ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1015 ถูกขังในค่ายกล
“หากพวกเรามุ่งฝ่าไปยังทิศทางหนึ่ง จะหลุดออกไปได้ไหม?” หญิงสาวชุดแดงขมวดคิ้วงามแล้วเอ่ยถามขึ้นมา
“เมื่อค่ายกลกำแพงผีตั้งสำเร็จแล้ว วิธีการใช้กำลังหักหาญเช่นนี้ย่อมทำไม่ได้ ปราณหยินเข้มข้นจะส่งผลต่อจิตสัมผัสและการรับรู้ทิศทาง ท้ายที่สุดจะพบว่าตนเองวนเวียนอยู่กับที่เท่านั้น แล้วยังถูกทหารผีที่ซุ่มซ่อนอยู่ท่ามกลางปราณหยินลอบโจมตีได้ง่ายอีกด้วย” คุณชายเยาว์วัยส่ายหน้าแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง
“หัวหน้าหน่วยหมิ่น ท่านพูดมาเถอะ ตอนนี้พวกเราจะรับมืออย่างไรดี?” บุรุษผู้สะพายคันศรวางมือข้างหนึ่งลงบนคันศรยาวบนแผ่นหลังแล้วเอ่ยถามเสียงเข้ม
“ทุกท่านอย่าเพิ่งตื่นตระหนก ก่อนอื่นอย่าสับสนจนเสียกระบวน ระวังกองทัพผีลอบโจมตี ข้าจะไปค้นหาดวงตาของค่ายกลนี้ แม้ข้าไม่กล้ารับประกันว่าจะสังหารแม่ทัพตนนั้นแล้วทำลายดวงตาค่ายกลอย่างสมบูรณ์ได้ แต่ก่อกวนมันให้คลายออกเล็กน้อยน่าจะยังทำได้อยู่ พวกท่านจงฉวยโอกาสนั้นฝ่าออกไป” บุรุษแซ่หมิ่นมองประเมินทหารผีที่ยืนเป็นทิวแถวเลือนรางอยู่ไม่ไกล แล้วสั่งอย่างไม่ลังเลสักนิด
เพิ่งเอ่ยจบ แสงกระบี่สีเทาก็หุ้มรอบร่างเขาแล้วพุ่งเร็วรี่ไปยังทิศทางหนึ่ง พริบตาเดียวก็จมหายไร้ร่องรอยไปในหมอกสีเทาหนาทึบ
พวกหลิ่วหมิงเรียกอาวุธจิตวิญญาณจำพวกเกราะป้องกันนานาชนิดออกมาแล้วตั้งสมาธิระแวดระวัง ไม่มีผู้ใดกล้าเลินเล่อแม้แต่น้อย
ระหว่างที่สนทนากันวงแหวนปราณหยินที่ขังทุกคนอยู่ก็หดจนเหลือขนาดสองสามร้อยจั้งแล้ว อากาศรอบตัวพวกเขาเต็มไปด้วยปราณหยินหนาทึบที่หนาวเสียดแทงกระดูก แม้อยู่ห่างกันไม่ถึงสิบจั้งก็ไม่อาจมองเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายชัด
ในเวลานี้เองเสียงสุนัขเห่าก็ดังมาจากด้านข้าง
แสงสีน้ำตาลสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาจากหมอกหนาทึบราวกับสายฟ้าแลบ พวกมันคือสุนัขผีเจ็ดถึงแปดตัว ดวงตาของพวกมันทอแสงสีแดงแล้วกระโจนเข้าใส่บุรุษผู้สะพายคันศรกับผู้เฒ่าหลังค่อมที่อยู่ใกล้ที่สุด
บุรุษผู้สะพายคันศรเห็นเช่นนี้ก็เบี่ยงร่างกายเล็กน้อยกลางอากาศ หลบพ้นสุนัขผีสองตัวที่กระโจนมาขย้ำ มือข้างที่วางอยู่บนคันศรชักคันศรยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังมาไว้ในมือ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งดึงอากาศ ลูกบอลเพลิงสีแดงฉานสามลูกก่อตัวขึ้นบนปลายนิ้วแล้วกลายเป็นลูกศรแสงสีแดงดอกแล้วดอกเล่า
ทันทีที่เขาปล่อยมือข้างหนึ่งของเขาเบาๆ แสงสีแดงสามเส้นก็พุ่งเร็วรี่เข้าใส่สุนัขผีสามตัวที่อยู่ด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ผู้เฒ่าหลังค่อมเองก็ดวงตาทอประกายเย็นเยียบ สองมือกุมตรีศูลเหล็กสีเงินเล่มหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในมือไว้เบาๆ เขาสะบัดทีหนึ่งก็เกิดเสียงอสนีบาต แสงอสนีบาตสีเงินสองสายพุ่งออกจากหัวของตรีศูล ฟันเข้าใส่แผ่นหลังของสุนัขผีสองตัวทันที
ผลลัพธ์กลับกลายเป็นภาพที่ทำให้ตกตะลึง!
