ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1014 ค่ายกลกำแพงผี
“อืม ผีสุนัขล่าเนื้อตัวนี้ดุร้ายยิ่งนักจริงๆ แต่ระดับแก่นแท้ขั้นกลางเท่านั้น ก่อนข้าเข้ามาในทางปีศาจร้าย ข้าใช้เงินจำนวนมากกว้านซื้อสมบัติที่ใช้ปราบภูตผีได้จากในสำนักมาหลายชิ้น เมื่อครู่ใช้ไปอย่างไม่เสียดาย อีกทั้งยังมีอสูรเลี้ยงคอยช่วยเหลือจึงโชคดีสังหารเจ้าเขี้ยวยาวตัวนี้ลงได้” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้น
แม้ผู้เฒ่าหลังค่อมกับคุณชายเยาว์วัยยังไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง แต่หลังจากฟังหลิ่วหมิงอธิบาย สีหน้าตกตะลึงบนใบหน้าจึงลดทอนลง
“ฮ่าๆ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ดูจากผลึกความมืดก้อนนี้ ผีตัวนี้ที่ศิษย์น้องหลิ่วสังหารได้ตามลำพังย่อมแข็งแกร่งมากจริงๆ ฉายาอันดับหนึ่งของศิษย์สายในช่างสมคำร่ำลือโดยแท้ ผู้แซ่หมิ่นนับถือ!” บุรุษแซ่หมิ่นหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมา
ผู้เฒ่าหลังค่อมกับคุณชายเยาว์วัยก็ชื่นชมอีกสองสามประโยคด้วย หากก่อนหน้านี้ทั้งสองคนเสแสร้งนอบน้อมอยู่บ้าง ยามนี้ก็ยอมรับนับถือเต็มหัวใจแล้ว
“ทุกท่านชมเกินไป ในเมื่อพวกเราตามหาบาตรแห่งการสร้างใบนี้พบแล้วก็รีบไปจากที่นี่กันเถิด” หลิ่วหมิงเอ่ยถ่อมตนอย่างคุ้นชิน หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนประเด็นเสนอขึ้นมา
“ไม่ผิด ปราณหยินที่นี่หนักหน่วงยิ่งนัก ขึ้นไปก่อนแล้วค่อยวางแผนต่อเถอะ” บุรุษแซ่หมิ่นกวาดสายตามองบาตรสีทองที่อยู่ในมือหลิ่วหมิงแล้วพยักหน้าเอ่ยขึ้นมา
“ของสิ่งนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของกองทัพ ให้ศิษย์พี่หมิ่นถือไว้เถิด จะได้มั่นใจว่าจะไม่หายไป”
หลิ่วหมิงสะบัดมือครั้งหนึ่งก็โยนบาตรแห่งการสร้างให้บุรุษแซ่หมิ่น แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ลังเลสักนิด
บุรุษแซ่หมิ่นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองหลิ่วหมิงอย่างมีความนัยแล้วรับบาตรแห่งการสร้างไว้ในมืออย่างไม่เกรงใจ
จากนั้นทั้งสี่คนก็ไม่ชักช้าเสียเวลาต่อ พวกเขาพากันบังคับลำแสงเหาะขึ้นไปด้านบนของหลุมยักษ์ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เหาะออกจากหลุมยักษ์ที่ปราณหยินเข้มข้นแห่งนี้
“หัวหน้าหมิ่น สหายหลิ่ว พวกท่านกลับมาแล้ว!” หญิงสาวชุดแดงกับบุรุษผู้สะพายคันศรที่รออยู่ด้านนอกรีบเข้ามาหา
“อืม ภารกิจครั้งนี้นับว่าบรรลุผลแล้ว!” บุรุษแซ่หมิ่นถือบาตรแห่งการสร้างที่ส่องแสงสีทองด้วยมือเดียวแล้วกวักมือเอ่ยกับพวกเขา
“ดีเหลือเกิน ในที่สุดครั้งนี้ก็ชิงตามหาบาตรแห่งการสร้างพบก่อนอีกสองหน่วย คิดไม่ถึงว่าภูตเจ็ดทวารพวกนี้กลับไม่ได้ขายพวกเรา” หญิงสาวชุดแดงเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยขึ้น ใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
