ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1018 ภารกิจลอบเข้าฐาน
หลังจากทารกเฮ่าเยวี่ยกับบุรุษวัยกลางคนแซ่กู่สบตากันก็ยิ้มน้อยๆ
“ภารกิจหลายวันก่อนลำบากศิษย์หลานหลิ่วแล้ว แต่ตอนนี้มีภารกิจเร่งด่วนอีกงานหนึ่ง ต้องให้ศิษย์หลานหลิ่วลำบากอีกหน”
“เช่นนี้เอง!”
หลิ่วหมิงฟังแล้ว ในใจก็ลอบครุ่นคิด แต่ภายนอกกลับเอ่ยถามโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ไม่ทราบเป็นภารกิจใด?”
“เรื่องเป็นเช่นนี้ ไม่นานหลังจากนี้พวกเราสี่ยอดนิกายใหญ่จะร่วมมือกันเล่นงานกองทัพผีร้ายครั้งใหญ่ ส่วนรายละเอียด ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ แต่เพื่อการโจมตีครั้งนี้ จะต้องมีคนลอบเข้าป้อมปราการภูเขายักษ์ของกองทัพผีร้าย ร่วมมือกับสายลับคนหนึ่งที่กองทัพเราส่งเข้าไปในกองทัพผีร้ายก่อนหน้านี้ นำข่าวสำคัญยิ่งยวดข่าวหนึ่งมาจากที่นั่น ข้ากับผู้อาวุโสเฮ่าเยวี่ยปรึกษากันแล้วรู้สึกว่าศิษย์หลานหลิ่วเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดของกองทัพในตอนนี้” บุรุษวัยกลางคนแซ่กู่กล่าว
หลิ่วหมิงได้ฟังย่อมตกตะลึง
เขามาที่เมืองจินกวังได้ช่วงเวลาหนึ่งแล้วจึงคุ้นเคยกับสถานการณ์ของที่นี่คร่าวๆ
ป้อมปราการภูเขายักษ์ของกองทัพผีร้ายเป็นป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพผีร้ายเท่าที่รู้ตอนนี้ ผีร้ายที่เฝ้าอยู่อย่างน้อยก็มีหลายหมื่นตน ในหมู่ผีเหล่านั้นมีผีแม่ทัพร้ายระดับแก่นแท้อย่างน้อยนับร้อย กระทั่งผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์ก็มีอยู่หลายตน ถึงขั้นมีข่าวบอกว่าภูตอนธการระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ในตำนานก็บัญชาการอยู่ที่นี่ด้วย
จะลักลอบเข้าไปในป้อมปราการแห่งนี้ อันตรายคนละระดับกับภารกิจตามหาบาตรแห่งการสร้างที่เพิ่งทำเสร็จไปอย่างสิ้นเชิง แม้เขาจะมั่นใจในพลังของตนอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่กล้ารับภารกิจที่มีโอกาสตายเก้าในสิบเช่นนี้ง่ายๆ
“ผู้อาวุโสทั้งสอง ในเมื่อเป็นภารกิจสำคัญเช่นนี้ เหตุใดจึงเลือกข้าที่เป็นหน้าใหม่ระดับแก่นเสมือนคนนี้? ศิษย์พี่ระดับแก่นแท้ในเมืองก็ไม่ได้มีแค่คนเดียว” หลิ่วหมิงเงียบงันไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้เอ่ยปากปฏิเสธทันทีแต่ย้อนถามกลับ
“ฮ่าๆ การลักลอบเข้าไปในป้อมปราการภูเขายักษ์ ไม่ใช่ว่าพลังยิ่งสูงจะยิ่งดี แต่พลังยิ่งสูงจะยิ่งถูกศัตรูสังเกตเห็นง่ายมากกว่า ขอแค่พลังระดับแก่นแท้ขึ้นไปก็ยากยิ่งนักที่จะไม่ดึงความสนใจของกองทัพผีร้าย ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเลือกคนที่พลังค่อนข้างต่ำแต่ความสามารถโดดเด่นสักคน แม้ศิษย์หลานหลิ่วจะพลังระดับแก่นเสมือนเท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งของพลังเป็นที่ประจักษ์ ดังนั้นพวกเราจึงรู้สึกว่าเจ้าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด” ใบหน้าเรียบนิ่งของชายวัยกลางคนเผยรอยยิ้มแข็งทื่อออกมาเล็กน้อยแล้วอธิบายกับหลิ่วหมิงช้าๆ
หลิ่วหมิงฟังแล้วกลับคิ้วขมวดแน่น แต่ไม่ได้พูดอะไรในทันที
