ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 97 ความโปรดปรานของนายเหนือหัวหนักเท่าแผ่นดิน (1)
ท่านกงยอมให้จับกุม อัครมหาเสนาบดีออกคำสั่งจับกุมพรรคพวกของเขา แต่แม่ทัพทั้งหลายล้วนกุมอำนาจทหารอยู่ในมือ สุดท้ายเขาจึงต้องชะลอแผนการไว้
บุตรชายคนโตของท่านกงนามลู่อวิ๋น อายุสิบหกติดตามสือกวนออกรบที่ไหวซี ชื่อเสียงเลื่องลือว่าเก่งกล้าห้าวหาญ สือกวนได้รับความช่วยเหลือจากเขามากมาย รักเขายิ่งนัก สือกวนมีธิดานางหนึ่งนามว่าอวี้จิ่น อายุสิบเจ็ดปี เก่งกาจการรบเช่นกัน ทุกครั้งสวมเกราะเงินขี่อาชาขาว ถือหอกสะพายคันศรออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับลู่อวิ๋น ฝีมือสูสีทัดเทียม
รัชศกถงไท่ปีที่สิบสาม พระพันปีหลวงประสงค์จะให้ลู่อวิ๋นสมรสกับองค์หญิงซูหนิง องค์หญิงกิริยามารยาทเรียบร้อยเป็นที่เลื่องลือ ผู้คนล้วนอิจฉาเขา แต่ลู่อวิ๋นมิยินยอมถ่ายเดียว กล่าวกับบิดาว่า ‘ปรารถนาตบแต่งผู้มีปณิธานเดียวกันเป็นภรรยา’ ท่านกงกับสือกวนเข้าใจมานานแล้วจึงอนุญาต
ยามผู้แทนพระองค์มาถึงโซ่วชุน ธิดารักของท่านกงก็หลบภัยมาอยู่ในโซ่วชุนพอดี สือกวนต้องการจะส่งนางให้ผู้แทนพระองค์ อวี้จิ่นได้ยินเรื่องนี้พลันโกรธจัด อุ้มนางหนีออกจากเมืองโดยมิสนความปลอดภัยของตนเอง ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของนางน่านับถือยิ่งนัก ผู้แทนพระองค์ส่งทหารออกไล่ล่าแต่กลับล้มตายบาดเจ็บหมดสิ้น สตรีทั้งสองหายไปไร้ร่องรอย ผู้แทนพระองค์หวาดหวั่น กลัวว่าลู่อวิ๋นจะมิยอมถูกจับกุม จึงเร่งออกคำสั่งให้สือกวนนำทหารมายังจงหลี
สือกวนจงใจถ่วงเวลา ผ่านไปห้าวันแล้วจึงนำทัพมาถึงจงหลี ทว่าลู่อวิ๋นรออยู่นานแล้ว เมื่อได้ยินราชโองการก็ตอบว่า ‘จิตใจภักดีของสกุลลู่ ผู้คนใต้หล้าต่างประจักษ์’ แล้วยอมมอบตัวอย่างสง่าผ่าเผย
ยามนั้นลู่อวิ๋นเป็นแม่ทัพแห่งค่ายทหารม้าเฟยฉี กำลังพลใต้บัญชาเก่งกาจเป็นอันดับหนึ่งในเจียงไหว ทหารทั้งหลายตั้งใจจะขัดขวางพวกเขา แต่ลู่อวิ๋นออกคำสั่งให้กลับค่าย ทุกคนล้วนมิกล้าขัด ชื่อเสียงจึงเลื่องลือจวบจนบัดนี้
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน ประวัติจงอู่กง
เดือนสิบ วันที่สาม ณ ฉู่โจว
