ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 79 มุสิกเน่าเหม็นดั่งอาหารโอชา (2)
หลิ่วหรูเมิ่งยิ่งมองก็ยิ่งชมชอบ จึงคลี่ยิ้มถามว่า “เจ้ามีนามว่าลู่เหมยหรือ คนช่างสมดังนามเสียจริง ข้าเห็นแล้วชมชอบนัก นี่เจ้ากำลังเดินทางไปที่ใด”
ลู่เหมยเหลือบมองลู่เฟิง พอเห็นเขาส่ายหน้าน้อยๆ จึงตอบว่า “ข้ากับพี่รองจะไปหาพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ ระหว่างทางเดินทางผ่านที่แห่งนี้ได้ยินเสียงเพลงของพี่สาว ดังนั้นจึงขอให้พี่รองพาข้ามาพบท่าน”
หลิ่วหรูเมิ่งย่อมไม่พลาดสีหน้าเล็กน้อยระหว่างทั้งสองคน แต่ด้วยความเฉลียวฉลาดของนาง นางย่อมรู้จักแสร้งทำเป็นมองมิเห็น “เจ้าก็ชอบร้องเพลงเหมือนกันหรือ”
ลู่เหมยพยักหน้า ตอบอย่างเขินอาย “ข้าร้องไม่เพราะ…”
ลู่เฟิงรู้สึกรำคาญจึงเลื่อนสายตาไปจับบนร่างบุรุษอาภรณ์เขียวผู้นั้น เขาก้าวเข้าไปสองสามก้าวแล้วเอ่ยว่า “ท่านนี้คงเป็นบัณฑิตซ่ง ซ่งอวี๋ ได้ยินชื่อเสียงของท่านบัณฑิตมานาน วันนี้ได้พานพบนับว่าเป็นโชคดีของข้า”
อวี๋หลุนได้ยินก็หันกลับมาตอบอย่างเฉยชา “คุณชายรองลู่เป็นบุตรพยัคฆ์แห่งตระกูลแม่ทัพ เหตุไฉนจึงสนใจคนตัวเล็กๆ เช่นข้า”
ลู่เฟิงหัวใจสะท้าน แม้เขาอายุน้อยแต่ฉลาดเหนือผู้ใด ผู้คนในเจี้ยนเย่ ส่วนใหญ่เขาล้วนรู้จักทั้งสิ้น ดังนั้นเขาย่อมทราบชื่อเสียงความสามารถของซ่งอวี๋ผู้นี้ และยังทราบอีกว่าคนผู้นี้เป็นเสนาธิการคนสนิทของซั่งเฉิงเยี่ย หลายปีที่ผ่านมาซั่งเฉิงเยี่ยได้ความช่วยเหลือจากเขาจึงจัดการศัตรูในราชสำนักไปได้มากมาย มิใช่ลูกหลานชนชั้นสูงผู้ไร้คุณงามความชอบและไร้ความสามารถเช่นก่อนหน้าอีกต่อไป
เมื่อครู่ลู่เหมยต้องการขึ้นเรือมาพบหลิ่วหรูเมิ่ง ลู่เฟิงก็นึกขึ้นมาได้ว่าคนที่เป่าขลุ่ยน่าจะเป็นซ่งอวี๋ คนผู้นี้ชอบทำตามอำเภอใจ นอกจากเสนอกลอุบายให้ซั่งเฉิงเยี่ยเป็นบางครั้งก็แทบจะอยู่ข้างกายหลิ่วหรูเมิ่งตลอดเวลา
สีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาตกอยู่ในสายตาอวี๋หลุนทั้งสิ้น เขาคิดในใจ ลือกันว่าขุมกำลังลับในเจี้ยนเย่ของตระกูลลู่อยู่ในกำมือของเด็กหนุ่มผู้นี้มากกว่าครึ่ง วันนี้ดูท่าคงเป็นเรื่องจริง
ต้องทราบว่าเรื่องที่ซ่งอวี๋เป็นเสนาธิการของซั่งเฉิงเยี่ยเป็นความลับอย่างยิ่ง นอกจากคนจำนวนน้อยนิดก็มิมีผู้ใดล่วงรู้อีก แต่ลู่เฟิงผู้นี้กลับรู้ บ่งบอกว่าเขาแทรกซึมเข้ามาในกองกำลังที่ตระกูลลู่ซุ่มซ่อนไว้ในเจี้ยนเย่แล้ว
