ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 68 ความสุขของการมีสหายรู้ใจ (2)
เสี่ยวซุ่นจื่อเหล่มองข้าแล้วเอ่ยต่อว่า “คุณชายย่อมมิได้พูดปด เพียงแต่พูดหนักให้เป็นเบา ท่านจะออกจากติ้งไห่ มิใช่เพื่อหน้าที่ในกองบัญชาการศึกเจียงหนาน แต่เพื่อเจียงโหว คุณชายอยู่ติ้งไห่วันหนึ่ง ความดีความชอบทุกสิ่งของเจียงโหวก็ต้องถูกหักออกอย่างเลี่ยงมิได้ เจียงโหวกับคุณชายได้ชื่อว่าเป็นศิษย์อาจารย์ แต่เขาปฏิบัติต่อคุณชายเสมือนหนึ่งบิดาและพี่ชาย คุณชายย่อมมิยินดีทำให้ชื่อเสียงของเจียงโหวลดน้อยลง
ดังนั้นคุณชายจึงรีบร้อนเดินทางออกมาจากติ้งไห่ ส่วนที่ทิ้งคุณชายฉงไว้ ประการแรกเพื่อสร้างภาพลวงว่าคุณชายยังอยู่ติ้งไห่ ประการที่สองเพื่อให้คุณชายฉงช่วยเหลือเจียงโหว แม้คุณชายฉงยังเยาว์วัย แต่จิตใจหนักแน่น แม้เจียงโหวจะห้าวหาญชำนาญศึก แต่เลือดร้อนไปอยู่บ้าง หากประมือกับลู่ช่าน เกรงว่าจะสู้มิได้อยู่เล็กน้อย แต่หากมีคุณชายฉงคอยช่วยเหลือ ย่อมคุมสถานการณ์ที่ติ้งไห่ได้แน่นอน แม้จะแพ้ให้เล็กน้อย แต่ก็ไม่มีทางเสียหายหนักหนา”
ข้าถอนหายใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า “ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง เจ้ากลับเดามิถูก”
เสี่ยวซุ่นจื่อเลิกคิ้วเรียวขึ้น แล้วกล่าวว่า “คุณชายหมายถึงที่หนนี้ทำเพื่อทดสอบคุณชายฉงน่ะหรือ”
ข้าตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็คลี่ยิ้ม “ข้อนี้เจ้าก็เดาถูกหรือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยต่อว่า “คุณชายฉงมีความเป็นมามิชัดเจน แต่ดันได้รับความรักจากคุณชายมากที่สุด อย่างไรเสียคุณชายก็คงตัดใจบังคับเค้นถามมิได้ แต่หลายปีนี้คุณชายฉงได้รับความไว้วางใจจากรัชทายาทและจยาจวิ้นอ๋องมากยิ่งนัก วันหน้าเขาย่อมกลายเป็นขุนนางคนสำคัญของต้ายง ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ของคุณชายฉง ต่อให้ต้องการกุมอำนาจในราชสำนักก็มิใช่เรื่องยากประการใด
เรื่องนี้แต่เดิมก็ไม่มีอะไร เพียงแต่ใจคุณชายกังวลว่าเขาจะมีความบาดหมางกับต้ายง หนนี้จึงจงใจทิ้งเขาไว้ที่ติ้งไห่คนเดียว ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่รั้งเขาไว้ข้างกายตลอด จู่ๆ เขาได้รับอิสระ ความคิดในจิตใจย่อมเผยออกมาอย่างช่วยไม่ได้ คุณชายคงทิ้งคำสั่งลับให้ราชองครักษ์หู่จีเฝ้าจับตาการกระทำของคุณชายฉง หากรู้สึกว่าผิดปกติประการใดก็ขอให้เจียงโหวกักตัวเขาไว้ทันที
ติ้งไห่ถูกตัดขาดอยู่กลางทะเล ต่อให้คุณชายฉงทำเรื่องมิเหมาะควรอันใดก็ยากจะส่งผลต่อสถานการณ์ส่วนใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นแม้จะมีเรื่องเช่นนี้ก็ยังให้เจียงโหวช่วยปกปิดความจริง มิให้แพร่งพรายได้ การกระทำเช่นนี้ของคุณชาย ทั้งทำเพื่อหยั่งเชิงคุณชายฉง แล้วหากว่าเกิดสิ่งใดไม่คาดฝันขึ้นมาก็ปกป้องคุณชายฉงได้ด้วย หวังแต่ว่าคุณชายฉงจะเข้าใจเจตนาของคุณชาย อย่าได้กระทำเรื่องที่ทำให้คนใกล้ชิดเจ็บปวดศัตรูเปรมปรีดา”
