ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 76 ขุนเขาธาราสามพันลี้ (1)
เดือนสอง วันที่ยี่สิบหก ยามโหย่ว ณ เมืองเซียงหยาง
แสงอาทิตย์อัสดงเอียงเฉีงมา กองทัพต้ายงค่อยๆ ถอยทัพ หรงเยวียนถอนหายใจแผ่วเบาเฮือกหนึ่ง ในหัวใจเศร้าหมองยิ่งนัก นับตั้งแต่เต๋อชินอ๋องสิ้น ตนก็ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพเซียงหยางคอยเฝ้าพิทักษ์เมืองสำคัญตามที่ชินอ๋องเสนอให้เลื่อนขั้นในคำสั่งเสีย ทว่าหลายปีที่ผ่านา เขากลับมิเคยเบิกบานใจแม้แต่เศษเสี้ยว
สำหรับเจ้าแผ่นดินกับขุนนางหนานฉู่แล้ว หรงเยวียนคนนี้ก็เป็นเพียงบัณฑิตจากตระกูลยากจนคนหนึ่ง แม้มีความสามารถพอปกป้องเมืองได้อยู่บ้าง แต่ก็กล่าวมิได้ว่าเป็นยอดแม่ทัพ ดังนั้นสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาจึงทำได้เพียงเฝ้าเมืองเซียงหยางอย่างเหี่ยวแห้ง เขาอยากจะคว้าชัยชนะครั้งใหญ่สักสองสามหนให้สาแก่ใจ หลังจากนั้นเข้าไปอยู่ตรงศูนย์กลางอำนาจของกองทัพของหนานฉู่ยิ่งนัก แต่มิว่าเขาเพียรพยายามเช่นไร สุดท้ายก็เป็นได้เพียงแม่ทัพป้องกันเมืองคนหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งกว่าก็คือนับตั้งแต่ฉีอ๋องบุกตีเซียงหยางแล้วพ่ายแพ้ย่อยยับสองหน ต้ายงก็มิเคยยกกองทัพใหญ่มาทางเซียงหยางอีก ทุกหนที่ศึกใหญ่บังเกิด พวกเขาล้วนส่งหทารม้าหนึ่งแสนแปดหมื่นคนมาล้อมเซียงหยางไว้แต่เพียงเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้เซียงหยางจะปลอดภัยไร้กังวล แต่ความดีความชอบก็มิมีให้กล่าวถึงเช่นกัน ดังเช่นศึกใหญ่ที่เพิ่งจบลงไป ลู่ช่าน สือกวนต่างได้รับปูนบำเหน็จต่างๆ นานา แต่เขากับอวี๋เหมี่ยนแห่งด่านจยาเหมิงแม้แต่หนังสือชมเชยสักฉบับก็ยังไม่มี
พอคิดว่าแม้ตนเองจะมิได้มีความชอบตีกองทัพศัตรูแตกพ่าย แต่ทหารต้ายงที่ตายใต้กำแพงเมืองเซียงหยางก็มากมายนับมิถ้วน อีกทั้งอาศัยเซียงหยางเพียงเมืองเดียวยังดึงกองทัพต้ายงไว้ได้มากกว่าแสนนาย สิ่งนี้ตัวมันเองก็เป็นความดีความชอบไม่น้อย แต่หลังศึกใหญ่กลับมิได้รับการยอมรับสักนิด นิสัยอย่างหรงเยวียนจะทนต่อความอัปยศเช่นนี้ได้อย่างไร