บุรุษผู้สะพายคันศรข้างกายนางก็เผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีออกมาเช่นกัน
เบื้องบนของกองทัพแสงทองตั้งรางวัลให้ภารกิจครั้งนี้ไว้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว นอกจากจะแจกแต้มคุณูปการของนิกายจำนวนมากให้แล้ว ยังมีของล้ำค่าอย่างอื่นเช่นผลึกความมืดของภูตผีอีก มิเช่นนั้นภารกิจครั้งนี้พวกเขาก็คงไม่แย่งชิงกันทำให้ได้ก่อนเช่นนี้
“พูดให้ถึงที่สุดแล้วก็ต้องขอบคุณศิษย์น้องหลิ่วยิ่งนักที่บุกเดี่ยวลงไปสังหารผีสุนัขล่าเนื้อระดับแก่นแท้ขั้นกลางด้านล่างจนสำเร็จ ครั้งนี้หลังกลับไป ข้าจะรายงานอาจารย์อาและอาจารย์ลุงทั้งหลายตามจริง” บุรุษแซ่หมิ่นตบหน้าอกรับประกัน
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณศิษย์พี่หมิ่นยิ่งนัก” หลิ่วหมิงประสานมือยิ้ม
เวลานี้เขากำลังต้องการสร้างชื่อเสียงในเมืองจินกวังอยู่จริงๆ เรื่องนี้จะมีส่วนช่วยให้เขาเข้ากับกองทัพแสงทองได้อย่างสมบูรณ์ไม่น้อย
หญิงสาวกับชายหนุ่มร่างใหญ่ได้ยินคำว่าระดับแก่นแท้ขั้นกลางก็ตกตะลึงอย่างมาก
สังหารภูตผีที่แข็งแกร่งเช่นนี้ตนหนึ่งได้ตามลำพังในเวลาสั้นเช่นนี้ เรื่องนี้กระทั่งผู้อาวุโสระดับแก่นแท้หลายคนในเมืองจินกวังก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ
“เอาล่ะ แม้ภารกิจจะสำเร็จแล้วแต่พวกเรายังประมาทไม่ได้ ออกเดินทางกลับเมืองจินกวังทันที เรื่องอื่นรอออกจากที่แห่งนี้แล้วค่อยวางแผนกัน” บุรุษแซ่หมิ่นกลับมาสีหน้าเยือกเย็นอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยเสียงขรึม
คนที่เหลือได้ยินคำนี้ ในใจก็หวาดหวั่นวูบหนึ่ง พวกเขาพากันพยักหน้าขานตอบว่า “รับทราบ”
“จริงสิ ศิษย์พี่หมิ่น อีกสองหน่วยนั่นจะทำอย่างไร ต้องแจ้งพวกเขาว่าหาบาตรแห่งการสร้างพบแล้วหรือไม่?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา
“เมื่อครู่ข้าใช้แผ่นค่ายกลสื่อสารแจ้งไปแล้ว เอาล่ะ พวกเราไปเถอะ” บุรุษแซ่หมิ่นพูดพลางโบกมือ แสงกระบี่สีเทาสว่างขึ้นใต้ร่าง ยกร่างเขาลอยขึ้นมา จากนั้นเหาะอย่างรวดเร็วไปทางเมืองจินกวัง
พวกหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พากันเร่งลำแสงติดตามไป
ไม่นานลำแสงของพวกเขาก็กลายเป็นจุดแสงหลายจุดหายลับไปบนท้องฟ้า
หลังจากที่พวกเขาจากไป ทันใดนั้นปราณหยินหนาทึบอีกทิศทางหนึ่งก็ปั่นป่วนไปชั่วครู่ เงาพร่าเลือนร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา
จากช่องว่างของปราณหยินสีเทาที่เคลื่อนวนอยู่มองเห็นภูตตัวเล็กสีเขียวรูปร่างแคระแกร็น หัวขนาดเท่ากระบวยตนหนึ่งอยู่เลือนราง มันคือภูตเจ็ดทวารตนหนึ่ง!