เผยอวิ๋นยืนอยู่บนหอเจิ้นไหว ในใจกลัดกลุ้ม ทิวทัศน์สารทฤดูเบื้องหน้าล้วนหม่นรัศมี ผลของศึกที่จิงเซียงมาถึงหูของเขาแล้ว เบื้องลึกอันสลับซับซ้อนของศึกหนนี้ทำให้เขาตาโตลิ้นพันกัน ลู่ช่านยกกองทัพออกจากอี้หยาง ฉวยโอกาสยามเมืองขาดกำลังพลบุกยึดเซียงหยาง เหตุการณ์พลิกผันนานัปการระหว่างศึกอันดุเดือดที่กู่เฉิงกับการประจันหน้ากันที่เซียงหยางหลังจากนั้นทำให้ผู้คนคาดไม่ถึง การเสียเซียงหยางแต่แล้วกลับได้คืนมาช่างชวนให้คนฉงนงงงวย จนกระทั่งทราบข่าวว่าลู่ช่านถูกจ้าวหล่งเจ้าแคว้นหนานฉู่ปลดอำนาจทหาร เรียกตัวเข้าเจี้ยนเย่ เผยอวิ๋นจึงเข้าใจรางๆ ว่าศึกนองเลือดในจิงเซียงและการเปลี่ยนมือผู้ครองเซียงหยางล้วนเพื่อลู่ช่านเพียงผู้เดียว แต่ถึงแม้จะคิดเรื่องนี้ตกแล้ว หัวใจของเผยอวิ๋นกลับยิ่งตกตะลึง
นักวางกลยุทธ์กล่าวกันว่าจิงเซียงคือจุดศูนย์กลางเส้นทางสำคัญในใต้หล้า แม่น้ำฉางเจียงพาดขวางเชื่อมบูรพาประจิม โยงดินแดนอู๋เชื่อมกับดินแดนสู่ เดินทางจากฉางเจียงสู่แม่น้ำเซียง จากนั้นแล่นเข้าแม่น้ำกั้น ไม่ว่าไปทางใดก็สะดวกรวดเร็ว แม่น้ำฮั่นไหลคดเคี้ยวจากเจียงเซี่ยขึ้นเหนือสู่พายัพ จากเซียงหยางมุ่งตะวันตกเฉียงเหนือเข้าฮั่นจง กวนจง เดินทางขึ้นเหนือถึงหนานหยาง ลั่วหยาง มิว่าทางน้ำหรือทางบกล้วนมีหนทางเชื่อมผ่าน หากอยากครองใต้หล้าจำต้องครอบครองเซียงหยาง
ทุกคราที่ใต้หล้าแตกแยก เจ้าผู้ครองแคว้นแบ่งแยกดินแดน จิงเซียงก็คือสนามรบแห่งแรกสุด เมืองเซียงยาง เจียงหลิง เจียงเซี่ยภายในเขตจิงเซียงล้วนเป็นเมืองสำคัญทางการทหาร เซียงหยางยิ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ หนานฉู่ยึดครองเซียงหยางไว้ย่อมบุกขึ้นเหนือมายังจงหยวนได้ ฝ่ายต้ายงหากยึดครองเซียงหยางสำเร็จก็จะคุกคามจิงเซียง
ตั้งแต่ต้ายงก่อตั้งแคว้นก็จับจ้องเซียงหยางอยู่ตลอด แต่ยามนั้นเซียงหยางมีเต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ยคอยพิทักษ์ นครมั่นคงดุจเขาไท่ซาน กองทัพต้ายงพ่ายแพ้ใต้กำแพงแกร่งของเซียงหยางหลายต่อหลายครั้ง มีทหารกล้ามิรู้เท่าใดสิ้นใจอยู่ใต้ฝุ่นธุลี
เซียงหยางเป็นความแค้นใจของทหารต้ายง จวบจนกระทั่งรัชศกหลงเซิ่งปีที่แปด เจียงเจ๋อวางกลอุบาย ใช้ประโยชน์จากโอกาสที่หยางซิ่วบุกตีไหวตง ล่อศัตรูขึ้นเหนือ จึงฉวยช่องโหว่ชิงเซียงหยางมาได้ เมื่อเซียงหยางตกอยู่ในมือต้ายง หนานฉู่ก็ไม่มีโอกาสโจมตีสวนกลับอีกต่อไป แม้ลู่ช่านจะพิทักษ์เจียงหนานจนแข็งแกร่งประหนึ่งปราการเหล็ก แต่ก็ไร้กำลังทำอันตรายต่อฐานรากของต้ายง