หรงเยวียนมองกองทัพต้ายงที่ถอยทัพจากไป ฝ่ามือข้างหนึ่งตบศิลาบนช่องกำแพง จ่างซุนจี้เจ้าสุนัขชั่วตัวนี้ เห็นเมืองเซียงหยางเป็นที่ฝึกทหารชัดๆ ทุกวันส่งกองทหารผลัดกันมาบุกตีเมืองเพื่อฝึกปรือความสามารถในการรบของพวกเขา ไม่กล้าทุ่มหมดหน้าตักสักนิด หรือกองทัพต้ายงมิทราบว่าหากไม่ยึดเซียงหยางย่อมไร้หนทางคุกคามเจียงหลิง เจียงเซี่ย ไปจนถึงขั้นต่อให้ยึดไหวหนานได้แล้วก็มิอาจหยัดยืนมั่นคง
เดือนสอง วันที่ยี่สิบหก ยามไฮ่ ณ เมืองซู่โจว
รัตติกาลเข้าปกคลุม สายลมเย็นพัดมาเป็นระลอก ภายในห้องนอนอันเรียบง่ายไร้ความหรูหราห้องหนึ่ง แสงเทียนไขส่ายวูบไหว บนเตียงมีคนนอนอยู่หนึ่งคน ใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็นจากดาบอยู่เลือนราง แม้กำลังอยู่ในห้วงฝันเขาก็ยังหน้านิ่วคิ้วขมวด นอกประตูองครักษ์คนสนิทสองคนที่คอยคุ้มกันสายตาประหนึ่งเหยี่ยว แม้มีพันทหารหมื่นอาชาคุ้มครองก็ยังมิหย่อนยานแม้สักชั่วครู่
ใกล้ถึงยามจื่อ องครักษ์คนสนิทที่ต้องผลัดเวรก็รีบร้อนเดินเข้ามา พอพวกเขาเดินมาถึงหน้าประตู องครักษ์คนสนิทที่เฝ้าประตูอยู่แต่เดิมสองคนก็ยิ้มให้กัน จากนั้นเดินแผ่วเบาออกไปด้านนอก เตรียมจะแลกเวรกับอีกฝ่าย
ทันใดนั้นองครักษ์คนสนิทคนหนึ่งในนั้นก็กวาดสายตาผ่านใบหน้าขององครักษ์คนสนิทคนนั้นอย่างมิตั้งใจ ทว่ากลับพบใบหน้ามิคุ้นเคยดวงหนึ่ง ในใจเขาประหลาดใจจึงหยุดฝีเท้าตั้งใจจะเอ่ยปากถาม ทันใดนั้นเองประกายเย็นยะเยือกพลันฉายวาบขึ้นเบื้องหน้า หลังจากนั้นมือข้างหนึ่งก็ปิดปากกับจมูกของเขาไว้ โลหิตทะลักอุดลำคอของเขา เขาพยายามจะร้องตะโกนสุดแรง แต่มิอาจเปล่งเสียงออกมาได้ องครักษ์คนสนิทอีกคนหนึ่งแทบจะมิได้ระวังตัวแม้แต่น้อย เขารู้สึกว่าเบื้องหน้าฉับพลันมืดดับแล้วสิ้นสติไปทันที
องครักษ์ตัวปลอมสองคนนั้นจับพวกเขาสองคนพิงไว้ที่กำแพงข้างประตูอย่างรวดเร็ว ใต้แสงจันทร์สลัว หากมองจากที่ไกลๆ ก็จะคิดว่าทั้งสองคนแอบงีบหลับด้วยความเกียจคร้านเท่านั้น หลังจากนั้นคนหนึ่งในสองคนนี้ก็ผลักประตูเข้าไป อีกคนหนึ่งซุ่มซ่อนอยู่ใต้หน้าต่าง แสงวาววับในมือเย็นยะเยือกดุจหิมะ มันคือมีดสั้นเล่มหนึ่ง
ชุยเจวี๋ยดวงตาแทบปริแยก เบิ่งตามองสหายรักที่คบหากันมาหลายปีร่างกายอาบโลหิตคอยสกัดท้ายกองทัพ เบิ่งตามองเขาต่อสู้จนตัวตายบนสมรภูมิ เขาเหงื่อกาฬแตกพลั่กจนชุ่มโชก รู้สึกอับอายโกรธแค้นยากทนรับไหว หลังจากนั้นเขาก็สะดุ้งตื่นจากฝัน เขาลุกขึ้นนั่งลืมตามอง