หลังจากลูกตาสีแดงอ่อนเหนือกระหม่อมของมันกลอกกลิ้งพักหนึ่ง มุมปากก็ยกขึ้นน้อยๆ จากนั้นปราณสีเทารอบร่างก็ม้วนรอบตัว เหาะเลียดพื้นดินอย่างรวดเร็วไล่ตามทางที่พวกหลิ่วหมิงจากไปอย่างเงียบเชียบ
ราวครึ่งชั่วยามให้หลัง บนท้องฟ้าเหนือป่ารกร้างที่ทอดยาวไม่สิ้นสุด พวกหลิ่วหมิงหกคนกำลังเร่งลำแสงเหาะขึ้นเหนืออย่างรวดเร็ว
บุรุษแซ่หมิ่นที่อยู่ในกลุ่มยืนเหยียบกระบี่บินเอามือไพล่หลังเหาะอยู่ด้านหน้าสุด พวกหญิงสาวชุดแดงสี่คนอยู่ตรงกลาง
ส่วนหลิ่วหมิงเหยียบเมฆสีดำก้อนหนึ่งรั้งท้ายอยู่ลำพังด้านหลังสุดของกลุ่ม สีหน้าเขาราบเรียบไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“คิดไม่ถึงว่าภารกิจครั้งนี้จะราบรื่นเช่นนี้ หลังจากกลับไปรับรางวัล ข้าจะยื่นเรื่องกับเบื้องบนขอเก็บตัวระยะหนึ่ง หลายวันนี้ข้ามักจะรู้สึกว่าคอขวดเหมือนจะเริ่มคลายออกเล็กน้อยแล้ว” บุรุษผู้สะพายคันศรเอ่ยด้วยเสียงร่าเริง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจ
“ถ้าอย่างนั้นน้องสาวก็ขอแสดงความยินดีกับพี่เซียวล่วงหน้า! หากทะลวงผ่านคอขวดได้สำเร็จ ต้องไปเก็บหญ้าอัสดงที่หุบเขาควันวิญญาณกับน้องสาวสักครั้งนะ!” หญิงสาวชุดแดงฟังแล้วก็หัวเราะคิกคักเอ่ยขึ้นมา
“ซานเหนียง พูดคำนี้เหมือนเป็นคนอื่นคนไกล คนกันเองทั้งนั้น ไยต้องเกรงใจเช่นนั้นเล่า!” บุรุษผู้สะพายคันศรได้ยินคำพูดของนางก็ตอบกลับอย่างอารมณ์ดียิ่งนัก
คุณชายผู้สง่างามคนนั้นด้านหลังทั้งสองคนถือพัดกระดาษโบกเบาๆ อย่างสบายอารมณ์ เขาหัวเราะเบาๆ มองสองคนด้านหน้า แต่ผู้เฒ่าหลังค่อมข้างตัวเขาเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีนัก เขาขมวดคิ้วน้อยๆ มองสำรวจรอบด้าน
“สหายฉิว เป็นอะไร มีสิ่งใดผิดปกติหรือ?” ทันใดนั้นเสียงของบุรุษแซ่หมิ่นที่เหาะอยู่ด้านหน้าสุดก็ดังขึ้น
“หัวหน้าหมิ่น ไม่รู้ว่าข้าคิดไปเองหรือไม่ แต่ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ลำธารน้อยคดเคี้ยวด้านล่างตรงนี้ ไม่นานก่อนหน้านี้พวกเราเพิ่งเหาะผ่านไป” ผู้เฒ่าหลังค่อมได้ยินก็กวาดสายตามองใต้เท้าอีกครั้งแล้วจึงพูดด้วยท้องตอบเช่นนี้
คำพูดนี้เอ่ยออกมา ไม่ว่าคุณชายผู้สง่างามที่อยู่ข้างตัวเขาหรือพวกบุรุษผู้สะพายคันศรที่เดิมทีกำลังคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ล้วนตกตะลึง พากันมองลงไปเบื้องล่าง