หลังจากสุนัขผีเหล่านี้ถูกลูกศรแสงกับแสงอสนีบาตโจมตี พวกมันกลับดูดลูกศรอัคคีกับอสนีบาตเข้าไปในตัวแล้วทะยานมาด้านหน้าจนพุ่งมาถึงข้างตัวทั้งสองคน “เปรี้ยง” ทันใดนั้นสุนัขผีเหล่านี้ก็ระเบิดตัวเองกลายเป็นเพลิงภูตสีน้ำตาลดวงแล้วดวงเล่า
สุนัขผีเหล่านี้ไม่มีร่างจริง แต่ถูกสร้างขึ้นมาจากวิญญาณ
คลื่นหนาวเย็นขนาดยักษ์โถมเข้าใส่ใบหน้า จุดที่หมอกสีเทาพัดผ่าน อากาศบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง
ทั้งสองคนไม่ทันป้องกัน เกราะป้องกันถูกสะเก็ดไฟหยินสีเทาจำนวนหนึ่งตกใส่จนเกิดเสียงดังชี่แล้วเริ่มสั่นไหว
หลังจากนั้นสุนัขผีจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากไอหมอกสีเทารอบด้านอย่างต่อเนื่อง
หญิงสาวชุดแดงกับคุณชายเยาว์วัยหวาดผวา คนหนึ่งเรียกผ้าเช็ดหน้าสีแดงผืนหนึ่งออกมา ส่วนอีกคนเรียกพัดพับมาไว้ในมือ แสงจิตวิญญาณส่องสว่างวูบวาบขณะที่พวกเขาพุ่งเข้าไป
แต่มีสองคนแรกเป็นตัวอย่างก่อนหน้าแล้ว ทุกคนจึงใช้การโจมตีระยะไกล พยายามขัดขวางไม่ให้สุนัขผีเหล่านี้เข้าใกล้
เวลานี้รอบตัวหลิ่วหมิงมีปราณสีดำพลุ่งพล่าน เมื่อเขาเห็นภาพตรงหน้า ร่างกายก็พร่าเลือนวูบหนึ่งถอยไปข้างหลังหลายก้าว ขณะที่คิดจะปล่อยกระบี่บินออกไปสังหารผีเหล่านี้ ทันใดนั้นหัวไหล่ก็ร้อนวูบ แสงสีน้ำเงินสว่างจ้าออกมาจากใต้เสื้อ เงาวัวสีน้ำเงินตัวหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนนั่นเอง!
เงาเชอฮ่วนที่ถูกปล่อยออกมาแหงนหน้าคำรามอย่างไร้เสียง หลังจากปรากฏตัวจนเห็นชัดก็อ้าปากกว้าง
“ฟู่” พายุหมุนสีน้ำเงินลูกหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าล้อมสุนัขผีสองตัวที่พุ่งเข้ามา แล้วส่งลงท้อง
“เอื๊อก”
หลังจากสุนัขผีถูกเชอฮ่วนกลืนลงไป มันก็ระเบิดตัวเองกลายเป็นเปลวเพลิงสีน้ำตาลดวงหนึ่ง เคลื่อนวนอยู่ในท้องเชอฮ่วนไม่หยุด แต่ไม่อาจฝ่าออกไปได้
เพียงสองสามลมหายใจให้หลัง เพลิงปราณสีน้ำตาลก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เงาเชอฮ่วนแหงนหน้ากู่ร้องราวกับว่ากำลังยินดีอย่างยิ่ง
“เอ๋”
หลิ่วหมิงย่อมตาโตอ้าปากค้างกับภาพนี้
ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนปรากฏตัวออกมาเองแล้วกลืนกินภูตผีเหล่านี้ นี่เหนือความคาดหมายของเขาเกินไปแล้วจริงๆ
แต่เขากับภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนจิตใจเชื่อมถึงกัน เขาย่อมสัมผัสถึงความกระหายอยากที่ส่งออกมาจากเงาได้
“ภาพสัญลักษณ์นี้ของสหายหลิ่วเหมือนจะกลืนกินภูตผีจำพวกวิญญาณได้!” ผู้เฒ่าหลังค่อมเห็นเช่นนี้ก็ดีใจรีบเอ่ยออกมา
“ข้าจะลองดูอีกครั้ง!”
หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่แน่ใจนัก จากนั้นทำท่าเคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่ง!
“ฟู่” เงาเชอฮ่วนอ้าปากกว้างอีกครั้งแล้วพ่นพายุหมุนสีน้ำเงินอีกลูกหนึ่งออกมากวาดสุนัขผีหลายตัวที่อยู่ใกล้ๆ เข้าไปในปาก ไอหมอกสีเทาสายแล้วสายเล่าบริเวณใกล้ๆ ก็ถูกสูบลงไปในท้องไม่ขาดสายเช่นกัน
ทุกคนเห็นเช่นนี้ ขณะที่ต้านสุนัขผีที่พุ่งเข้ามาจึงเผยสีหน้ายินดีอย่างยิ่งไปด้วย
ในตอนนี้เองหลิ่วหมิงกลับทำหน้าเคร่งขรึม ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งหายไปจากที่เดิมอย่างเงียบเชียบ
หลังจากนั้นเสียงแหวกอากาศดังฟึบก็ดังตามมาติดๆ จากรอบด้าน แสงดาบสีดำหลายเล่มพุ่งทะลุออกมาจากหมอกสีเทาหนาทึบแล้วฟันรุนแรงเข้าใส่จุดเดิมที่หลิ่วหมิงอยู่ แน่นอนว่าพวกมันล้วนพลาดเป้า
“ผีเหล่านี้เริ่มโจมตีด้วยแล้ว ทุกคนระวัง!” คลื่นสั่นสะเทือนก่อตัวขึ้นตรงท้องฟ้าอีกด้านหนึ่ง หลิ่วหมิงปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบแล้วเอ่ยบอกเสียงเบากับพวกหญิงสาวชุดแดงอย่างเร็วไว
“อ้าก”
เพิ่งเอ่ยจบ เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น ฟังจากเสียงน่าจะเป็นบุรุษผู้สะพายคันศรคนนั้น
หลิ่วหมิงในใจผวา เมื่อเพ่งมองไปก็เห็นตรงที่บุรุษร่างใหญ่เคยอยู่ เหลือเพียงหมอกสีเทาที่ปั่นป่วนอย่างรุนแรงแถบหนึ่ง ไหนเลยยังมีเงาคนอันใดอยู่
“แย่แล้ว สหายเซียวลำบากแล้ว!” เสียงของหญิงสาวชุดแดงดังขึ้น
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองอีกครั้ง ตรงจุดที่สามคนที่เหลืออยู่ ตอนนี้เห็นเพียงเงาพร่ามัวเลือนรางเท่านั้น
“คิดไม่ถึงว่าผีร้ายเหล่านี้จะรู้จักกลยุทธ์โจมตีนานาชนิดด้วย ทุกท่านรีบไปอยู่ใกล้กันไว้ อย่าให้ศัตรูกระหนาบหน้าหลัง!” หลิ่วหมิงเอ่ยเสียงเย็นชา
เวลานี้หมอกสีเทาที่ลอยล่องอยู่ในอากาศหนาทึบจนถึงระดับหนึ่งแล้ว จิตสัมผัสถูกจำกัดอย่างยิ่ง หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าคงจะจัดการไม่ได้
สิ้นเสียง เขาก็ยกมือใช้เคล็ดวิชา เชอฮ่วนที่อยู่ด้านหน้าอ้าปากกว้าง พายุหมุนสีน้ำเงินหลายลูกพัดออกมาทั่วทุกสารทิศกวาดปราณหยินของสุนัขผีรอบตัวไปจนสิ้น สร้างพื้นที่ขนาดสามสี่จั้งออกมา
สามคนที่เหลือฟังจบก็ต่างใช้วิชาลับ ยันต์และอาวุธจิตวิญญาณออกมาเต็มกำลัง พยายามเหาะเข้าไปหาหลิ่วหมิง
ชั่วขณะหนึ่งเสียงกรีดอากาศดังขึ้นไม่ขาดหู แสงดาบสีดำขยับวูบวาบไม่หยุดท่ามกลางหมอกสีเทาหนาทึบ มีเงาขยับไหวของสุนัขผีสีน้ำตาลแทรกมาเป็นระยะ
