ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 89 แค้นใจเซียงหยาง (6)
ผู้ใดจะคาดคิดว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็มีข่าวส่งมาว่ากองทัพหนานฉู่ถูกล้อมอยู่ในเซียงหยาง ลู่ช่านโหมบุกกู่เฉิงซึ่งเจียงเจ๋อก็อยู่ในเมืองด้วย ทั้งยังมีคำสั่งเรียกกำลังเสริมจากลู่ช่าน แม้ซั่งเหวยจวินจะกังวลว่าลู่ช่านจะพ่ายศึก ทำให้ขุมกำลังหลักของหนานฉู่เสียหาย แต่เขาก็ยังพอใจที่ลู่ช่านตัดความสัมพันธ์เพื่อคุณธรรมได้เสียที จนถึงขั้นส่งหนังสือออกคำสั่งให้หรงเยวียนไปช่วยเหลือเซียงหยางด้วยตนเอง แต่หรงเยวียนปฏิเสธอ้างว่าบาดเจ็บหนักมิอาจนำทัพ จากนั้นถวายฎีกาอีกหน กราบทูลว่าลู่ช่านกุมกำลังทหารเห็นตนเองเป็นใหญ่ มิเห็นราชสำนักในสายตา สนใจแต่ความดีความชอบของตน มิคำนึงถึงชีวิตแม่ทัพและทหาร
เริ่มตั้งแต่เดือนเก้า วันที่หก ข่าวลือกระพือไปทั่วเจียงหนาน พวกเขาต่างพูดกันว่าลู่ช่านนำทัพปกป้องเซียงหยางเพียงลำพัง มิถอยแล้วก็มิรุก เพราะว่าลู่ช่านเจตนาแยกดินแดนตั้งตนเป็นเจ้าแคว้นเจียงไหว ทั้งยังพูดกันอีกว่าลู่ช่านไม่ตีเมืองกู่เฉิงเพราะไม่ต้องการล่วงเกินราชวงศ์ต้ายง เพราะหากลู่ช่านตั้งตนเป็นใหญ่ เจียงไหวย่อมรับศึกสองด้าน ดังนั้นเขาจึงลอบคุกเข่าให้ฉู่กั๋วโหวเจียงเจ๋อแสดงเจตนาต้องการปรองดอง การเอาชนะจ่างซุนจี้ ยึดเซียงหยางเป็นเพียงการกลบเกลื่อนหูตาของผู้คน มิเช่นนั้นเหตุใดกองทัพต้ายงจึงรีรอมิบุกตีเซียงหยางต่อเล่า
เดือนเก้า วันที่สิบสอง จี้เสียเจ้าตำหนักอี๋หวงนำบทเพลงสั้นบทหนึ่งที่ได้จากหมู่ชาวบ้านมามอบให้ซั่งเหวยจวิน “เกาทัณฑ์ทองศรขนแร้ง ธงกองทัพดุจหางนางแอ่น ลู่อ๋องผงาดขึ้นบัญชา พันกองทัพพร้อมขานรับ[1]”
ซั่งเหวยจวินเห็นแล้วประหนึ่งหัวใจกลายเป็นน้ำแข็งทันที ลู่อ๋องที่กล่าวถึงในบทกวี นอกจากลู่ช่านแล้วยังเป็นผู้ใดได้อีก ใช้ความดีความชอบในสงครามสร้างบารมี หนึ่งร้องร้อยขานรับ หนึ่งคำสั่งเอื้อนเอ่ย พันกองทัพร้องรับเป็นเสียงเดียว นอกจากลู่ช่านยังมีผู้ใดอีก
เมื่อพิจารณาเนื้อความในบทกวีให้ถ้วนถี่ ลู่ช่านถึงกับมีความคิดจะตั้งตัวเป็นเจ้าแคว้น แต่เขาก็ยังกังวลว่าจี้เสียจะมีแผนการร้ายในใจ จึงสั่งให้คนสนิทแอบออกไปสืบ จนพบว่าในช่วงหลายวันที่ผ่านมามิว่าจะเป็นแถบเจียงไหว จิงเซียงหรืออู๋เย่ว์ จากหนือจดใต้ของฉางเจียงล้วนมีแต่เพลงบทนี้ แม้แต่เด็กน้อยอายุสามขวบ เพิ่งจะพูดอ้อแอ้ก็ยังร้องท่อน ‘ลู่อ๋องผงาดขึ้นบัญชา พันกองทัพพร้อมขานรับ’ ได้