ทันใดนั้นก็เห็นเงาดำร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาหาตนเองใต้แสงโคมมืดสลัว เขาพลิกร่างกลิ้งลงจากเตียงอย่างแทบมิทันคิด หยาดโลหิตทะลักทลาย แขนข้างหนึ่งร่วงบนพื้น ชุยเจวี๋ยคำรามด้วยความเจ็บปวด แล้วตะโกนเสียงดัง “มีมือสังหาร”
เสียงของเขาฉีกสะบั้นรัตติกาลอันเงียบสงัด มือสังหารผู้นั้นแต่เดิมต้องการจะลอบสังหารอย่างเงียบๆ ผู้ใดจะคิดว่าเป้าหมายที่เดิมทีนอนหลับอยู่ผู้นี้จู่ๆ กลับลุกพรวดขึ้นมา ผลสุดท้ายจึงทำได้เพียงตัดแขนขวาของชุยเจวี๋ยเท่านั้น
เสียงตะโกนตกใจของชุยเจวี๋ยทำให้ด้านนอกชุลมุนทันที แสงโคมไฟและเสียงตะโกนแห่มาทางด้านนี้ มือสังหารผู้นั้นลังเลครู่หนึ่งก็ทำลายหน้าต่างหนีออกไปรวมตัวกับพรรคพวกที่อยู่ข้างนอก จากนั้นทั้งสองคนก็เผ่นออกไปด้านนอก
แต่ชุยเจวี๋ยมีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพ องครักษ์คนสนิทข้างตัวย่อมมีมากมายยิ่งนัก หากมิใช่ว่าชุยเจวี๋ยถือดีในวรยุทธ์ของตนเองมาตลอดจึงมิชอบให้มีองครักษ์คนสนิทมากมายคอยรับใช้ สองคนนี้ก็คงไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย
ยามนี้ในเมื่อกระโตกกระตากให้คนรู้แล้ว ทั้งสองคนนี้จะหนีออกไปได้เช่นไร หลังจากเข่นคร่าไปหลายชีวิต มือสังหารคนหนึ่งก็ต่อสู้จนตัวตาย ส่วนมือสังหารอีกคนหนึ่งถูกองครักษ์คนสนิทเหล่านั้นจับเป็น ฉุดกระชากผลักมาล้มกองที่หน้าบันได
เวลานี้ชุยเจวี๋ยผู้สีหน้าซีดเผือดนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง หมอทหารที่อยู่ด้านข้างกำลังทำแผลให้เขา แขนข้างหนึ่งถูกตัดขาดในฉับเดียว อาการบาดเจ็บของชุยเจวี๋ยย่อมหนักหนายิ่งนัก ตอนนี้ที่เขาฝืนทนก็เพื่อสอบสวนมือสังหาร
มือสังหารผู้นั้นปิดปากสนิทมิยอมพูด ชุยเจวี๋ยเห็นว่าถามหลายหนแล้วเขาก็ยังมิยอมปริปากจึงหมดความอนทน ขณะที่กำลังคิดจะให้คนลากเขาไปขัง จู่ๆ ก็มีเสียงร้องตะโกนโหวกเหวกกับเสียงฆ่าฟันดังมาจากไกลๆ หลังจากนั้นประตูเมืองทิศเหนือก็มีเปลวเพลิงลุกโหม ในใจชุยเจวี๋ยตกะลึง เขาลุกขึ้นยืนแต่แล้วร่างกายก็ซวนเซ
ยามนี้เองทหารคนหนึ่งพลันวิ่งถลาเข้ามา “ท่านแม่ทัพ แย่แล้วขอรับ กองทัพหนานฉู่บุกตีเมือง ประตูทิศเหนือถูกไส้ศึกเปิด ตอนนี้ทหารฉู่เข้ามาในเมืองแล้ว”
ชุยเจวี๋ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “ช่างเป็นวิธีการที่เหี้ยมนัก กองทัพหนานฉู่เพิ่งยึดได้เพียงประตูทิศเหนือ ถ่ายทอดคำสั่งข้า ประจันบาญกับกองทัพศัตรู” กล่าวจบก็เอื้อมมือไปรับอาวุธ ทว่ากลับรู้สึกหน้ามืดตาลาย เท้าสะดุดล้มไปพิงชุยฟั่งหลานชายของเขาที่คอยประคองอยู่