ข้าฟังคำนี้จบก็ถอนหายใจยาว เรื่องฉงเอ๋อร์ ข้าดึงเวลามานานหลายปี แต่ยามนี้มิอาจมิสนใจไถ่ถามได้แล้ว รัชทายาทเริ่มก้าวสู่การปกครองบ้านเมืองแล้ว หากฉงเอ๋อร์มีความมิเหมาะสมบางประการจริงๆ ข้าก็ต้องจัดการให้ชัดก่อนที่รัชทายาทจะใช้งานเขาทำการสำคัญ
แต่แล้วเสี่ยวซุ่นจื่อก็เอ่ยถ้อยคำอันน่าตกใจออกมาอีกหน “เรื่องเหล่านี้ล้วนเข้าใจง่ายดายยิ่งนัก แต่เรื่องที่คุณชายผูกมิตรกับติงหมิงและไผ่ระทมนั่น ข้าขบคิดแล้วก็ยังมิเข้าใจ แต่วันนี้จู่ๆ ก็เข้าใจแล้ว ดังนั้นจึงอยากลองถามคุณชายดูว่าถูกต้องหรือไม่”
ฟังมาถึงตรงนี้ ข้าก็รู้สึกสนใจยิ่งนัก หลายวันนี้ข้าคิดว่าเสี่ยวซุ่นจื่อโมโหเพราะเรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าเขากำลังขบคิดเหตุผลของข้าอยู่ ข้าก็อยากฟังดูเหมือนกันว่าเขาเข้าใจความคิดของข้าหรือไม่ ข้านั่งยืดตัวตรง ใบหน้าเผยสีหน้าล้างหูรอฟัง
เสี่ยวซุ่นจื่ออธิบายเสียงราบเรียบ “ยามแรกคุณชายเพียงเห็นผู้อื่นแล้วนึกสนใจ อยากพบปะกับคนเก่งกล้าก็เท่านั้น ผู้ใดจะคิดว่าหลังจากทั้งสองคนขึ้นเรือมา เมื่อคุณชายได้ทราบตัวตนของพวกเขาจึงคิดจะใช้ประโยชน์ แต่เดิมข้ากังวลว่าคนเช่นคุณชายเป็นคนประเภทที่หาได้น้อยนักในโลก หากพวกเขาไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่ก็คงนึกถึงตัวตนที่แท้จริงของคุณชายได้ ดังนั้นข้าจึงเสนอให้สังหารทั้งสองคนเสีย แต่คุณชายกลับห้ามมิให้ข้าลงมือ เพียงลอบส่งสัญญาณให้ข้าใส่ยาสลบลงไปในน้ำต้มเดือดที่ชงชารอบที่สาม หลังจากนั้นรินน้ำเติมด้วยมือตนเองทำให้ทั้งสองคนหมดสติไป ทิ้งไว้เพียงของแทนตัวชิ้นหนึ่ง บอกใบ้เป็นนัยถึงฐานะเจ้าหอกลไกสวรรค์ของคุณชาย
ตอนนี้ข้าเพิ่งเข้าใจเจตนาอันลึกซึ้งของคุณชาย เจ้าหอกลไกสวรรค์ลึกลับยากหยั่งถึง เป็นบุคคลในตำนาน หลังจากพวกเขาทราบว่าคุณชายคือเจ้าหอกลไกสวรรค์ มิว่าจะมีพิรุธช่องโหว่อันใด ในสายตาพวกเขาล้วนอธิบายได้ พวกเขาย่อมไม่คิดโยงไปถึงตัวตนที่แท้จริงของคุณชาย
คุณชายรินน้ำด้วยมือตนเอง ก็เพื่อให้พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าคุณชายวางยาด้วยตนเอง แต่พวกเขาย่อมมองไม่เห็นร่องรอย ทำให้พวกเขายิ่งคิดว่าคุณชายซ่อนเร้นความสามารถไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะยิ่งไม่คิดว่าคุณชายคือเจียงเจ๋อเจียงสุยอวิ๋น เพราะผู้คนในโลกล้วนทราบว่าคุณชายเป็นบัณฑิตอ่อนแอ
แต่ข้ากลับมิเข้าใจว่าเหตุใดคุณชายต้องสิ้นเปลืองความคิดเก็บชีวิตของพวกเขาไว้ เพราะถ้อยคำจากใจจริงท่อนนั้นของติงหมิงเพียงเท่านั้นหรือ”
