ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 87 แค้นใจเซียงหยาง (4)
บนหอเหนือกำแพงเมือง เจียงเจ๋อปรือตาลงน้อยๆ สนใจแต่บรรเลงพิณ คล้ายมิทันสังเกตสักนิดว่าเมื่อครู่เกือบถูกลูกศรพุ่งมาสังหาร ทันใดนั้นเสียงพิณจู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นเสมือนคลื่นสมุทรไหลหวนกลับ คลื่นซ้อนหลายชั้นกำลังสอดรับกับจังหวะถอยทัพของกองทัพหนานฉู่
เสียงพิณที่ลอยมาจากริมแม่น้ำฮั่นนั่นก็แปรเปลี่ยนตามด้วย เสมือนโขดหินยักษ์ยืนตระหง่านพันปีท่ามกลางคลื่นทะเล แม้คลื่นน้ำและสายลมคลั่งกดเซาะ แต่ยังคงยืนทะนงท่ามกลางเกลียวคลื่นคลั่ง ตราบกาลนานมิแปรผัน จากขุนเขาเขียวสายน้ำสีครามกลายเป็นทะเลสีหยกกับหมู่โขดหิน ทว่ายังคงสอดประสานเกี่ยวพันแนบแน่นไร้ช่องว่างดุจเดิม
เมื่อเงาของกองทัพหนานฉู่หายลับจากสายตา เสียงพิณทั้งสองก็หยุดลงพร้อมกันราวกับนัด
ข้าดันพิณออกแล้วลุกขึ้นยืน สั่งอย่างนิ่งสงบ “หากอวี้เฟยมาเยือน ฉงเอ๋อร์เชิญเขามาพบข้าที่ศาลาว่าการ”
ฮั่วฉงฟังแล้วก็อดมิได้ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ ศรดอกนั้นแม่ทัพลู่หาได้ต้องการจะสังหารท่านไม่”
ดวงตาข้าฉายแววเศร้าหมองวูบหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “ต่อให้เขาคิดจะสังหารข้าจริงก็มิมีสิ่งใดผิด” กล่าวจบ ข้าก็หมุนตัวเดินเข้าไปในเมือง
ฮั่วฉงมองแผ่นหลังของเจียงเจ๋อ ดวงตาเผยความขมขื่นออกมาเลือนราง
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ชิวอวี้เฟยก็พาหลิงตวนมาถึงนอกกำแพงเมืองกู่เฉิง แต่กองทัพศัตรูมิรู้ว่าจะบุกมายามใด ประตูเมืองจึงมิอาจเปิดออกง่ายๆ บนกำแพงเมืองโยนเชือกผูกกระเช้าไม้ไผ่ลงมารับทั้งสองคนเข้าเมือง ชิวอวี้เฟยกับหลิงตวนล้วนเป็นผู้คุ้นเคยกับวิถีของสงคราม ย่อมมิคิดว่าสิ่งนี้เป็นการหลบหลู่
ชิวอวี้เฟยให้หลิงตวนนั่งในกระเช้า ไม่นานก็ขึ้นมาถึงบนกำแพง ทหารเหล่านั้นกำลังจะปล่อยกระเช้าลงไปอีกหน แต่แล้วกลับเห็นเงาสีขาววูบไหวเบื้องหน้า ชายหนุ่มอาภรณ์สีหิมะมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว
ทหารเหล่านั้นตาโตอ้าปากค้าง กำแพงเมืองของกู่เฉิงแม้จะมิสูงนักแต่ก็สูงราวสิบกว่าจั้ง กระเช้าไม้ไผ่ให้คนนั่งได้เพียงหนึ่งคน ชายหนุ่มอาภรณ์สีหิมะผู้นี้มิต้องอาศัยแรงช่วยก็ขึ้นมาบนกำแพงเมืองได้ง่ายดายเช่นนี้ พวกเขาอดคิดไม่ได้ว่าโชคดีที่คนผู้นี้มิใช่ศัตรู
ฮั่วฉงกลับมิตกตะลึงแม้แต่น้อย แม้ตัวเขาได้เรียนรู้วรยุทธ์ทั่วไปมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็เคยเห็นความสามารถของเสี่ยวซุ่นจื่อมาก่อน เขารู้จักฐานะของชิวอวี้เฟยดี ศิษย์สายตรงของประมุขพรรคมารจะมีวรยุทธ์ระดับนี้ก็มิแปลก เขาก้าวเข้าไปประสานมือคำนับ “ฮั่วฉงคารวะคุณชายสี่ ท่านอาจารย์รอคุณชายสี่อยู่ที่ศาลาว่าการเมือง”