“ป่ารูปหัวใจผืนนี้ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าก็เห็นไปแล้ว เมื่อครู่ยังพูดกับซานเหนียงอยู่เลย” บุรุษผู้สะพายคันศรมองลงไปครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น น่าจะไม่บังเอิญปานนั้นกระมัง” หญิงสาวชุดแดงได้ยินสองแก้มพลันแดงเรื่อ แต่จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมทันที
“เมื่อพูดเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกว่าปราณหยินรอบด้านดูเหมือนจะเข้มข้นไม่ค่อยปกติอยู่บ้างเหมือนกัน” คุณชายเยาว์วัยหุบพัดกระดาษในมือดัง “ฉับ” จากนั้นก็ขมวดคิ้วทั้งสองข้างเอ่ยขึ้นมา
“สิ่งที่พวกเจ้าพูดล้วนไม่ผิด ข้าคิดว่าพวกเราตกอยู่ในค่ายกลกำแพงผีแล้ว” บุรุษแซ่หมิ่นยกมือใช้เคล็ดกระบี่ ร่างกายหยุดนิ่งอยู่กลางท้องฟ้าแล้วหันกลับมาเอ่ยช้าๆ
“ค่ายกลกำแพงผี!”
ทั้งห้าคนพากันหยุดลำแสง ทำหน้าตกตะลึง
กล่าวถึงค่ายกลกำแพงผีนี้ หลิ่วหมิงเคยอ่านและศึกษาจากในคัมภีร์หยกที่นิกายมอบให้มาก่อน คิดไม่ถึงว่าทำภารกิจครั้งแรกก็พบเข้ากับตนเองเสียแล้ว
ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลที่กองทัพผีในทางปีศาจร้ายมักจะใช้กักขังศัตรู ส่วนใหญ่จะสร้างโดยให้ผีร้ายจำนวนมากปล่อยปราณหยินจำนวนมากออกมาเต็มกำลังล้อมบริเวณขนาดใหญ่ไว้ด้านใน ก่อกวนสายตาและจิตสัมผัสของคนที่ถูกขัง เป็นค่ายกลผีจำพวกที่กักขังคนให้สูญเสียพลังจนตาย ตรงดวงตาค่ายกลทั่วไปมักมีผีแม่ทัพระดับแก่นแท้ตนหนึ่งเฝ้าอยู่
ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับค่ายกลนี้แล่นผ่านในสมองของหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว หลังจากสองตาหรี่ลง ประกายแสงสีดำก็สว่างวาบขึ้นในดวงตาแล้วเพ่งมองเทือกเขาสูงต่ำไม่เท่ากันที่ทอดยาวอยู่ใกล้ๆ
ยามนี้ท้องฟ้าเหนือเทือกเขามีหมอกหนาสีเทาขมุกขมัวผืนหนึ่งรวมตัวกันอยู่จนมองสิ่งที่อยู่ด้านในไม่ชัดเจนแม้แต่น้อย
หลังจากเขากวาดมองรอบด้านก็พบว่าหมอกหนาผืนนี้รวมตัวกันเป็นรูปวงแหวนขนาดยักษ์ที่มหึมาอย่างยิ่งวงหนึ่งขังพวกเขาทั้งหมดไว้จากไกลๆ อีกทั้งเมื่อสังเกตอย่างละเอียดวงแหวนวงนี้ก็กำลังบีบเข้ามาตรงกลางอย่างเชื่องช้าอีกด้วย
เมื่อรวมกับที่บุรุษผู้สะพายคันศรบอกพวกเขาก่อนหน้านี้ ภาพนี้ก็ดูเหมือนค่ายกลกำแพงผีที่บรรยายไว้ในคัมภีร์หยกอย่างชัดเจน