เซียงหยางสำคัญถึงขนาดที่ต่อให้จักรพรรดิต้ายงเสด็จมาบัญชาการศึกด้วยตนเองก็คงมิกล้าสละเมืองสำคัญเช่นนี้ง่ายๆ อย่างเด็ดขาด แต่เจียงเจ๋อกลับนำเมืองสำคัญเช่นนี้มาเป็นเหยื่อล่อ ปล่อยมือไปอย่างง่ายดาย แม้สุดท้ายหนานฉู่จะยึดเซียงหยางกลับมาได้ แต่ก็หลังจากเมืองถูกเผาวอดวายจนเหลือเพียงซากปรักหักพัง มิหนำซ้ำประชาชนเซียงหยางยังอพยพลงใต้ไปกันอีก ภายในเวลาสองสามปีเซียงหยางยากจะฟื้นกลับดังเดิม
ตอนนี้ยังมิต้องพูดถึงว่าเจียงเจ๋อใช้แผนการบ้าบิ่นเพียงใด สิ่งที่ทำให้เผยอวิ๋นกังวลยิ่งกว่าก็คือ เขาได้ข่าวมาจากฝั่งเส้าหลินว่าศึกนี้จักรพรรดิต้ายงหลี่จื้อมิทราบเรื่องสักนิด เจียงเจ๋อทำโดยแอบอ้างคำสั่ง ยังมิต้องพูดถึงว่าศึกหนนี้เสี่ยงมากเพียงใด เพียงความกล้าของเจียงเจ๋อก็ทำให้เผยอวิ๋นตกตะลึงจนเกือบวายปราณแล้ว หากจักรพรรดิต้ายงตำหนิสั่งลงโทษขึ้นมา เกรงว่าเขาคงยากจะเลี่ยงโทษหนักอย่างการถูกเรียกตัวกลับ
หากเป็นผู้อื่นอาจนิ่งเฉยดูดายเรื่องนี้ได้ เพราะตั้งแต่แต่ก่อนเจียงเจ๋อก็ได้รับความโปรดปรานมากล้นจนทำให้ผู้คนมากมายไม่พอใจอยู่แล้ว แล้วระหว่างเกิดสงครามยืดเยื้อเขายังเอาแต่ท่องเที่ยวชมภูเขาลำน้ำ มิสนใจการศึก ฎีการ้องเรียนมีมากมายจนกองท่วมโต๊ะทรงงานของจักรพรรดิต้ายง ยามนี้เขาทำความผิดมหันต์เช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่องค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อก็คงปกป้องเขามิได้ อาจมีบางคนคิดฉวยโอกาสโยนหินซ้ำเติมเขาเสียด้วยซ้ำ
แต่เผยอวิ๋นทำเช่นนั้นมิได้ ยังมิต้องพูดถึงว่าเจียงเซิ่นบุตรชายของเจียงเจ๋อเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านอาจารย์ของเขา ตัวเขาเองหลายปีนี้ก็ได้เจียงเจ๋อคอยช่วยเหลือไว้มาก ศึกที่หยางซิ่วบุกโจมตีฉู่โจวกับซื่อโจวเมื่อสามปีก่อน กล่าวได้ว่าเผยอวิ๋นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เหตุการณ์ที่หลัวจิ่งเจ้าเมืองฉู่โจวถูกลอบสังหารก่อนหน้านั้นก็เป็นการล่วงเกินเกาหรงพี่ชายของฮองเฮาอย่างใหญ่หลวง
เมื่อรวมกับความพ่ายแพ้ที่หยางโจว ขุนนางใหญ่ในราชสำนักมากมายต่างถวายฎีกาเรียกร้องให้จักรพรรดิต้ายงลงโทษเผยอวิ๋น หากมิใช่เพราะได้เจียงเจ๋อสนับสนุน ผนวกกับจักรพรรดิต้ายงเห็นแก่ความชอบในวันวานที่เผยอวิ๋นเคยช่วยให้เขาได้ขึ้นครองราชย์ น่ากลัวว่าวันนี้เผยอวิ๋นคงกลายเป็นขุนนางต้องโทษแล้ว