ระหว่างที่หลิ่วหมิงใช้วิชาลับภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนรับมือ ผู้เฒ่าหลังค่อม คุณชายเยาว์วัยและหญิงสาวชุดแดงก็ทยอยเข้ามาในพื้นที่สามสี่จั้งที่เขากันไว้ได้สำเร็จ มีเพียงบุรุษผู้สะพายคันศรที่ไม่ปรากฏตัวขึ้นอีก
จากนั้นทั้งสี่คนจึงหันหลังชนกันร่วมมือกันป้องกัน ขณะที่พายุหมุนสีน้ำเงินของเชอฮ่วนหอบพัด ชั่วขณะหนึ่งผีร้ายและสุนัขผีที่ซุ่มซ่อนอยู่ในหมอกสีเทารอบด้านล้วนไม่อาจเข้าใกล้ได้
“เป็นเช่นนี้ต่อไประยะยาวคงไม่ดี” ผู้เฒ่าหลังค่อมกระตุ้นตรีศูลในมือส่งอสนีบาตสีเงินหลายเส้นออกไปอีกครั้ง หลังจากโจมตีทหารผีตนหนึ่งให้ถอยออกไปเขาก็เอ่ยเสียงเคร่งขรึม
“ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยปราณหยินเช่นนี้พลังเวทของพวกเราจะเสียไปเร็วยิ่งนัก แต่อีกฝ่ายกลับเป็นปลาได้น้ำ ฝั่งเราลดฝั่งนั้นเพิ่ม เกรงว่าพวกเราจะหมดแรงตายอยู่ที่นี่จริงๆ” หญิงสาวชุดแดงที่รับผิดชอบป้องกันอีกทิศหนึ่งเอ่ยพร้อมกับที่หอบหายใจ
“ไม่รู้ว่าหัวหน้าหมิ่นหาดวงตาค่ายกลพบหรือไม่…” คุณชายเยาว์วัยเวลานี้สภาพค่อนข้างยับเยิน พัดพับในมือโบกพัดดาบสายลมขนาดเท่าบานประตูเล่มแล้วเล่มเล่าออกมาแล้วเอ่ยอย่างร้อนรนเล็กน้อย
หลิ่วหมิงฟังแล้วกลับไม่เอ่ยวาจา สองแขนสะบัด มังกรหมอกสีดำสองตัวพุ่งออกไป กวาดทหารผีหน้าตาดุร้ายสามตนใกล้ๆ จนเรียบ
เขาอาศัยจิตสัมผัสของตนผสานกับวิชาอนธการค้นวิญญาณจึงเห็นว่ารอบตัวพวกเขาถูกผีรองแม่ทัพกับสุนัขผีและทหารผีล้อมไว้หลายชั้นจนกระทั่งน้ำก็ไม่อาจลอดผ่านได้ ยามนี้คิดฝ่าออกไปคงต้องเปลืองแรงมากเป็นแน่แท้
แต่หลิ่วหมิงกลับไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ด้วยพลังของเขา หากปล่อยฝีมือเต็มที่ ทหารผีเหล่านี้ย่อมไม่อาจขวางเขาเอาไว้จริงๆ ได้
ระหว่างที่พวกหญิงสาวกำลังพยายามต้านอยู่นั้น เสียง “บึ๊ม” ดังสนั่นมาจากอีกฝั่งหนึ่ง ค่ายกลผีทั้งหมดสั่นสะเทือนเพราะมัน
ทุกคนมองตามเสียงไปก็เห็นไอหมอกสีเทาหนาทึบที่อยู่ไม่ไกลปั่นป่วน จากนั้นไม่รู้ว่ามันถูกอะไรฉีกจนกลายเป็นช่องขนาดไม่ถึงหนึ่งจั้งช่องหนึ่ง
มองผ่านช่องโหว่ไปเห็นท้องนภาสีเทาขมุกขมัวอยู่ไกลๆ
“หัวหน้าหมิ่นก่อกวนดวงตาค่ายกลได้แล้ว!” ผู้เฒ่าหลังค่อมเห็นเช่นนี้ก็รีบใช้ท้องพูดออกมา
รอบช่องโหว่เห็นเงาผีขยับซ้อนกันอยู่เลือนราง ทหารผีหลายตนพบว่าสถานการณ์ท่าจะไม่ดีจึงทยอยรวมตัวกันเข้ามา แต่ละตนพ่นหมอกสีเทาก้อนแล้วก้อนเล่าขวางช่องโหว่คิดจะฟื้นสภาพของมัน
“อย่าพลาดโอกาส ไป!”