ข้ายิ้มบาง ในดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ ทั้งภูมิใจกับแผนการที่ตนเองหัวไวคิดออกมาได้ แล้วก็ลอบหัวเราะที่เสี่ยวซุ่นจื่อมองออกเพียงผิวเผิน ใครจะรู้ว่าเสี่ยวซุ่นจื่อก็ยิ้มละไมอยู่เช่นกัน แล้วเอ่ยต่อว่า “ดังนั้นหลายวันมานี้ข้าจึงครุ่นคิดอยู่ตลอด ในที่สุดข้าก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดทะลุปรุโปร่ง เพราะเรื่องที่พวกเขาต้องการทำก็คือเรื่องที่คุณชายต้องการทำ อีกทั้งหากพวกเขาเป็นคนทำจะยิ่งลงแรงครึ่งเดียวได้ผลลัพธ์เป็นเท่าทวี ดังนั้นต่อให้เสี่ยงเปิดเผยตัวตน คุณชายก็ยินดีจะปล่อยสองคนนี้ไป
แต่แม้วิธีการจะคล้ายกัน แต่เป้าหมายกลับต่างกันราวฟ้ากับดิน พวกเขาต้องการปกป้องแผ่นดินและประชาชนหนานฉู่ แต่เป้าหมายของคุณชายก็คือทำให้ตระกูลขุนนางในอู๋เย่ว์อ่อนแอลง
คุณชายเกิดในจยาซิง กิจการของหอกลไกสวรรค์สี่ส่วนก็อยู่ในอู๋เย่ว์ แม้คุณชายจะจากไปอยู่ไกล แต่ตลอดมาก็มิเคยลืมเลือนบ้านเกิด หนนี้คุณชายเสนอแผนการให้กวาดปล้นอู๋เย่ว์ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีคนประณามว่าคุณชายมิระลึกถึงบ้านเกิด ทว่าพวกเขามิทราบความตั้งใจของคุณชาย
ในสายตาของคุณชาย ตระกูลขุนนางในอู๋เย่ว์เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดอย่างแท้จริง ความตกต่ำของหนานฉู่ สาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็เป็นเพราะการต่อสู้ระหว่างราชวงศ์กับตระกูลขุนนาง ในความคิดของคุณชาย ตระกูลขุนนางกุมอำนาจมีทั้งข้อเสียและข้อดี ยามนี้ตระกูลขุนนางในที่ต่างๆ แห่งอื่นของหนานฉู่มากกว่าครึ่งกำลังเสื่อมถอย มีเพียงดินแดนแถบอู๋เย่ว์ที่อำนาจของตระกูลขุนนางเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการอยู่ห่างไกลไฟสงครามและการค้าโพ้นทะเล
ในเมื่อคุณชายสวามิภักดิ์ต่อต้ายงแล้วย่อมมิหวังให้อนาคตต้ายงเดินซ้ำรอยเดิม ด้วยเหตุนี้ตระกูลขุนนางในอู๋เย่ว์ต้องถูกกำจัดให้สิ้น ทว่าหลังจากต้ายงรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง ตระกูลขุนนางในอู๋เย่ว์ต้องมองทางลมแล้วยอมคล้อยตามอย่างแน่นอน
มิว่าจะด้วยใจจริงหรือเสแสร้ง หากถึงเวลาค่อยกำจัด น่ากลัวว่าจิตใจของประชาชนเจียงหนานจะไม่มั่นคง ฝ่าบาทเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชาย่อมมิมีทางปล่อยปละตระกูลขุนนางในอู๋เย่ว์ เมื่อตระกูลขุนนางในอู๋เย่ว์มิยอมจำนนย่อมต้องปลุกระดมประชาชนให้ก่อกบฏ
เมื่อเป็นเช่นนี้แผ่นดินแห่งขุนเขาธาราอันงดงามย่อมกลายเป็นทะเลโลหิตและลานสังหาร หองามสถานที่ขับร้องระบำจะกลายเป็นซากปรักหักพัง อีกหลายสิบปีต่อจากนั้นดินแดนอู๋เย่ว์คงยากจะฟื้นกลับคืนดังเดิมได้อีกหน ดังนั้นคุณชายจึงทุ่มเทสมองไตร่ตรองแล้วตัดสินใจใช้แผนการกวาดปล้นอู๋เย่ว์
แผนการนี้ ฉากหน้าทำไปเพียงเพื่อลดทอนกำลังของการต่อต้านของอู๋เย่ว์ แล้วก็เพื่อให้ติ้งไห่ประจันหน้ากับอู๋เย่ว์ได้ในระยะยาว แต่ความจริงยังมีข้อดีอีกสามประการ
