์”
ไผ่ระทมนึกทบทวนอยู่ครู่หนึ่งก็พลันรู้สึกว่าปริศนาต่างๆ นานาบนตัวของอวิ๋นอู๋จงผู้นั้นล้วนคลี่คลายตามเป็นทอดๆ ในเมื่อเป็นเจ้าหอกลไกสวรรค์ จะมีชีวิตหรูหราเช่นนี้ก็สมเหตุสมผล เขาบอกว่าตนเองมิได้มีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนาง แต่กลับมีบุคลิกลักษณะมิเป็นรองลูกหลานตระกูลใหญ่ ข้างกายมีบ่าวรับใช้ซื่อสัตย์ผู้ฝึกฝนมาอย่างดีคอยรับใช้ มีผู้คุ้มกันที่เป็นยอดฝีมือท่าทางขึงขัง แล้วยังได้รับการปฏิบัติเยี่ยงแขกผู้ทรงเกียรติจากเถ้าแก่โจวแห่งโรงปักผ้าเสียซิ่ว อีกทั้งเคยเห็นกำแพงมังกรแก้ว แล้วยังรู้ที่อยู่ของมันกระจ่างดั่งฝ่ามือ สิ่งต่างๆ ที่ทำให้คนยากจะคาดเดาตัวตนของเขาเหล่านี้ ขอเพียงเชื่อว่าคนผู้นี้เป็นเจ้าหอกลไกสวรรค์ ทุกสิ่งก็ล้วนเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
บุคลิกและความรอบรู้ของคนผู้นี้ในโลกหล้ายากจะหาผู้ใดเทียบเทียม จะเป็นเพียงคนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม นั่นเป็นไปมิได้ แต่หากเขาเป็นเจ้าหอกลไกสวรรค์ ไม่มีความสามารถระดับนี้ก็คงน่าสงสัยในตัวตนของเขา สิ่งสำคัญที่สุดก็คือถ้อยคำของอวิ๋นอู๋จง เขารู้สถานการณ์ในปัจจุบันกระจ่างดุจฝ่ามือ แต่กลับมิสนใจการชิงชัยระหว่างสองแว่นแคว้นนัก มิลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นี่ก็สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของหอกลไกสวรรค์ แต่ไหนแต่ไรมาหอกลไกสวรรค์มิสนใจการต่อสู้ระหว่างแคว้น แม้ฉากหน้าจะเอนเอียงมาทางหนานฉู่ แต่ก็ไม่ได้กีดกันต้ายงเกินไปนักเช่นกัน
หลังจากคิดตกแล้ว ไผ่ระทมก็โพล่งออกมาว่า “เรื่องนี้สมควรบอกแม่ทัพใหญ่”
สาเหตุที่เขาพูดเช่นนี้เป็นเพราะว่าสมัยก่อนตอนเขายังเป็นสายลับอยู่ เขาเองก็เคยได้รับคำสั่งให้สืบความลับของหอกลไกสวรรค์ มิว่าอย่างไรอาวุธลับและเครื่องกลไกอันพิสดารกับความคิดในการออกแบบอันน่าอัศจรรย์ชวนเหลือเชื่อของหอกลไกสวรรค์ก็ทำให้คนน้ำลายยืดสามฉื่อ แม้แต่กองทัพของหนานฉู่กับต้ายงก็มิใช่ข้อยกเว้น
ทว่าผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว หอกลไกสวรรค์ก็ยังคงทำตัวลึกลับ แม้บางครั้งจะถูกผู้อื่นฉวยโอกาสจนเสียกำลังไปบางส่วน แต่ต่อมาก็จะแก้แค้นตอบแทนอย่างสาสม จนไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนขวัญผวาหวาดระแวง ผลสุดท้ายแม้จะมีคนค้นพบร่องรอยบางอย่างของหอกลไกสวรรค์ แต่บ้างก็มิกล้าแหวกหญ้าให้งูตื่น บ้างก็หวั่นเกรงว่าจะเกิดผลกระทบจึงล้วนมิกล้าลงมือสุ่มสี่สุ่มห้า ภายในเวลาสั้นๆ ร่องรอยก็จะถูกคนลบหายไป
ความจริงก็คือหากมิอาจจัดการอำนาจของหอกลไกสวรรค์ให้หมดสิ้นได้ในครั้งเดียว มิว่ากลุ่มอำนาจกลุ่มใดก็ล้วนมิกล้าลงมือกับหอกลไกสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นแม้หอกลไกสวรรค์จะมีอำนาจแข็งแกร่ง แต่พวกเขามิเหิมเกริม ไม่มีใจทะเยอทะยานคิดผูกขาดกิจการใดกิจการหนึ่ง ระหว่างร่วมมือกันแล้วได้โอกาสเจริญรุ่งเรืองกับเป็นศัตรูแล้วพบจุดจบตระกูลล่มจม ในสถานการณ์เช่นนี้ยังจะมีใครสักกี่คนรวบรวมความกล้าเป็นศัตรูกับหอกลไกสวรรค์อีก ในหนานฉู่ หอกลไกสวรรค์ก็เป็นตัวตนที่พิเศษเช่นนี้