พวกผู้เฒ่าหลังค่อมบ้างใช้เคล็ดวิชาบ้างคว้าอาวุธเวททันที ทุกคนตั้งท่าระวังเต็มที่
ในตอนนี้เองรอบด้านก็พลันมีเสียงแหวกอากาศดังระงม
ท่ามกลางหมอกหนา แสงสีเทาสายแล้วสายเล่าพุ่งขึ้นฟ้า ตามติดมาด้วยจุดแสงสีเทาจุดแล้วจุดเล่าที่ปรากฏออกมายั้วเยี้ยมากถึงหลายร้อย พวกมันล้วนเป็นทหารผีที่สวมเกราะสำริดตนแล้วตนเล่า แต่ละตนถือดาบโค้งสีดำสนิทดุจหมึกอยู่ในมือ
ทหารผีเหล่านี้ใบหน้าพร่ามัวไม่ชัด มองเห็นแต่แสงสีเหลืองสองดวงเลือนรางตรงตำแหน่งของดวงตา พวกมันเหมือนจะฝึกฝนมาอย่างเป็นระบบ แต่ละตนยืนกันค่อนข้างเป็นระเบียบ ระยะห่างระหว่างกันราวเจ็ดถึงแปดจั้ง ปราณหยินสีเทาบนร่างแผ่ออกมาสอดประสาน แล้วผสานเข้ากับวงแหวนปราณหยินขนาดมหึมาที่ค่ายกลกำแพงผีสร้างขึ้น
นอกจากนี้ข้างกายของทหารทุกตนยังมีสุนัขผีขนยาวสีน้ำตาลสองตัวที่หน้าตาเหมือนกันอยู่ด้วย ดวงตาพวกมันฉายแววดุร้าย เขี้ยวแหลมยาวโง้งโผล่ออกมาจากปาก
ทหารผีที่เป็นหัวหน้าทั้งร่างเป็นสีดำ เรือนร่างกำยำสูงถึงสองสามจั้ง มันสวมเกราะหนักสีเทาอ่อน ใบหน้าไม่มีดวงตาและจมูก แต่มีดวงตาผีสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นคู่หนึ่งหมุนอย่างรวดเร็วอยู่ตรงหน้าอก ทั้งร่างแผ่ปราณหยินรุนแรงสายหนึ่งออกมาท่าทางใกล้จะถึงระดับแก่นแท้ขั้นปลายแล้ว
เห็นชัดว่ามันเป็นผีแม่ทัพระดับสูงตนหนึ่ง!
ทันทีที่ผีร้ายตนนี้ปรากฏตัว มันก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นแล้วชี้มายังจุดที่พวกหลิ่วหมิงอยู่
อึดใจต่อมาสองตาของทหารผีทั้งหมดก็เรืองแสงสีเหลืองอย่างพร้อมเพรียง พวกมันอ้าปากพ่นกลุ่มหมอกสีเทาขนาดไม่เท่ากันหลายก้อนออกมากลืนหายไปกับอากาศอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นเสียงบึ๊มก็ดังสนั่น!
วงแหวนปราณหยินมหึมาที่ขังทุกคนไว้หดเล็กลงมาฉับพลัน สิ่งที่อยู่ด้านล่างพร่าเลือนไปหมด เมื่อเงยหน้าแหงนมอง ท้องนภาก็เปลี่ยนเป็นหมอกสีเทาขมุกขมัวไปทั้งผืน
พริบตาเดียวพวกหลิ่วหมิงหกคนก็รู้สึกถึงสายลมหนาวที่โหมพัดรอบด้าน ไอหมอกพัดตลบจนแม้แต่ระหว่างพวกเขาก็เริ่มมองเห็นกันเลือนรางเล็กน้อย
“แย่แล้ว อีกฝ่ายเริ่มกระตุ้นค่ายแล้ว หากพบค่ายกลนี้ก่อนอาจหาทางหลีกเลี่ยงได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้มีแต่ต้องฝ่าออกไปเท่านั้น” ผู้เฒ่าหลังค่อมสีหน้าเคร่งขรึมแล้วใช้ท้องเอ่ยรัวเร็ว