ประการที่หนึ่ง ตระกูลขุนนางในอู๋เย่ว์กังวลว่ากองทัพต้ายงจะขึ้นบกอีก สุดท้ายต้องสนับสนุนกองกำลังอาสาแล้วส่งกำลังพลส่วนตัวออกมาต้านกองทัพต้ายง ทำเช่นนี้ย่อมกำจัดกำลังทหารของตระกูลขุนนางในอู๋เย่ว์ระหว่างการสู้รบได้
ประการที่สอง เมื่อสองฝ่ายทำศึกกันนานเข้าย่อมผูกแค้นล้ำลึก สงครามเลวร้าย คนบาดเจ็บล้มตายมากมาย รอจนต้ายงบุกลงใต้สำเร็จย่อมอ้างเหตุผลว่าตระกูลขุนนางของอู๋เย่ว์ต่อต้านกองทัพจักรพรรดิเพื่อกำจัดพวกเขาได้ เมื่อรังคว่ำลงมาแล้ว ไฉนจะยังมีไข่ที่สมบูรณ์ดี การกระทำเช่นนี้สง่าผ่าเผย ต่อให้ตระกูลขุนนางแห่งอู๋เย่ว์ต้องการปลุกระดุมประชาชนให้ก่อกบฏก็จะมิได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านผู้เบื่อหน่ายกับสงคราม
ประการที่สาม คุณชายลักตัวตระกูลขุนนางจากจยาซิงไปผู่ถัว ย่อมทำลายเครือข่ายตระกูลของพวกเขาได้ในเวลาไม่กี่ปี ทำให้พวกเขากลายเป็นขุมกำลังที่สอดคล้องกับที่ต้ายงต้องการ รอหลังจากต้ายงรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง ย้ายคนเหล่านี้กลับมายังอู๋เย่ว์แล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็นรากฐานและกำลังเสริมของต้ายงในการปกครองอู๋เย่ว์
เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณชายก็จะทั้งบรรลุเป้าหมายในการกำจัดตระกูลขุนนางในอู๋เย่ว์ และยังได้ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนสิบล้านคนในอู๋เย่ว์ หากมิคำนึงถึงบ้านเกิดเมืองนอน คุณชายไยต้องสิ้นเปลืองความคิดจนถึงขั้นยอมแบกรับชื่อเสียงเลวร้ายอย่างมินึกเสียใจเช่นนี้
เหตุที่คุณชายจงใจให้ฮูเหยียนโซ่วเห็นกำลังพลของหอกลไกสวรรค์ก็เพื่อเตือนฝ่าบาทผ่านทางเขาว่า แม้คนอู๋เย่ว์จะมีนิสัยโอนอ่อนผ่อนตาม แต่เนื้อแท้ลึกในกระดูกก็มีความเก่งกาจมิกลัวตายอยู่ นับแต่โบราณมาพวกเขามีมือสังหารและมือกระบี่มากที่สุด แม้ต้ายงปราบหนานฉู่ได้ แต่หากต้องการจะให้เจียงหนานสงบมั่นคง ไม่มีเวลาสิบปีปลอบประโลมและปราบปรามย่อมมิมีทางทำได้
คุณชายคงกังวลว่าฝ่าบาทจะเลือกใช้ไม้แข็งเพราะการต่อต้านในที่ลับของอู๋เย่ว์ ดังนั้นจึงเตือนฝ่าบาทอย่างเจตนาแต่มิเหมือนเจตนา เพียงแต่เมื่อทำเช่นนี้ คุณชายไยมิใช่เพิ่มโทษลอบสั่งสมหน่วยกล้าตายให้ตนเองอีกหนึ่งกระทง ทั้งยังเปิดเผยขุมกำลังที่ซ่อนไว้อีก นี่ทำให้ข้ารู้สึกวิตกเล็กน้อยมาตลอด หากฝ่าบาทตัดสินพระทัยจะซ่อนเกาทัณฑ์หลังสิ้นวิหค คุณชายจะรับมือเช่นไร”
ข้ารู้สึกว่าในใจเบิกบานยิ่งนัก แม้ข้าเคยครุ่นคิดสิ่งเหล่านี้ในสมองนับพันนับหมื่นหน แต่มิอาจบอกฟ้าดินหรือเจ้าแผ่นดินเบื้องบน มิอาจบอกภรรยามิตรสหายเบื้องกลาง มิอาจบอกเทพผีเบื้องล่าง ทำได้เพียงครุ่นคิดกลัดกลุ้มอยู่ผู้เดียว
แม้สนิทสนมกับเสี่ยวซุ่นจื่อ แต่ข้ามิต้องการทำให้ความคิดของเขาว้าวุ่น หลายวันที่ผ่านมาข้าขมขื่นยากจะเอื้อนเอ่ยอย่างแท้จริง ตลอดเส้นทางขึ้นเหนือ แม้มิได้พบคนนอกมากมายเท่าใด แต่ข้ากลับลอบได้ยินคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องกองทัพต้ายกวาดปล้นอู๋เย่ว์ ผู้คนที่เอ่ยถึงเรื่องนั้นมากกว่าครึ่งล้วนมองข้าเป็นคนทรยศแว่นแคว้นหักหลังบ้านเกิด เหยียดหยามก่นด่าอย่างรุนแรง เรื่องนี้แม้ข้าคิดเอาไว้แล้ว แต่หัวใจก็เศร้าหมองเป็นทุกข์มิอาจสงบ
คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวซุ่นจื่อไม่ต้องให้ข้าอธิบายก็เข้าใจความในใจของข้า ยามปกตินอกจากศึกษาวิชายุทธ์ น้อยนักที่เขาจะสนใจเรื่องราวในโลก หนนี้เขาเค้นสมองขบคิดต้องเป็นเพราะสังเกตเห็นความทุกข์ตรมหม่นหมองในใจข้าเป็นแน่ ดังนั้นจึงเปิดโปงความทุกข์ในใจข้า ใช้มันมาปลอบประโลมข้า
ข้าสะกดคลื่นที่ซัดถาโถมในหัวใจ พยายามกล่าวอย่างนิ่งสงบที่สุด “นี่ก็ไม่มีอะไร หลังจากใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง หอกลไกสวรรค์ก็สมควรกลายเป็นดอกเบญจมาศหลังพ้นเทศกาล ความจริงกิจการเหล่านั้นข้าแบ่งสรรให้ศิษย์ค่ายลับตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ยังห้อยนามของหอกลไกสวรรค์ไว้ก็เท่านั้น กองกำลังกลุ่มนี้ปล่อยให้ฝ่าบาทล่วงรู้ก็มิมีอันใดสำคัญ รอหลังจากต้ายงรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งแล้ว ต่อให้ข้ามีขุมกำลังแข็งแกร่งอีกเท่าใด ยังจะเอาชนะราชสำนักได้อีกหรือ
แทนที่จะลักลอบสั่งสมกำลังพลไว้ปกป้องตนเอง มิสู้สลายกองกำลังเหล่านี้ไปเสีย ทำเช่นนี้จึงจะมิทำให้ราชวงศ์คลางแคลงใจ อีกอย่างหนึ่งนิสัยของฝ่าบาทก็มิใช่คนโหดเหี้ยมไร้เมตตาเช่นนั้น คำว่าวิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อนหลังจากนี้อย่าได้เอ่ยถึงอีก”
ข้าลุกขึ้นยืนวางมือไพล่หลังแล้วแหงนหน้ามอง แสงจากไข่มุกส่องลงมาชวนให้หัวใจค่อยๆ สงบลง เมื่อนึกขึ้นว่าในที่สุดบนโลกก็มีคนผู้หนึ่งทราบความคิดที่ซ่อนลึกในใจข้าแล้ว อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นเสี่ยวซุ่นจื่อผู้สนิทชิดเชื้อยิ่งกว่าพี่น้องและคอยอยู่เคียงข้างทุกวันคืน ข้าก็ยิ่งรู้สึกเปรมปรีดิ์ในหัวใจ แม้แต่ห้องลับอันมืดทึมคับแคบแห่งนี้ ในสายตาข้าก็ประหนึ่งกลายเป็นพระราชวังอันประดับด้วยไข่มุกอัญมณี มุมปากเผยรอยยิ้มจางๆ อย่างมิอาจห้าม
ข้ากล่าวขึ้นว่า “เอาล่ะ เจ้าออกไปเถิด หากปล่อยผู้อื่นสังเกตว่าเด็กรับใช้คนนี้มักจะหายตัวไปอยู่เรื่อย แม้แต่ซานจื่อก็คงมิมีหนทางปกปิดแทนเจ้า”
ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อเป็นประกายระยับวูบหนึ่งแล้วหลุบตาลง เขาหันหลังกลับเดินออกจากห้องลับ ยังมิทันปิดประตูลับก็ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง เมื่อเห็นว่าความกลัดกลุ้มทุกข์ใจของคุณชายสลายไปสิ้นแล้ว ในใจเขาก็เบิกบานเช่นเดียวกัน
วันเวลาต่อจากนี้คุณชายคงมิรู้สึกยากทานทนอีกแล้วกระมัง เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ยากจะเก็บกลั้นรอยยิ้มบนริมฝีปาก ก้าวเท้าว่องไวไปนอกตัวเรือ