หลิ่วหมิงเอ่ยออกมาอย่างเร็วไว พร้อมกันนั้นมือข้างหนึ่งก็ทำท่าเคล็ดวิชา
เงาวัวสีน้ำเงินที่อยู่ด้านบนอ้าปากมหึมาอีกครั้ง แสงเรืองรองสีน้ำเงินรูปครึ่งวงกลมขนาดหลายจั้งที่มาพร้อมกับคลื่นเสียงรุนแรงสาดเข้าใส่ช่องโหว่ของค่ายกลผี ทหารผีรอบด้านและสุนัขผีทั้งหมดถูกบีบให้หลบหายเข้าไปในหมอกสีเทารอบด้าน
คุณชายเยาว์วัยก็ลงมือพร้อมกัน พัดพับในมือเขาหมุนวนสบายๆ ครั้งหนึ่ง ยันต์สีเขียวอ่อนตัวหนึ่งก็ทอแสงออกมาแล้วหายไปไร้ร่องรอยระหว่างทาง อึดใจต่อมามันก็กลายเป็นขนาดกำปั้น ประทับลงตรงช่องโหว่
ยันต์สีเขียวส่องสว่างวูบวาบ ทำให้ช่องโหว่ไม่อาจหดเล็กลงได้ชั่วขณะ
เวลานี้หญิงสาวชุดแดงกับผู้เฒ่าหลังค่อมไม่มีเวลาสนใจแสงดาบสีดำที่โถมบ้าคลั่งเข้ามากับสุนัขผีที่กระโจนมาขย้ำจากทั่วทุกสารทิศอีกแล้ว หลังจากร่วมมือกันเรียกเกราะป้องกันชั้นหนึ่งออกมา คนหนึ่งก็สะบัดเสื้อพลิ้วไหวจนเกิดเป็นแสงเรืองรองสีแดงฉานชั้นแล้วชั้นเล่า ส่วนอีกคนหนึ่งก็ยกพลองเหล็กในมือปล่อยอสรพิษสีเงินหนาเท่าแขนตัวหนึ่งออกมา
แสงเรืองรองหลากสีถาโถมออกมากลางอากาศอย่างบ้าคลั่ง ก่อกวนหมอกสีเทาด้านหน้าช่องโหว่จนปั่นป่วน
ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันโจมตี ไอหมอกสีเทาที่เดิมทีคิดจะถมช่องโหว่ถูกเป่ากระจายในพริบตาดุจกระดาษ ช่องโหว่ที่เดิมทีขนาดไม่ถึงหนึ่งจั้งกว่า อึดใจเดียวถูกขยายจนมีขนาดสองถึงสามจั้ง
“ไป”
ร่างกายของหลิ่วหมิงขยับวูบเดียวกลายเป็นเงาสีดำเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่เข้าไป
หญิงสาวชุดแดง ผู้เฒ่าหลังค่อมรวมถึงคุณชายเยาว์วัยก็ไม่ยอมถูกทิ้งไว้ข้างหลังพากันเรียกลำแสงตามหลิ่วหมิงไปติดๆ