ซั่งเหวยจวินเองก็เป็นผู้แตกฉานพงศาวดาร เขาย่อมทราบว่าสิ่งใดคือบทเพลงพยากรณ์ชะตาบ้านเมือง หากมิใช่เพราะลู่ช่านมีเจตนาจะก่อกบฏ เหตุใดจึงมีบทเพลงกบฏเช่นนี้แพร่ออกมา แล้วหากมิใช่ว่าลู่ช่านมีตำแหน่งและอำนาจเช่นนี้ จะทำให้บทเพลงหนึ่งบทแพร่หลายไปทั่วแถบแม่น้ำฉางเจียงในเวลาไม่กี่วันได้เช่นไร
เมื่อความคลางแคลงถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ในใจซั่งเหวยจวินก็วิตกกังวลและร้อนรนยิ่งนัก บังเอิญนักเวลานี้เอง ซั่งเฉิงเยี่ยบุตรชายของซั่งเหวยจวินก็กล่าวขึ้นมาว่า “ลู่ช่านกุมกำลังทหาร ยึดครองเมืองสำคัญ มักจะยกทัพออกไปเองโดยมิฟังคำสั่ง แม้มีคุณงามความชอบมาก แต่ก็มิใช่ขุนนางซื่อตรง ยังมิต้องพูดถึงว่าข่าวที่เขาคิดก่อกบฏเป็นจริงหรือลวง ในใจของชาวบ้านรู้จักแต่ลู่ช่าน มิมีเจ้าแคว้น ยิ่งมิต้องพูดถึงท่านพ่อ หากลู่ช่านลุกขึ้นปลุกระดม เกรงว่าเจียงหนานคงได้เปลี่ยนธงแคว้นในทันใด ถึงยามนั้นมิใช่เพียงเจ้าแคว้นจะสิ้นพระชนม์ แว่นแคว้นล่มสาย แต่พวกเราตระกูลซั่งก็คงมลายหายดั่งหมอกควัน
หากลู่ช่านได้ชัยชนะครั้งใหญ่กลับมาจากศึกเซียงหยาง ราชสำนักจำเป็นต้องตกรางวัลให้หนักเพราะได้ยินคำพูดคับแค้นใจในกองทัพแล้ว จะตกรางวัลอย่างขอไปทีเช่นไม่กี่หนก่อนมิได้เป็นอันขาด แต่คนผู้นี้ตำแหน่งอยู่เหนือสุดในหมู่ขุนนางแล้ว กินตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งหนานฉู่ บัญชาการกองทัพทั่วทั้งเจียงหนาน บรรดาศักดิ์เป็นกงขั้นหนึ่ง หากเพิ่มบรรดาศักดิ์อีกขั้นก็ต้องเป็นอ๋องแล้ว
คนต่างแซ่ได้เป็นอ๋อง นี่เป็นเค้าลางของการก่อกบฏ แม้ยามนี้ลู่ช่านยังไม่มีใจคิดกบฏ แต่นานวันเข้าก็ยากจะเลี่ยงถูกแม่ทัพใต้บัญชากดดันให้ตั้งตัวเป็นเจ้าแคว้น
แทนที่ท่านพ่อจะนั่งรอความตาย มิสู้ชิงลงมือก่อนเป็นดี หลังจากกำจัดลู่ช่านกับคนสนิทของเขา ค่อยปลอบโยนแม่ทัพกับทหารใต้บัญชาของเขา ครอบครัวของแม่ทัพกับทหารเหล่านี้ล้วนอยู่ในเจียงโย่ว อีกอย่างพอฝูงมังกรไร้หัวแล้วจะก่อกบฏได้เช่นไร ถึงยามนั้นค่อยเลือกแม่ทัพกรำศึกผู้บาดหมางกับลู่ช่านสักคนสองคนให้พวกเขาทำหน้าที่ป้องกันกองทัพต้ายงก็ได้แล้ว ท่านพ่อเองก็มิได้วาดหวังจงหยวน แล้วไยต้องพึ่งพาลู่ช่านคนนั้นด้วยเล่า”
แม้ซั่งเหวยจวินจะเห็นด้วยในใจ แต่ก็ยังลังเลมิอาจตัดสินใจ ในตอนนี้เองรายงานจากแนวหน้าก็ส่งมาถึงอีกครั้ง ลู่ช่านทิ้งเมืองกู่เฉิงที่กำลังจะตีได้ ยกทัพหวนกลับเซียงหยาง เอาชนะจ่างซุนจี้ครั้งใหญ่แล้วส่งหนังสือกลับมาขอกำลังเสริม
ซั่งเหวยจวินได้รับข่าวสารเช่นนี้ก็จิตใจสั่นคลอน หากลู่ช่านได้ชัยชนะครั้งใหญ่ที่เซียงหยาง ตนเองก็อาจไม่มีหนทางบีบลู่ช่านอีกต่อไป ยามนี้ลู่ช่านร้อนใจรอคอยกำลังเสริมอยู่ ตนเองย่อมฉวยโอกาสนี้บีบให้ลู่ช่านยกทัพกลับมาได้