หลายปีนี้เผยอวิ๋นสั่งสมกำลังพลจนค่ายใหญ่สวีโจวฟื้นกำลังรบกลับมาจนสมบูรณ์ เขากำลังกระเหี้ยนกระหือรือพร้อมทำศึก หากเจียงเจ๋อถูกลงโทษลดขั้น เผยอวิ๋นกลัวอย่างยิ่งว่าตนเองจะถูกหางเลขไปด้วย หากสูญเสียอำนาจทางการทหาร ไฉนมิใช่ไม่มีโอกาสล้างอายที่พ่ายแพ้อีกต่อไป ดังนั้นเมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้ว ในใจเผยอวิ๋็นจึงกังวลกับสถานการณ์ของเจียงเจ๋อเป็นที่สุด
เผยอวิ๋นกลัดกลุ้มกังวลยิ่งนักจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้าของตู้หลิงเฟิงที่เดินขึ้นมาบนหอ จวบจนกระทั่งเสียงของตู้หลิงเฟิงดังเข้ามาในหู เขาถึงรู้สึกตัว ได้ยินตู้หลิงเฟิงรายงานว่า “ท่านแม่ทัพ สวีโจวมีสารส่งมา ฝ่าบาทมีราชโองการตำหนิฉีอ๋องกับรัชทายาท รวมถึงแม่ทัพจ่างซุน เจียงโหวถูกลดบรรดาศักดิ์สองขั้น ต่อจากนั้นก็ทรงออกพระราชโองการปลดท่านโหวจากตำแหน่งเสนาธิการของกองบัญชาการศึกเจียงหนาน”
เผยอวิ๋นใจสะท้าน แต่ซ่อนความกังวลใจไว้ สีหน้าสุขุมดั่งสายน้ำ กล่าวว่า “ฝ่าบาทพิโรธถึงเพียงนี้ก็ยากจะหลีกเลี่ยง เพียงแต่ในราชสำนักไม่มีคนถวายฎีกาปกป้องเลยหรือ มิว่าอย่างไรเซียงหยางก็ยังอยู่ในมือกองทัพเรา”
ตู้หลิงเฟิงลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ข่าวจากฉางอันบอกว่า ฝ่าบาททราบข่าวการศึกก็เดือดดาลยิ่งนัก แม้เสนาบดีสือกับใต้เท้าทั้งหลายจะเกลี้ยกล่อม แต่เซี่ยโหวหยวนเฟิงแห่งกรมวินิจการณ์กลับฉวยโอกาสถวายฎีกาโจมตีว่าเจียงโหวหย่อนยานในหน้าที่ ทั้งยังรายงานการกระทำตลอดสามปีของเจียงโหวทุกประการ ฝ่าบาทจึงกริ้วโกรธยิ่งนัก ออกราชโองการตำหนิ ทั้งยังลดบรรดาศักดิ์ปลดท่านโหวจากตำแหน่ง หากมิใช่เพราะเสนาบดีสือพร่ำขอความเมตตา น่ากลัวว่าแม้แต่บรรดาศักดิ์ เจียงโหวก็คงรักษาเอาไว้ไม่ได้”
เผยอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในใจ สายตาตวัดเห็นความกังวลบนสีหน้าของตู้หลิงเฟิง จึงคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “หลังจากหนก่อนที่เจ้าติดตามเจียงโหวไปเซียงหยาง เพียงเอ่ยนามเจียงโหว เจ้าก็ตัวสั่นระริก วันนี้เจียงโหวได้รับโทษ เจ้าสมควรดีใจจึงจะถูก เหตุไฉนจึงมีสีหน้าเช่นนี้เล่า”
ตู้หลิงเฟิงกล่าวอย่างอับอาย “เรื่องนี้จะโทษหลิงเฟิงก็ไม่ได้ อาจารย์อาไม่ทราบ หนก่อนที่ติดตามเจียงโหวไปเซียงหยาง จนตอนนี้หวนนึกขึ้นมาก็ยังใจสั่นผวามิหาย ยามนั้นจิงเซียงยังอยู่ในการครอบครองของหนานฉู่ แต่เจียงโหวกลับเตร็ดเตร่บนเขาเซี่ยนซานอยู่หลายวัน ศิษย์พะว้าพะวงตลอดเวลา ว่าหากกองทัพหนานฉู่รู้ตัว เจียงโหวบาดเจ็บเป็นอันใดขึ้นมา มิต้องพูดถึงว่าคงจะยากรักษาชีวิตเอาไว้ได้ น่ากลัวว่าจะส่งผลกระทบไปถึงสำนักด้วย