หลิงตวนได้ยินก็ยิ้มหยันกล่าวขึ้นว่า “ท่านเจียงช่างมีมารยาทเสียจริง รู้จักส่งคนมาต้อนรับเสียด้วย ช่างให้เกียรติสหายเก่าจริงแท้”
ฮั่วฉงฟังความเป็นอริในถ้อยคำของหลิงตวนออก เขาพอทราบเรื่องราวของหลิงตวนมาอยู่บ้าง จึงยิ้มละไมตอบว่า “พี่หลิงกล่าวเกินไปแล้ว อาจารย์ของข้ากับคุณชายสี่บรรเลงพิณสอดประสานได้ย่อมรู้ใจสหายรัก คุณชายสี่เป็นผู้ละจากโลก ปลีกตัวอยู่อย่างสงบมาเสมอ ท่านอาจารย์มิมาต้อนรับด้วยตนเอง ประการแรกเป็นเพราะยังมีงานส่วนรวมต้องสะสาง ประการที่สองเพราะมิปรารถนาจะใช้ขนบธรรมเนียมมารยาทเหล่านี้มาลดทอนเกียรติของคุณชายสี่”
หลิงตวนอยากจะเอ่ยวาจาโต้แย้ง แต่อ้าปากพะงาบๆ หลายหนกลับคิดมิออกว่าสมควรกล่าวอันใด จึงได้แต่บื้อใบ้ไร้วาจา ฮึดฮัดยืนอยู่ด้านข้าง
ชิวอวี้เฟยอมยิ้มมองดูหลิงตวนสนทนากับฮั่วฉง ยามเสียงพิณสอดประสาน ต่างฝ่ายต่างมองเห็นจิตใจของกันและกัน เขาย่อมมิเข้าใจผิดว่าเจียงเจ๋อดูแคลนตนเอง เขามิขัดขวางยามหลิงตวนหาข้ออ้างมาหาเรื่องก็เพราะต้องการดูว่าฮั่วฉงจะโต้ตอบเช่นไร แม้เขาจะมิรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้ แต่พรรคมารข่าวสารว่องไว ลูกศิษย์ข้างกายที่เจียงเจ๋อรักที่สุดคือผู้ใด ไฉนเขาจะมิรู้ เพียงดูหน้าตาท่าทางของฮั่วฉงก็ทราบตัวตนของเขาแล้ว
แม้ทราบอยู่แล้วว่าลูกศิษย์ของเจียงเจ๋อย่อมเป็นคนเก่ง แต่การที่ฮั่วฉงตอบโต้สบายๆ เพียงไม่กี่คำก็ทำให้หลิงตวนอับจนหนทางทำให้เขาต้องเปลี่ยนสีหน้า มองดูอย่างพิจารณา แม้เด็กหนุ่มผู้นี้จะหน้าตาธรรมดา แต่กิริยาท่าทางคล้ายเจียงเจ๋อถึงห้าส่วน ขาดเพียงความเกียจคร้านเอาแต่ใจเล็กน้อยกับมีความสง่าผ่าเผยเอาจริงเอาจังเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยก็เท่านั้น
ทว่าพอมองหลายหนเข้า ชิวอวี้เฟยก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง ใบหน้าของเด็กหนุ่มนามฮั่วฉงผู้นี้มีลักษณะของคนที่มีความกลัดกลุ้มอยู่ในใจ เห็นชัดว่าในใจมีเรื่องหนักหนา เจียงเจ๋อเชี่ยวชาญวิชาแพทย์ เหตุไฉนจะมองมิออก เหตุใดเขาจึงปล่อยให้ลูกศิษย์ของตนทุกข์ทนเช่นนี้
แต่เขาเพียงลอบคิดในใจเท่านั้น ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มบอกว่า “เอาล่ะ หลิงตวนมิต้องพูดจาส่งเดชแล้ว ฮั่วฉงนำทางเถิด สุยอวิ๋นคงกำลังรอข้าอยู่แล้ว”
ฮั่วฉงนำทางทั้งสองคนเดินไปยังศาลาว่าการเมือง เวลานี้ศาลาว่าการเมืองกลายเป็นจวนขุนนางของฉู่กั๋วโหวเจียงเจ๋อ การคุ้มกันแน่นหนายิ่งนัก องครักษ์รอบด้านล้วนเป็นราชองครักษ์หู่จีผู้สวมชุดเกราะสีดำ ทั้งสามคนเพิ่งเดินผ่านประตูศาลาว่าการ สายตาหลิงตวนก็ตวัดมองสำรวจสภาพรอบด้าน นี่เป็นความเคยชินของเขา