ไม่มีเซียงหยาง อย่างมากที่สุดก็เสียโอกาสแย่งชิงจงหยวนเท่านั้น แต่หากลู่ช่านคิดก่อกบฏ นั่นย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจทำลายแว่นแคว้น ดังนั้นเขาจึงเข้าวังทันที ขอราชโองการจากจ้าวหล่งให้ไช่ไข่เป็นผู้ตรวจการกองทัพ ใช้พระบัญชาของเจ้าแคว้นขัดขวางค่ายใหญ่เจียงเซี่ยมิให้เคลื่อนพลทหารออกมา แล้วสั่งหรงเยวียนเดินทางไปยังเจียงเซี่ย อ้างว่ารอคำสั่งเจ้าแคว้นเพื่อรวบรวมกำลังทหารขึ้นเหนือไปยังเซียงหยาง แต่ลับหลังกลับให้หรงเยวียนสกัดแม่น้ำฉางเจียง มิยอมให้กองทัพเจียงเซี่ยขึ้นเหนือ
แม้จ้าวหล่งจะขึ้นปกครองบ้านเมืองเองแล้ว แต่กลับลุ่มหลงอยู่กับสุรานารี มิสนใจงานของแว่นแคว้นสักนิด เขามิคัดค้านข้อเสนอของท่านตาแม้แต่น้อย ออกราชโองการส่งไปยังเซียงหยาง สั่งให้ลู่ช่านถอยทัพ ในความคิดของเขา การยกกองทัพอันโดดเดี่ยวบุกขึ้นเหนือหมายมาดยึดจงหยวนเป็นเรื่องที่มิจำเป็นอย่างแท้จริง
มีแผ่นดินครึ่งหนึ่ง ทอดสายตามองไปเห็นตำหนักโอ่อ่าเรืองรอง ในห้องล้วนมีแต่สมบัติล้ำค่า มือแตะต้องที่ใดล้วนมีแต่หยกแวววาว ม่านแก้วและแป้งชาดหอมฟุ้ง มั่งคั่งถึงเพียงนี้ ชั่วชีวิตมีเจียงหนานก็พอแล้ว ไยต้องเอาไข่ไปกระทบหิน สร้างความขัดแย้งด้วยเล่า
เดือนเก้า วันที่สิบแปด ราชโองการมาถึงเซียงหยาง ลู่ช่านมิยอมรับราชโองการ อ้างประโยค ‘ยามแม่ทัพอยู่ไกลย่อมมีบ้างที่มิฟังบัญชาเจ้าแผ่นดิน’ ปฏิเสธมิยอมถอนทัพ
ข่าวลู่ช่านขัดราชโองการส่งมาถึงเจี้ยนเย่ จ้าวหล่งพิโรธนัก เขาสืบราชบังลังก์ตอนอายุยังน้อย แม้มิเคยกุมอำนาจไว้ในฝ่ามือ แต่ก็มิมีผู้ใดเคยขัดบัญชาของเขา สำหรับเขาแล้วลู่ช่านเป็นเพียงขุนนางธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นแต่กลับกล้าขัดบัญชาของเจ้าแคว้น
ด้วยโทสะ เขาจึงออกราชโอกงการเรียกตัวลู่ช่านกลับอีกครั้ง กุ้ยเฟยจี้หลิงเซียงแกล้งพูดเสียดสีเลาๆ บอกว่าลู่ช่านไม่มีทางทำตามราชโองการ จ้าวหล่งกังวลว่าจะเสียหน้าต่อหน้าสนมรัก ภายในเวลาสองวันจึงออกราชโองการเรียกให้ถอนทัพถึงเจ็ดฉบับ
เดือนเก้า วันที่ยี่สิบห้า หนังสือเรียกตัวกลับฉบับที่สองมาถึงเซียงหยาง ลู่ช่านโกรธเกรี้ยวมิยอมรับ แต่แล้วเจี้ยนเย่ก็ส่งผู้แทนพระองค์มาประกาศราชโองการให้ลู่ช่านถอยทัพติดกันถึงเจ็ดคน ถึงกระนั้นใจลู่ช่านก็มิยินยอมละทิ้งเซียงหยาง