หลังจากได้รับคำตอบนี้ อวี๋หลุนก็มิถามมากอีก เขาหันไปมองนอกหน้าต่าง สีหน้าเย็นชาคล้ายมิสนใจคนที่อยู่ด้านหลังสักนิด ในใจลู่เฟิงกลับขบคิดอย่างหนัก พบพานระหว่างทางในวันนี้คงมิใช่ว่าติดกับดักเข้ากระมัง เขาเริ่มนึกเสียใจขึ้นมาเลือนรางอย่างห้ามมิได้
ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม แสงตะวันเริ่มเอียงเฉมาฝั่งประจิม คลื่นความร้อนเหนือผิวน้ำลดทอนลงแล้ว ลู่เฟิงจึงพาลู่เหมยขอตัวลากลับ ก่อนจากลู่เหมยยังมีสีหน้าอาลัยอาวรณ์
หนึ่งชั่วยามนี้ หลิ่วหรูเมิ่งสอนความรู้เกี่ยวกับดนตรีและการขับร้องระบำให้นางมากมาย นางรู้สึกขอบคุณยิ่งนัก อีกทั้งหลิ่วหรูเมิ่งยังสนทนาปราศรัยเก่ง ทำให้คนรู้สึกประหนึ่งอาบสายลมวสันต์ ตัดใจแยกจากมิลง
แต่ลู่เฟิงอยากจะไปนานแล้ว หนึ่งชั่วยามนี้เขารู้สึกว่าหนึ่งวันราวกับหนึ่งปี เขาตั้งใจจะหยั่งเชิงตื้นลึกหนาบางของซ่งอวี๋ แต่คิดมิถึงว่าคนผู้นี้พูดจาเย็นชาอย่างยิ่ง ท่าทางมิยินดีสนทนากับเขานัก เขารู้สึกเหมือนถูกทิ้ง กระอักกระอ่วนยิ่งนัก เวลานี้จึงรีบร้อนบอกลา
อวี๋หลุนมองเงาร่างที่จากไปของทั้งสองคน ดวงตาฉายแววเศร้าสร้อยวูบหนึ่ง หลิ่วหรูเมิ่งเดินเข้ามาใกล้ ลมหายใจหอมลอยมา “ท่านรู้จักสองคนนี้หรือ”
อวี๋หลุนตอบกลับมาเรียบๆ “อยู่ด้วยกันนานเช่นนี้ เจ้ายังมิรู้ตัวตนของพวกเขาอีกหรือ”
หลิ่วหรูเมิ่งเลิกคิ้วเรียวขึ้นนิดๆ “ข้าคร้านจะถามให้มากความ ยิ่งไปกว่านั้นแม่นางน้อยคนนี้ก็อ่อนหวานน่ารักยิ่งนัก ข้ามิอยากจะใช้เล่ห์เหลี่ยมอันใดด้วย ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการพบพานโดยบังเอิญเท่านั้น”
อวี๋หลุนจึงบอกอย่างเฉยชา “นั่นคือลู่เฟิง บุตรคนรอง กับลู่เหมย ธิดารักของลู่ช่าน”
หลิ่วหรูเมิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “บุตรชายกับบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่หรอกหรือ ช่างหายากนัก ฐานะของลู่เหมยผู้นั้น แม้แต่องค์หญิงก็มิแน่ว่าจะสูงศักดิ์เท่านาง แต่นางกลับไม่มีความหยิ่งยโสสักนิด มิเสียทีเป็นธิดาของตระกูลโด่งดังจริงๆ เพียงแต่คุณหนูสูงศักดิ์เช่นนี้ เหตุไฉนจึงเดินทางติดตามพี่ชายมาตามลำพังได้เล่า”
อวี๋หลุนตอบอย่างเฉยชา “สตรีตระกูลโด่งดังแล้วอย่างไร ก็หนีมิพ้นการแย่งชิงอำนาจอยู่ดี ไม่กี่วันก่อนเจ้าแคว้นกำลังจะอภิเษก หลังอภิเษกก็คงขึ้นปกครองบ้านเมืองด้วยตนเอง งานอภิเษกสมรสหนนี้สำคัญอย่างที่สุด จะแต่งตั้งผู้ใดเป็นพระมเหสีสำคัญยิ่งกว่าสำคัญ”