แต่เจียงโหวกลับไม่เข้าใจหัวอกคนคุ้มกันอย่างพวกเราสักนิด ยังจะไปชมหอบนกำแพงเมืองเซียงหยางจากไกลๆ อีก แม้แต่แม่ทัพฮูเหยียนกับใต้เท้าองครักษ์ทั้งหลายก็ล้วนตัวสั่นเทา กลัวแต่ว่าจะเกิดเรื่อง มิน่าผู้อื่นจึงบอกว่าเจียงโหวนิสัยพิลึกคน หลิงเฟิงหวังเพียงว่าชาตินี้จะไม่ต้องรับใช้เขาอีกแล้ว
แต่ยามนี้เจียงโหวได้รับโทษ ศิษย์กลับรู้สึกหวั่นวิตก มิใช่เพราะเป็นห่วงอาจารย์อา อาจารย์อาเฉยชาต่อคุณงามความชอบและชื่อเสียงลาภยศมาตลอด ฝ่าบาทเองก็ทรงไว้วางพระทัยอาจารย์อาพอสมควร แม้จะส่งผลต่ออาจารย์อา แต่ก็คงไม่ถึงขั้นเกิดปัญหาใหญ่หลวง เพียงแต่ไม่ทราบว่าเพราะอะไร ศิษย์กลับรู้สึกว่าหากเจียงโหวถูกปลด เกรงว่าเขาจะยิ่งอันตรายมากกว่าเดิม”
เผยอวิ๋นประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าศิษย์หลานที่ตรงไปตรงมา ไร้เล่ห์เหลี่ยมมาตลอดคนนี้กลับสัญชาตญาณดีเช่นนี้ ในอดีตปรมาจารย์ฉือเจินผู้เป็นอาจารย์เคยบอกไว้ว่าเจียงเจ๋อผู้นี้สติปัญญาลึกล้ำดั่งมหาสมุทร เจ้าเล่ห์เพทุบายทั้งยังรู้จักยืดหยุ่นพลิกแพลง ข้างกายยังมียอดฝีมือเช่นเงามารหลี่ซุ่นคอยรับใช้ หากไร้พันธนาการ ปล่อยให้เขาเป็นอิสระ เกรงว่าความคิดของเขาบิดเบี้ยวเพียงสักหนเดียวก็คงทำให้ใต้หล้าโกลาหล
โชคดีที่คนผู้นี้มารับใช้จักรพรรดิต้ายง แม้จะน่าสงสารเหล่าวีรบุรุษในใต้หล้า แต่หากเร่งให้แผ่นดินรวมเป็นหนึ่งได้ก็นับว่าเป็นความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใดในใต้หล้า ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคนผู้นี้มีอำนาจจักรพรรดิคอยผูกมัดย่อมเป็นภัยน้อยลงมาก
เมื่อครู่พอเขาทราบว่าเจียงเจ๋อถูกปลด ในใจก็นึกกังวลว่าหากเจียงเจ๋อเอาใจออกห่างราชสำนักต้ายงเพราะเหตุนี้ หรือหลบเร้นหายไปบนผืนสมุทร เกรงว่าคงมิใช่โชคดีของใต้หล้า คิดไม่ถึงว่าตู้หลิงเฟิงจะคิดเรื่องนี้ออกอยู่เลาๆ ดูท่าประสบการณ์ที่ขัดเกลาระหว่างหลายปีที่ผ่านมาจะทำให้ศิษย์หลานคนนี้มิใช่เด็กหนุ่มวู่วามเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว
เผยอวิ๋นยิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “สองสามวันนี้ตกเย็นให้ไปที่จวนข้า ข้าจะดูสักหน่อยว่าฝีมือเจ้าก้าวหน้าถึงไหนแล้ว”