ผู้ใดจะคิดว่าพอสายตาตวัดมองกลับเห็นบุรุษร่างใหญ่สวมเกราะสีดำคนหนึ่งยืนอยู่ที่ตีนบันได พริบตานั้นหลิงตวนเบิกตาโตอ้าปากค้าง เขาวิ่งพรวดไปตรงหน้าบุรุษร่างใหญ่คนนั้นแล้วถามตะกุกตะกักว่า “หลี่หู่ เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เหตุไฉนเจ้ากลายมาเป็นราชองครักษ์หู่จีได้”
บุรุษร่างใหญ่ผู้นั้นลูบศีรษะพร้อมกับทำหน้างุนงง ถามขึ้นว่า “น้องหลิง เจ้านี่เอง อะไรกัน เจ้ามิรู้ว่าข้ายังมีชีวิตอยู่หรือ”
หลิงตวนโมโห ด่าทอเสียงดังลั่น “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นเจ้าถูกใต้เท้าจวงลากตัวไป มิใช่ว่าถูกสังหารปิดปากไปแล้วหรือ เหตุไฉนตอนนี้เจ้ายังอยู่ดีอยู่ ในเมื่อมีชีวิตอยู่ ผ่านมาตั้งหลายปีเหตุใดจึงมิรู้จักส่งข่าวบอกข้าบ้าง หรือว่ามิตรภาพยามตกยากด้วยกันเจ้ามิเก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย” ด่าถึงท่อนท้าย เพลิงโทสะของหลิงตวนก็ปะทุ ความยินดีเจียนคลั่งที่ได้พบสหายเก่าเมื่อครู่ลดทอนลงไปหลายส่วน
ดวงตาของหลี่หู่ฉายแววงุนงง ตอบว่า “สังหารปิดปากอันใดเล่า ตอนนั้นข้ากับพวกพี่น้องเหล่านั้นถูกคุมตัวไปไว้ที่อื่น ถูกใช้แรงงานหนักอยู่หนึ่งปีกว่าก็ถูกปล่อยตัวไป พี่น้องทั้งหลายมากกว่าครึ่งรับเงินแล้วก็หวนคืนบ้านเกิด ส่วนข้าไม่มีที่ให้ไป ตอนที่มิรู้ว่าจะทำมาหากินอะไรดี ใครจะคิดว่าแม่ทัพฮูเหยียนก็มาถามข้าว่าต้องการไปอยู่ฉางอันหรือไม่ ข้าคิดว่าแม่ทัพสือก็มิอยู่แล้ว จึงตามท่านแม่ทัพเข้าเมืองหลวงมา
ตอนแรกอยู่ในค่ายหู่อี้อยู่หลายปี ใต้เท้าฮูเหยียนมักจะมาชี้แนะวรยุทธ์ให้ข้า ปีที่สี่ฝ่าบาทเสด็จมาชมการประลองในค่ายเพื่อคัดเลือกราชองครักษ์หู่จี แต่เดิมข้าเกือบจะตกรอบแล้ว แต่พอฝ่าบาทได้ยินว่าข้าคือหลี่หู่ผู้เคยพุ่งแหลนส่งเจียงโหวตกน้ำก็เลือกข้าเข้ามาเป็นราชองครักษ์หู่จี
จากนั้นสามปีก่อนข้าก็ถูกส่งมาอารักขาเจียงโหว ข้าได้ยินว่าเจ้าติดตามคุณชายสี่ชิวเดินทางไปอยู่จวนจิ้งไห่ที่ตงไห่ก็เคยเขียนจดหมายฝากคนไปมอบให้เจ้าแล้ว เจ้ามิได้รับหรอกหรือ”
หลิงตวนมองสีหน้ามึนงงของหลี่หู่ก็ทราบแล้วว่าเจ้าโง่สมองกลวงคนนี้คงมิรู้ตื้นลึกหนาบางของ เรื่องในตอนนั้น หลายปีที่ผ่านมามีแต่ตนทนทรมานกับความเคียดแค้นทุกโมงยามอยู่ผู้เดียว พอเงยหน้ามองรอบด้าน ชิวอวี้เฟยกับฮั่วฉงก็หายไปนานแล้ว แม้แต่ราชองครักษ์หู่จีที่อยู่ด้านข้างก็ล้วนหลบออกไปด้วย
ความแค้นเนิ่นนานปีจู่ๆ สลายกลายเป็นความว่างเปล่า ในหัวใจเขาทั้งยินดีทั้งสับสนมึนงง พึมพำถามว่า “เจ้าฝากผู้ใดส่งจดหมายให้”