หลิ่วหรูเมิ่งเข้าใจในทันที “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ด้วยสถานะและตำแหน่งของแม่ทัพใหญ่ หรือว่าคุณหนูลู่ผู้นี้กำลังจะได้เป็นพระมเหสีหรือ แต่นางเหมือนจะเพิ่งอายุสิบสามปีเท่านั้น เด็กเกินไปหน่อยหรือไม่”
อวี๋หลุนตอบเสียงเย็นชา “อายุสำคัญอันใดเล่า หากมิใช่ว่าคุณหนูลู่ยังอายุมิถึงสิบสามปี ยังมิถึงอายุของการรับคัดเลือก เกรงว่าตอนนี้นางก็คงเข้าไปอยู่ในรายชื่อคัดเลือกพระมเหสีแล้ว หนนี้แต่งตั้งพระมเหสี ทั้งราชสำนักโต้เถียงกันมิเลิกรา แม้ซั่งเหวยจวินเจตนาจะแต่งตั้งสตรีในตระกูลเป็นพระมเหสี แต่ถูกลู่ช่านถวายหนังสือทัดทานไว้ อย่างไรเสียตระกูลซั่งก็มีพระพันปีหลวงอยู่แล้วพระองค์หนึ่ง หากมีพระมเหสีขึ้นมาอีกคนก็ออกจะมากเกินไปอยู่บ้าง”
หลิ่วหรูเมิ่งทำท่าเหมือนขบคิด “หากแม่ทัพใหญ่มีเจตนาจะให้คุณหนูลู่เป็นพระมเหสี เหตุใดตอนนี้คุณหนูลู่จึงมาเที่ยวเตร่อยู่ข้างนอก”
อวี๋หลุนตอบอย่างเฉยเมย “แม่ทัพใหญ่หาได้มีเจตนาเช่นนั้น หลายวันก่อนพระพันปีหลวงบอกเป็นนัยกับลู่ฮูหยินว่าตั้งใจจะเลือกคุณหนูลู่เป็นพระมเหสี ตอนนี้ดูแล้วตระกูลลู่คงไม่ยินยอม แต่พวกเขาก็คงมิอยากคัดค้านอย่างเปิดเผย จึงให้คุณหนูลู่ออกมาจากเจี้ยนเย่”
ดวงตางามของหลิ่วหรูเมิ่งวูบไหว เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อพระพันปีหลวงมีเจตนาเช่นนี้ แต่ถูกตระกูลลู่ปฏิเสธกลายๆ แม่ทัพใหญ่ไฉนมิใช่ล่วงเกินพระพันปีหลวงแล้ว”
อวี๋หลุนหัวเราะหยัน “เรื่องนี้ก็ช่วยไม่ได้ เจ้าก็รู้ความตั้งใจของอัครมหาเสนาบดีซั่ง เขามิมีทางยอมเห็นลู่เหมยกลายเป็นพระมเหสีเด็ดขาด หากตระกูลลู่ได้กลายเป็นพระญาติ เกรงว่าต่อให้อัครมหาเสนาบดีซั่งอยู่ในห้วงฝันก็คงต้องสะดุ้งตื่น ดังนั้นเขาจึงเอาเหตุผลว่าลู่เหมยยังอายุน้อยมาขัดขวาง เสนอให้แต่งตั้งธิดาตระกูลไช่เป็นพระมเหสี แต่หากตระกูลลู่มิแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับราชวงศ์ อัครมหาเสนาบดีซั่งก็จะยังหวั่นวิตก ดังนั้นเขาจึงเสนอความคิดบ้าบอว่าจะแต่งตั้งลู่เหมยเป็นกุ้ยเฟย