ทว่าแม้ลู่ช่านตัดสินใจจะบุก แต่กองหนุนฝั่งเจียงเซี่ยถูกหรงเยวียนขัดขวางไว้ ไพร่พลของเจียงไหวก็มิอาจโยกย้ายมาได้ เสบียงใกล้หมดลงแล้ว กองทัพฝั่งตนยืนหยัดเดียวดายไร้กำลังหนุน แต่กองทัพต้ายงกลับจัดทัพใหญ่มาใหม่ อีกไม่กี่วันก็คงจะบุกโจมตีเซียงหยาง ทั้งพวกเขายังเผาทุ่งนารอบเซียงหยางจนหมด มิยอมให้กองทัพหนานฉู่มีเสบียงสู้ศึก ลู่ช่านยืนโต้สายลมอยู่บนกำแพงเมืองเซียงหยาง หลั่งน้ำตากล่าวว่า “การใหญ่ยังมิทันสำเร็จ ต้องหวนทักษิณกลางคัน นับจากวันนี้ไปคงมิมีหวังครองจงหยวนอีกต่อไปแล้ว”
ลู่ช่านไร้ทางเลือกต้องออกคำสั่งให้ถอนทัพ ชาวเซียงหยางทราบข่าวว่ากองทัพหนานฉู่กำลังจะถอนทัพก็ตระหนกลนลาน แห่มาอยู่หน้าจวนของแม่ทัพลู่ช่าน วิงวอนว่า “พวกข้าช่วยแม่ทัพใหญ่ป้องกันเมือง เมื่อกองทัพต้ายงยึดเซียงหยางกลับไปสำเร็จ ไยมิลงโทษพวกข้าทุกคน ต้ายงใช้กฎเข้มงวด พวกข้าคงมีแต่ตายสถานเดียว ขอแม่ทัพใหญ่ช่วยชีวิตด้วย”
ลู่ช่านฟังแล้วก็ถอนหายใจ “ผู้แซ่ลู่มิอาจหมายมาดจงหยวนทางทิศอุดร แต่ก็มิอาจปล่อยให้ประชาชนเซียงหยางเป็นอันตราย”
หลังจากนั้นจึงออกคำสั่งให้ชาวเซียงหยางอพยพลงใต้ข้ามไปยังสุยโจว ตั้งหลักแหล่งในเจียงเซี่ย
ลู่ช่านนำทหารสกัดท้ายด้วยตนเอง ป้องกันเซียงหยางมิถอย จ่างซุนจี้ทราบข่าวชาวเซียงหยางอพยพลงใต้ก็ตกตะลึงและโกรธเกรี้ยว บัญชาการกองทัพบุกตีเมือง ลู่ช่านยืนหยัดป้องกันเจ็ดทิวา กำแพงเมืองเซียงหยางอาบโลหิต กองทัพต้ายงยากจะบุกเข้าไป
เดือนสิบ วันที่สาม ลู่ช่านวางเพลิงเผาเซียงหยาง หลังจากนั้นฉวยจังหวะชุลมุนฝ่าวงล้อมออกไปทางประตูประจิมของเมืองเซียงหยาง มุ่งหน้าไปยังสุยโจว
หลังจากลู่ช่านออกจากเมืองเซียงหยางได้สิบกว่าลี้ หูก็ได้ยินเสียงดังสนั่นดุจอสนีบาตดังขึ้นต่อกันมิขาดสายคล้ายเทพอสนีพิโรธ ลู่ช่านฉุกใจคิด ทันใดนั้นสีหน้าก็ซีดเผือดดุจกระดาษ ฟังจากตำแหน่งของเสียงก็ทราบว่าดังมาจากกำแพงเมือง จะต้องมีคนขุดโพรงใต้กำแพงเมืองซ่อนดินระเบิดเอาไว้แน่ ตอนนี้พอถูกพระเพลิงจุดติดไฟจึงเกิดเสียงเช่นนี้
ลู่ช่านสติปัญญาเฉียบแหลม เขาเดาได้ทันทีว่านี่จะต้องเป็นแผนทำลายกำแพงเมืองของกองทัพต้ายง วิธีการเช่นนี้มิใช่สิ่งที่แม่ทัพผู้ปกป้องเมืองจะคิดออกมาได้ แต่ตลอดเวลาที่กองทัพต้ายงบุกตีเมือง พวกเขากลับมิใช้สิ่งที่ซ่อนไว้ทำลายกำแพงเมือง ทันใดนั้นลู่ช่านพลันรู้ว่าตนต้องตกลงไปในกับดักแล้วเป็นแน่
แม้ตนเองรอดออกมาจากเซียงหยางก็ยากจะไม่ถูกเจ้าแคว้นระแวงแคลงใจ ดินระเบิดนั่นน่าจะเป็นมาตรการสุดท้ายที่ใครบางคนวางไว้เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝันเท่านั้น ลู่ช่านยิ้มขมขื่น ควบอาชามุ่งหน้าไปยังสุยโจว หลังจากสู้รบอย่างยากลำบากมาหนึ่งเดือนกว่า ไฟสงครามแผดเผาเซียงหยาง เหลือทิ้งไว้เพียงโลหิตของเหล่าทหารหาญและความแค้นใจของแม่ทัพ
[1]ดัดแปลงจากบทกวี บทเพลงแห่งค่ายทหารสี่บท (塞下曲四首) ของหลูหลุน (卢纶)