หลี่หู่เกาศีรษะตอบว่า “ข้ามิรู้ว่าจวนจิ้งไห่คือสถานที่ใด จึงขอร้องแม่ทัพฮูเหยียนให้ช่วยเหลือ ฝากท่านโหวส่งข่าวให้เจ้า คิดว่าเมื่อใดเจ้ามาฉางอันจะได้มาร่ำสุรากับข้า”
หลิงตวนหัวเราะมิได้ร้องไห้มิออก ครานี้เขาทราบแล้วว่าปัญหาอยู่ที่ใด แต่พอคิดว่าสหายยังอยู่ดี ความยินดีในหัวใจผสมปนเปกับอารมณ์ที่บรรยายมิถูกก็ทำให้เขากลั้นไม่ไหว น้ำตาไหลรินดั่งสายฝน หลี่หู่เห็นสหายรักร่วมทุกข์ร่วมยากในวันวานเป็นเช่นนี้ก็ร้อนรนมิรู้จะทำอย่างไร เดินวนไปวนมาอยู่ข้างตัวหลิงตวน
ชิวอวี้เฟยได้เสี่ยวซุ่นจื่อเดินนำเข้ามาด้านใน พอเห็นเจียงเจ๋อยืนมือไพล่หลังอยู่ที่โถงด้านหน้า เงาแผ่นหลังแลดูอ้างว้างเล็กน้อย ชิวอวี้เฟยก็ถอนหายใจ “สุยอวิ๋นนึกแค้นลูกศรดอกนั้นหรือ”
ข้ามิได้หันกลับไป “สองแคว้นทำสงคราม ไฉนจะอ้างบุญคุณคุณธรรมได้ ข้าเป็นเพียงคนเนรคุณทรยศแว่นแคว้น เขาปฏิบัติด้วยเช่นนี้ก็รักษาไมตรีจนถึงที่สุดแล้ว สมัยข้าเป็นอาจารย์ที่จวนตระกูลลู่ จิตใจเจ็บปวดจากการสูญเสียบิดา ข้าวางเงื่อนไขให้พวกเราแต่ละคนได้ทำสิ่งที่ต้องการเพราะเขามิชอบร่ำเรียนตำรา แต่ความจริงแล้วนั่นเป็นเพราะยามนั้นข้ามิมีกะจิตกะใจจะสอนหนังสือเขาแม้แต่น้อย หากมิใช่เพราะเขาปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ ข้าเองก็คงมิอาจทำใจได้รวดเร็วเช่นนั้น
มิหนำซ้ำแม้ข้าจะมีความรู้อยู่เต็มหัว แต่ถึงอย่างไรก็อายุน้อยขาดประสบการณ์ ยามสั่งสอนวิชาให้เขามีข้อผิดพลาดอยู่มาก หากมิใช่เพราะเขาโต้แย้งถกเถียงกับข้าแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ข้าเองก็คงมิมีความสำเร็จในวันนี้
ห้าปีในจวนตระกูลลู่ ข้าไร้ญาติขาดมิตร ส่วนเขาแม้จะเป็นซื่อจื่อของจวนโหว แต่ลู่โหวก็มักจะฝึกฝนทหาร มิค่อยอยู่ภายในจวน ทั้งเขายังสูญเสียมารดาตั้งแต่เล็ก จวนสกุลลู่อันกว้างใหญ่ มีเพียงพวกเราสองคนเคียงข้างกัน แทนที่จะบอกว่าเป็นศิษย์อาจารย์ มิสู้กล่าวว่าเป็นสหายเป็นพี่น้อง ถึงเขาจะนิสัยเป็นเด็ก มักหยอกล้อกลั่นแกล้งข้า แต่ก็มองข้าเป็นครอบครัวจากใจจริง ข้าชอบอ่านตำราหายาก เขาก็เสาะหามาให้ ยามข้าละโมบชมทิวทัศน์หิมะริมน้ำจนเป็นหวัด เขาก็ยกยามาให้ด้วยตนเอง
ตอนแรกที่ข้าตั้งใจจะไปจากหนานฉู่ สิ่งที่วางใจไม่ลงที่สุดก็คือลูกศิษย์ที่สนิทสนมดุจพี่น้องคนนี้ แต่วันนี้กลับต้องวางแผนให้เขาร่วงหล่นสู่กับดักด้วยตนเอง มิต้องพูดถึงเขายิงศรหนึ่งดอกสะบั้นบุญคุณตัดขาดสัมพันธ์กับข้า ต่อให้เขาต้องการจะสังหารข้าจริง ข้าก็มิอาจกล่าวโทษเขา
หากมิใช่ว่าฝ่าบาทมีบุญคุณต่อข้าเท่าขุนเขา แม้ข้าจะต้องมองดูไฟสงครามดำเนินต่อกันไปอีกสามสิบปี ข้าก็จะมิมีวันสอดมือเข้ามาในศึกหนนี้”