ฝ่ายพระพันปีหลวงก็ดันจิตใจมิแน่วแน่ นางทั้งหวังจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลลู่ แต่ก็โอนอ่อนกับความตั้งใจของอัครมหาเสนาบดีซั่ง จึงคิดจะให้ลู่เหมยกล้ำกลืนเป็นกุ้ยเฟย ไม่แปลกที่ตระกูลลู่จะปล่อยให้ลู่เหมยหนีออกมาจากเจี้ยนเย่ ยามนี้ฐานะในหนานฉู่ของลู่ช่านสูงส่งปานใด หากบุตรสาวของเขาเข้าวังแล้วมิได้เป็นพระมเหสี ไยมิใช่เสียหน้าหมดสิ้น”
หลิ่วหรูเมิ่งครุ่นคิดหลายตลบแล้วถอนหายใจ “หากเป็นเช่นนี้ มิว่าอย่างไรตระกูลลู่กับอัครมหาเสนาบดีซั่งย่อมต้องผูกแค้นกันแล้ว เล่ากันว่าในอดีตอัครมหาเสนาบดีซั่งเคยเสนอให้บุตรีบุญธรรมครองคู่กับลู่อวิ๋น แต่กลับถูกแม่ทัพใหญ่ปฏิเสธ ต่อมายังตั้งใจจะให้ลู่อวิ๋นแต่งกับองค์หญิงซูหนิง แต่กลับถูกแม่ทัพใหญ่ปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าแม่ทัพน้อยลู่หมั้นหมายแล้ว ยามนี้คุณหนูลู่ยังหลบหนีการคัดเลือกพระมเหสีอีก เกรงว่าพระพันปีหลวงกับเจ้าแคว้นคงคิดว่าแม่ทัพใหญ่ดูแคลนราชวงศ์ เรื่องนี้สุดท้ายจะนำภัยมาให้มิจบสิ้น”
อวี๋หลุนฟังจบ แววโศกเศร้าในดวงตาก็ล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม กล่าวตอบว่า “ยามนี้มุสิกเน่าเหม็นดุจอาหารโอชา แคลงปักษาคุนเฟิงมิเลิกรา แม่ทัพใหญ่ไฉนเลยจะเป็นผู้ละโมบหลงใหลอำนาจ เขามิเคยคิดจะเกาะอำนาจมังกรพึ่งบารมีหงส์ เพียงแต่คนเช่นอัครมหาเสนาบดีซั่งมิมีทางเชื่อในความตั้งใจของแม่ทัพใหญ่”
หลิ่วหรูเมิ่งถอนหายใจแผ่วเบา ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “มิสู้ท่านหาวิธีอธิบายให้ใต้เท้าซั่ง พูดกับอัครมหาเสบาดีซั่งสักหน่อย ยามนี้แม่ทัพใหญ่คุมกองทัพอยู่ด้านนอก ประจันหน้ากับทหารม้าเหล็กนับล้านของต้ายง หากราชสำนักเกิดเรื่องมิคาดฝันอันใดขึ้นมา เกรงว่าหอสูงคงล้มครืน”
อวี๋หลุนถอนหายใจยาวแต่มิตอบคำใด ในใจหวนคิดถึงคำสั่งที่ได้รับเมื่อวาน ตัวอักษรอันคุ้นเคยบนนั้นทำให้หัวใจของตนสั่นไหวอย่างรุนแรง
‘จ้าวหล่งกำลังจะขึ้นปกครองด้วยตนเอง การอภิเษกสมรสแต่งตั้งพระมเหสีจ่อรออยู่ตรงหน้า ตระกูลลู่เป็นเอกในเจียงหนาน คนแซ่ซั่งต้องอยากให้บุตรีของลู่ช่านเป็นพระสนมแน่ แต่ลู่ช่านคุณธรรมสูงส่ง เขาย่อมมิยอมขายบุตรสาวเพื่อเกียรติยศ ระหว่างพวกเขาย่อมเกิดความบาดหมาง
จงโน้มน้าวคนแซ่ซั่งว่าหากลู่ช่านได้กลายเป็นพระสัสสุระต้องเกิดใจคิดก่อกบฏอย่างแน่นอน นับจากนี้ให้เขาล้มเลิกความคิดจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เสีย’