เวลานี้แม่ทัพทั้งหลายในเมืองจำนวนมากกว่าครึ่งรีบร้อนมายังที่พักของชุยเจวี๋ยแล้ว ทว่ากลับเห็นชุยฟั่งประคองชุยเจวี๋ยร่ำไห้อย่างหนัก
รองแม่ทัพของชุยเจวี๋ยเห็นเช่นนี้ก็บอกเสียงดัง “ท่านแม่ทัพบาดเจ็บหนัก อีกทั้งกองทัพเรามิทันตั้งตัว หากสู้รบยืดเยื้อกับกองทัพศัตรู น่ากลัวว่าไพร่พลหลายหมื่นคงต้องฝังร่างอยู่ซู่โจว มิสู้ทิ้งเมืองหนี ถอยไปรักษาเซียวเซี่ยน หลังจากนั้นขอความช่วยเหลือจากสวีโจว”
ชุยฟั่งพยักหน้าหงึกหงัก ตะเบ็งเสียงบอกว่า “รองแม่ทัพโปรดถ่ายทอดคำสั่งแทนท่านแม่ทัพชั่วคราว ข้าจะคุ้มกันท่านแม่ทัพออกไปก่อน”
แม่ทัพผู้นั้นได้ยินก็ตอบอย่างห้าวหาญ “ข้าจะสกัดท้ายกองทัพเอง แม่ทัพทุกท่านรีบรวบรวมไพร่พลถอนทัพ กองทัพศัตรูมาจากทางใต้ แต่กลับดักประตูทิศเหนืออยู่ เพื่อความแน่ใจ พวกเราจะถอยทัพจากประตูตะวันตก”
ชุยฟั่งฟังจบก็มิมีเวลาสนใจสิ่งอื่น อุ้มชุยเจวี๋ยขึ้นมา ฝ่าไปทางประตูเมืองทิศตะวันตกภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์คนสนิท
เพิ่งพ้นประตูจวนออกมาไม่ไกล ก็เห็นบนถนนเส้นยาวมีทหารม้ากองหนึ่งกำลังมุ่งมาทางด้านนี้ ผู้ที่นำอยู่ด้านหน้าคือแม่ทัพน้อยอาภรณ์สีขาวสองคน หอกสีเงินสองเล่มประหนึ่งมังกรสีเงินร่อนระบำเก็บเกี่ยวชีวิตทหารต้ายง ชั่วพริบตาเงาร่างของพวกเขาก็ถูกกองทหารต้ายงที่แห่เข้ามากลืนกลบ ชุยฟั่งมุ่งไปทางประตูตะวันตกโดยมิสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
ขณะที่กำลังจะพุ่งออกจากประตูเมือง เขาก็หันหลังกลับไปอย่างไม่ตั้งใจ ด้านหลังร่างล้วนกลายเป็นทะเลเพลิง ชุยฟั่งปาดน้ำตาร้อนตรงหางตา ก่อนจะจมหายเข้าไปในรัตติกาลอันเวิ้งว้าง
ศึกนี้ดำเนินไปถึงฟ้าสางจึงจบลง ไพร่พลสามหมื่นที่ซู่โจวมีครึ่งหนึ่งทอดร่างอยู่ในทะเลเพลิง รองแม่ทัพสู้จนตัวตายอยูในเมือง ค่ายเฟยฉีใต้การนำของลู่อวิ๋นกับสืออวี้จิ่นตามไล่ล่ายี่สิบลี้ ตีกองทัพต้ายงเสียหายหนักหนา กองทัพต้ายงพ่ายแพ้ถอยร่นมายังเซียวเซี่ยน ชุยเจวี๋ยบาดเจ็บหนักมิได้สติ
เดือนสอง วันที่ยี่สิบเจ็ด ปลายยามอิ๋น ณ เมืองซื่อโจว