แต่ยามนี้มีโอกาสควบคุมหอกลไกสวรรค์แล้ว เจ้าหอกลไกสวรรค์ผู้มิเคยเปิดเผยหน้าตาผู้นั้นกลับเผยโฉมหน้าที่แท้จริง หากเป็นผู้อื่นบางทีอาจไร้กำลังจัดการ แต่หากเป็นลู่ช่าน แม่ทัพผู้กุมอำนาจมากที่สุดของกองทัพหนานฉู่ เขาย่อมมีกำลังจัดการคนที่มิลึกลับอีกต่อไปแล้วคนนี้
ทว่าทันทีที่คำพูดของไผ่ระทมหลุดออกมาจากปาก ติงหมิงกลับตอบอย่างเด็ดขาด “เรื่องนี้มิได้เด็ดขาด หากทำเช่นนั้น เกรงว่าคงเป็นหายนะ”
ไผ่ระทมเผยสีหน้าสงสัย ติงหมิงเห็นเช่นนั้นจึงถอนหายใจอธิบายว่า “ไผ่ระทม ถึงอย่างไรท่านก็เกิดในตระกูลใหญ่ แม้ตอนนี้จะกลายเป็นคนในยุทธภพแล้ว แต่บางเรื่องท่านก็ยังมองไม่ทะลุปรุโปร่ง สำหรับคนเช่นเจ้าหอกลไกสวรรค์ ความปลอดภัยของตนคือสิ่งสำคัญที่สุด ในเมื่อเขาขอให้พวกเราอย่าแพร่งพรายเรื่องของเขา หากพวกเราขัดความต้องการของเขา น่ากลัวว่าเขาคงมองพวกเราเป็นศัตรูตัวฉกาจ ท่านก็น่าจะมองออกว่า เขามิได้มีความรู้สึกเลวร้ายต่อต้ายง หากเขาโกรธขึ้นมาแล้วไปเข้ากับต้ายง น่ากลัวว่าหนานฉู่คงเรียกได้ว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด”
ไผ่ระทมแย้ง “แต่หอกลไกสวรรค์มิเคยสนใจฐานะความเป็นมาของลูกค้า ในอดีตแบบร่างอาวุธสำคัญหลายชนิดก็ถูกคนของฝั่งต้ายงซื้อไป แทนที่จะเหลือกลุ่มอำนาจเป็นกลางที่ยากจะควบคุมเช่นนี้ไว้แห่งหนึ่ง มิสู้กำมันอยู่ในฝ่ามือให้มั่นมิดีกว่าหรือ”
ติงหมิงส่ายหน้าเอ่ยว่า “พี่ชายไผ่ระทม น้องล่วงเกินถามสักประโยค เหตุการณ์ในอดีตทำร้ายจิตใจท่านสาหัสเกินไปหรือไม่ ท่านจึงไม่อาจใช้สติแจ่มชัดมองสถานการณ์ในตอนนี้”
ไผ่ระทมคล้ายถูกคนหวดเข้าที่ศีรษะ สีหน้ากลายเป็นตกตะลึง ดวงตาปรากฏเพลิงโทสะ
ติงหมิงกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม “พี่ชาย ยามนั้นท่านหนีพ้นความตายแต่กลับถูกหรงเยวียนใช้เหตุนี้ขับไล่ออกจากกองทัพ หลายปีที่ผ่านมา ปมในใจของพี่ชายมิเคยลบเลือน พวกเราสหายทั้งหลายมิปรารถนาจะทำร้ายท่าน แต่วันนี้น้องขอถามพี่ชายสักประโยค เจ้าหอกลไกสวรรค์ทำให้ท่านกับข้าสลบโดยมิเผยร่องรอยได้ หากเขาวางยาพิษร้าย ท่านกับข้าไฉนมิสิ้นชีวิตไปนานแล้ว หากเจ้าหอกลไกสวรรค์จัดการง่ายเช่นนั้น ไฉนจะโลดแล่นอยู่ในเจียงหนานมาได้นานหลายปี
หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด เกรงว่าเขาคงจะหนีไปไกลโพ้น เปลี่ยนฐานะชื่อแซ่ หรืออาจถึงขั้นที่หน้าตาก็มิแน่ว่าจะหน้าตาเช่นนี้แล้ว มิเช่นนั้นเหตุใดหลายปีที่ผ่านมาเขาจึงรักษาตัวตนให้เป็นความลับมาได้ หากเขาไม่ได้คิดจะป้องกันข้ากับท่านมีเจตนาร้ายต่อเขาก็คงไม่ใช้ยาทำให้พวกเราสลบไปหรอก”
สีหน้าของไผ่ระทมค่อยๆ แข็งทื่อ ภาพในอดีตแต่ละภาพผุดขึ้นตรงหน้า ภาพสุดท้ายที่ลอยขึ้นมาก็คือเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าขาวผ่องดุจหิมะอยู่ใต้แสงจันทร์ผู้นั้น เขาทรุดลงบนลำเรืออย่างหดหู่ ผ่านไปเนิ่นนานจึงเงยหน้าขึ้นอย่างเหนื่อยล้า
“เสี่ยวติง ขอบใจเจ้าที่เตือนข้า ข้าถูกจิตมารพันธนาการไว้จริงๆ จริงอย่างที่เจ้าว่า หอกลไกสวรรค์เป็นกลุ่มอำนาจเช่นไร เวลาเช่นนี้คิดจะทิ้งเรื่องสำคัญไปตามจัดการพวกเขา ไฉนมิใช่รนหาที่ตายด้วยตนเอง มิต้องพูดถึงเรื่องอื่น หากมีหอกลไกสวรรค์ร่วมมือ น่ากลัวว่าอู๋เย่ว์คงมิอาจป้องกันแนวชายฝั่งได้อีกแล้ว อย่างไรเสียตระกูลใหญ่ในอู๋เย่ว์มากกว่าครึ่งก็คงติดต่อคบค้ากับหอกลไกสวรรค์อยู่”