ในใจอวี๋หลุนครุ่นคิดเงียบๆ อยู่หลายรอบ จากนั้นก็ลอบหัวเราะฝืดเฝื่อน “ท่านอาจารย์ ในใจของท่าน หากกลายเป็นศัตรูของท่านแล้ว ท่านก็มิเหลือความเมตตาประการใดให้เลยหรือ ลู่ช่านผู้นั้นแต่เดิมเป็นลูกศิษย์ของท่าน ยามนี้ท่านกลับจะส่งเขาไปถึงที่ตาย แต่เหตุไฉนท่านจึงผ่อนปรนกับข้าเช่นนี้เล่า”
หวนนึกถึงคำสั่งสามฉบับที่ได้รับในช่วงสามปีนี้ หัวใจของอวี๋หลุนก็รู้สึกเย็นเยียบจนถึงกระดูก
รัชศกถงไท่ปีที่สิบสอง เซียงหยางเสียเมือง ข่าวคราวส่งมาถึงเจี้ยนเย่ ซั่งเหวยจวินหวาดหวั่นยิ่งนัก เขาต้องการจะจับหรงเยวียนแม่ทัพผู้พิทักษ์เมืองเซียงหยางมาขังคุกสอบสวนความผิด คำสั่งฉบับแรกของคนผู้นั้นก็ส่งมา บอกให้ตนเสนอกลอุบาย ฉวยโอกาสกระจายข่าวลือว่าลู่ช่านเจตนาจะให้ราชสำนักลงโทษแม่ทัพและทหารในเซียงหยาง ให้ซั่งเหวยจวินออกหน้าชักชวนหรงเยวียนเป็นพวก การกระทำนี้มิเพียงทำให้หรงเยวียนเคียดแค้นลู่ช่านเพิ่ม แต่ยังจะทำให้ซั่งเหวยจวินได้ครอบครองกำลังสนับสนุนฝั่งกองทัพ แล้วยังทำให้ตนได้รับความเชื่อใจจากตระกูลซั่งด้วย
รัชศกถงไท่ปีที่สิบสาม ปาจวิ้นเสียเมือง อวี๋เหมี่ยนยืนหยัดปกป้องเจี้ยนเก๋อ กองทหารรักษาเมืองเฉิงตูสู้ตายมิยอมจำนน สองกองทัพสู้รบยืดเยื้อ ต้ายงเสนอเจรจาสงบศึก หากหนานฉู่ยอมสละเจี้ยนเก๋อกับเฉิงตู ก็จะมอบกองทัพหนานฉู่ที่ถูกกักไว้คืนให้หนานฉู่ นอกจากนี้ยังยินดีมอบปาจวิ้นคืนให้หนานฉู่อีกด้วย
ลู่ช่านยืนกรานมิยินยอม ขณะที่เขากำลังจะส่งกองเรือล่องเข้าแดนสู่ไปช่วยเหลือ ตนเองก็ได้รับคำสั่งฉบับที่สอง บอกให้เกลี้ยกล่อมคนแซ่ซั่งผ่านซั่งเฉิงเยี่ยว่าเมื่อกองเรือล่องเข้าแดนสู่ แนวป้องกันฝั่งฉางเจียงย่อมว่างเปล่า หากทำศึกนานตัดสินแพ้ชนะมิได้ กองทัพต้ายงที่ติ้งไห่ฉวยโอกาสก่อเภทภัย เกรงว่าจะเป็นอันตรายถึงเจียนเย่ แทนที่จะแบ่งกำลังทหารตรากตรำทำศึก มิสู้ตั้งมั่นที่ปาจวิ้น ขวางมิให้กองทัพต้ายงล่องตามแม่น้ำลงมา
หลังจากการเจรจาสงบศึกสำเร็จ ตนก็ทำตามคำสั่งฉวยโอกาสเกลี้ยกล่อมซั่งเหวยจวินให้เพิ่มโทษอวี๋เหมี่ยน ลู่ช่านโกรธจัดจนทะเลาะกับซั่งเหวยจวินซึ่งหน้า ในที่สุดอวี๋เหมี่ยนก็ได้คุ้มกันปาจวิ้นต่อ แต่ความระแวงที่ซั่งเหวยจวินมีต่อตระกูลลู่ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ยามนี้เมื่อรวมกับคำสั่งฉบับที่สามนี้ อวี๋หลุนรู้แจ้งแก่ใจ ความระแวงที่ซั่งเหวยจวินมีต่อตระกูลลู่กำลังจะบรรลุถึงจุดสูงสุด เมื่อจ้าวหล่งขึ้นปกครอง เจียงเจ๋อผู้นิ่งสงบมิเคลื่อนไหวมาสามปีก็คงใกล้จะเปิดฉากโจมตีสวนกลับแล้ว