ฟ้ายังมิทันสาง หมอกหนาวเย็น ผืนน้ำเย็นเฉียบ เหนือสายน้ำของแม่น้ำไหวที่ไหลเป็นระลอกเต็มไปด้วยเรือข้ามฟากกำลังแล่นไปทางชายฝั่งฟากตรงข้ามท่ามกลางความมืดมิด พวกมันคลำทางไปยังเมืองซื่อโจวอย่างเงียบเชียบ เมืองซื่อโจวอยู่ห่างจากแม่น้ำไหวสุ่ยเพียงสองลี้ พลทหารบนลำเรือต่างสวมอาภรณ์สีเทาเข้มใกล้เคียงกับสีของรัตติกาล แสงตะวันมืดสลัว หมอกปกคลุมแม่น้ำไหวสุ่ย จวบจนเงาร่างสีเทาหม่นพวกนั้นมาถึงใต้กำแพงเมืองซื่อโจว กองทัพต้ายงก็ยังไม่รู้สึกตัว
พอบรรลุถึงใต้กำแพงเมือง เงาดำสิบกว่าร่างก็ซุ่มซ่อนใต้กำแพงเมือง ใช้มือเท้าปีนป่ายขึ้นบนกำแพง คนเหล่านี้เคลื่อนไหวว่องไวนัก อาศัยเพียงช่องเว้าแหว่งกับส่วนปูดนูนไม่สม่ำเสมอของกำแพงก็ป่ายปีนขึ้นไปด้านบนได้ราวกับลิง
ยังมิทันใกล้ถึงสุดกำแพง บนกำแพงก็มีคนพูดเบาๆ ว่า “พวกเจ้ามาแล้ว”
กล่าวจบก็ทิ้งเชือกลงมา คนชุดดำเหล่านี้อาศัยเส้นเชือกปีนขึ้นกำแพงได้ในเวลาเพียงไม่นาน ก่อนจะจมหายไปในความมืดมิด เวลาผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป เมืองซื่อโจวก็พลันมีแสงเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นสี่ทิศ หลังจากนั้นด้านในประตูเมืองก็มีเสียงโห่ร้องเข่นฆ่าดังวุ่นวาย มินานประตูเมืองก็ถูกเปิดออก
แม่ทัพกองทัพหนานฉู่ที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเงามืดชะเง้อเห็น ในใจก็ทราบว่าแผนการประสานในนอกตีซื่อโจวสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง เขาโบกธง เสียงตะโกนคำว่าฆ่าดังสะเทือนฟ้า ทหารหนานฉู่พุ่งไปที่ประตูเมือง แม่ทัพผู้นั้นควบอาชาทะยานนำหน้าตรงดิ่งเข้าในเมืองก็เห็นเบื้องหน้ามีควันไฟคละคลุ้ง พลทหารที่นำทางหายไปท่ามกลางการตะลุมบอนอย่างรวดเร็ว แม่ทัพผู้นั้นขมวดคิ้วตะโกนว่า “อย่าเข้าไปลึก คุมประตูเมืองเอาไว้”
ในตอนนี้เอง สองฟากฝั่งก็พลันมีเสียงโห่ร้องดังขึ้น แม่ทัพผู้นั้นตกตะลึง เห็นกองทัพต้ายงแห่ออกมาจากสองฝั่ง ประตูเมืองด้านหลังปิดลงเสียงดังกึกก้อง แม่ทัพผู้นั้นในใจรู้แล้วว่าท่าไม่ดี จึงตะโกนเสียงดัง “ตกหลุมพรางแล้ว ตามข้าฝ่าออกไป” ทว่ายังมิทันขยับได้ถึงสองก้าวก็ถูกศรคมสังหาร
ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำไหวสุ่ย หยางซิ่วที่แต่เดิมมองซื่อโจวอยู่จากไกลๆ เกิดลางสังหรณ์ไม่ดี ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามแล้วแต่ยังมิได้รับรายงานกลับมา ตอนที่เขากำลังร้อนใจ จู่ๆ ก็เห็นประตูเมืองซื่อโจวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเปิดออก แม่ทัพของกองทัพต้ายงคนหนึ่งควบม้ามายังริมฝั่งน้ำ หัวเราะลั่นเอ่ยเสียงกังวาน
“ขอบคุณของขวัญชิ้นใหญ่จากพวกเจ้า ข้าขอยิ้มรับด้วยความยินดี” กล่าวจบเขาก็โบกมือ ทหารข้างกายโยนศีรษะคนหลายสิบหัวออกมา
แม่ทัพผู้นั้นตะโกนเสียงดัง “แม่ทัพจางมีคำสั่ง ผู้ใดเป็นกบฏสมคบกับกองทัพฉู่หมายยึดซื่อโจวล้วนต้องลงโทษตามกฎ ศีรษะพวกนี้ข้ามอบเป็นของขวัญให้ใต้เท้าหยาง”
กล่าวจบ กองทัพต้ายงกองนั้นก็ห้ออาชากลับไป เวลานี้หมอกควันเหนือแม่น้ำเพิ่งจะสลาย เผยให้เห็นแม่น้ำไหวสุ่ยเชี่ยวกรากกับเมืองฝั่งตรงข้ามที่แข็งแกร่งประหนึ่งปราการเหล็ก
หยางซิ่วเจ็บปวดใจแสนสาหัส ทราบว่าไส้ศึกที่ลำบากลำบนกว่าจะติดต่อได้กับทหารกล้าที่ส่งไปยึดเมืองล้วนพบหายนะตกตายหมดสิ้นแล้ว
จางเหวินซิ่วผู้กำลังยืนอยู่เหนือกำแพงเมืองซื่อโจวเวลานี้ก็เหงื่อเย็นเปียกชุ่มมือเช่นกัน หากมิใช่ว่าเมื่อวานได้รับรายงานลับบอกว่าตระกูลใหญ่ในเมืองมีวี่แววจะก่อความมิสงบ แล้วยามพลบค่ำยังได้รับคำสั่งลับจากเผยอวิ๋นซ้ำ บอกให้เขาคุมตัวตระกูลใหญ่ในเมืองไว้โดยมิต้องสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น เขาก็คงไม่ล่วงรู้แผนการชั่วสมคบในนอกของกองทัพหนานฉู่ หากมิใช่เช่นนี้เมืองซื่อโจวก็คงรักษาไว้มิได้แล้ว
ยามนี้ไพร่พลในมือเขามีอยู่ห้าหมื่น แบ่งกำลังเฝ้าซื่อโจวกับสวีโจว ส่วนกองทัพหนานฉู่บนฝั่งตรงข้ามลำน้ำกลับตั้งค่ายทัพใหญ่โต กองทัพหนานฉู่ฝั่งไหวตงเป็นฝ่ายบุกขึ้นเหนือ ความยากลำบากของศึกหนนี้ มิต้องถามก็รู้
เดือนสาม วันที่สอง ภายในเมืองเซียงหยาง หรงเยวียนมองสารลับในมือแล้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สองวันนี้จู่ๆ กองทัพต้ายงก็ผ่อนการโจมตี หรงเยวียนรู้สึกไม่สบายใจจึงส่งคนออกไปสืบ แต่กลับพบว่ากองทัพต้ายงนอกเมืองถอนทัพไปเกือบครึ่ง เหลือไว้เพียงไม่กี่หมื่นคนแสร้งทำเหมือนบุกโจมตีจากฝั่งนั้น
ด้วยความฉงนเขาจึงจับตัวทหารต้ายงจำนวนหนึ่งมาเค้นถาม จึงทราบว่าศึกใหญ่ปะทุขึ้นบนสนามรบฝั่งเจียงไหว หนังสือขอความช่วยเหลือของเผยอวิ๋นถูกส่งมาถึงเซียงหยาง จ่างซุนจี้จึงทิ้งกำลังพลสองหมื่นแสร้งทำเป็นล้อมอยู่ที่นี่ ส่วนตนเองนำกำลังหลักเดินทางไปไหวเป่ย
หลังจากหรงเยวียนรู้ ในใจก็เคียดแค้นยิ่งนัก เรื่องใหญ่เช่นนี้ ตนเองกลับมิทราบแม้แต่นิดเดียว ลู่ช่านออกจะรังแกคนมากเกินไปหน่อยแล้ว