“ศิษย์หลานหลิ่วไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินไป ความอันตรายของภารกิจครั้งนี้ ในใจพวกเราย่อมรู้ดีและก็ใคร่ครวญมาอย่างดีแล้ว พวกเราไม่มีทางปล่อยให้เจ้าไปทั้งแบบนี้แน่ พวกเราตั้งใจเตรียมของไว้ให้เจ้าสองสิ่ง นี่คือผ้าคลุมพันเปลี่ยน เป็นอาวุธสำหรับใช้กลายร่างซึ่งข้าพบในถ้ำที่พักของผู้ฝึกฝนโบราณคนหนึ่งสมัยยังหนุ่ม เมื่อสวมลงบนร่างจะเปลี่ยนหน้าตาได้ตามใจนึก แม้เป็นผู้ฝึกฝนที่พลังสูงกว่าเจ้าขั้นหนึ่งก็ไม่อาจมองทะลุได้ ของสิ่งนี้มอบให้ศิษย์หลาน เจ้าสวมไว้บนร่างจะแปลงเป็นผีร้ายปะปนเข้าไปในกองทัพผีร้ายได้ ขอเพียงไม่ได้เผชิญหน้ากับผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์ตรงๆ ก็น่าจะไม่มีปัญหาอันใด” ทารกเฮ่าเยวี่ยพลิกมือ ผ้าคลุมสีดำสนิทที่ทอแสงเรืองๆ ระยิบระยับผืนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา
“แล้วก็มีวิชาลับที่ควบคุมพลังเวทให้เปลี่ยนสภาพได้อีกชนิดหนึ่ง ทำให้พลังเวททั้งร่างกลายเป็นพลังวิญญาณได้ชั่วคราว เมื่อใช้ร่วมกับผ้าคลุมพันเปลี่ยนของผู้อาวุโสเฮ่าเยวี่ยจะยิ่งเสริมส่งกัน เมื่อรวมกับที่ศิษย์หลานหลิ่วมาจากเขาลั่วโยว วิชาที่ฝึกฝนเป็นสายวิญญาณ ถ้าเช่นนั้นยิ่งไม่มีปัญหาแต่อย่างใด” ชายวัยกลางคนแซ่กู่เอ่ยพลางโบกมือเรียกคัมภีร์หยกสีเทาขมุกขมัวเล่มหนึ่งออกมาโยนให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรับคัมภีร์หยกจากบุรุษวัยกลางคนแซ่กู่จากนั้นแนบบนหน้าผาก เขาหลับตาทั้งสองข้างแผ่จิตสัมผัสออกไปอ่านอย่างละเอียด
ทารกเฮ่าเยวี่ยกับบุรุษวัยกลางคนแซ่กู่เห็นเช่นนี้ก็ไม่รีบร้อน พวกเขาเพียงมองหลิ่วหมิงแล้วรอคอยอย่างนิ่งสงบ
เวลาเคลื่อนคล้อย คิ้วของหลิ่วหมิงก็ขยับ
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ ในที่สุดเขาก็ยกคัมภีร์หยกลงจากหน้าผาก แล้วยื่นมือรับผ้าคลุมสีดำสนิทจากมือทารกเฮ่าเยวี่ยไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง สองตาหรี่มองพิจารณาอย่างละเอียด
ผ้าคลุมสัมผัสลื่นมือ บนผิวทอแสงสีดำหม่นคล้ายสายน้ำไหลเคลื่อนไม่หยุด จิตสัมผัสไม่อาจทะลุผ่านไปได้แม้แต่น้อย เห็นชัดว่าเป็นสมบัติประหลาดที่หาได้ไม่มากชิ้นหนึ่ง
“ฮ่าๆ ขอเพียงศิษย์หลานหลิ่วนำข่าวกลับมาได้อย่างราบรื่น นิกายสัญญาว่าจะมอบรางวัลเป็นแต้มคุณูปการให้ล้านแต้ม แน่นอนจะแลกเป็นของมูลค่าเท่ากันอย่างอื่นที่เจ้าต้องการก็ได้” บุรุษวัยกลางคนแซ่กู่เห็นเช่นนี้ก็เอ่ยปากเสริมอย่างมีความนัย
หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากครุ่นคิดในใจเร็วไว ในที่สุดก็ประสานมือตอบ
“ในเมื่อผู้อาวุโสทั้งสองรู้สึกว่าศิษย์จะทำงานนี้ให้สำเร็จได้ ศิษย์ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์ย่อมไม่มีทางปฏิเสธ ภารกิจนี้ศิษย์น้อมรับ”
“ดี ข้ารู้อยู่แล้วว่าศิษย์หลานหลิ่วเป็นผู้เห็นแก่ส่วนรวม! ใช่แล้ว ในคัมภีร์หยกเล่มนี้ยังบันทึกวันเวลาและสถานที่ซึ่งนัดพบกับสายลับในป้อมปราการภูเขายักษ์ไว้ด้วย เรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก ทุกสิ่งฝากไว้กับศิษย์หลานหลิ่วแล้ว” ทารกเฮ่าเยวี่ยกำชับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ศิษย์เข้าใจ” หลิ่วหมิงค้อมกายตอบ
พวกทารกเฮ่าเยวี่ยสองคนก็บอกเรื่องที่ต้องระวังในภารกิจจำพวกนี้กับเขาอีกเล็กน้อย จากนั้นหลิ่วหมิงจึงขอตัวออกจากหอสูงไป
เขาไม่ได้รั้งอยู่ในเมืองแต่กลับไปนั่งสมาธิในห้องลับของถ้ำที่พักทันที เขายกคัมภีร์หยกสีเทาแนบกับหน้าผาก แล้วแทรกจิตสัมผัสสายหนึ่งเข้าไปศึกษาอย่างละเอียดอีกครั้ง
เนื้อหาในคัมภีร์หยกมีไม่มาก หลักๆ คือวิชาลับเปลี่ยนพลังเวทวิชานั้น เนื้อหาชัดเจน อีกทั้งมันยังเกี่ยวเนื่องกับวิชาสายวิญญาณอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นใช้เวลาเพียงสองชั่วยาม เขาก็เข้าใจได้เจ็ดแปดส่วนอย่างรวดเร็วยิ่ง
ส่วนท้ายของคัมภีร์หยกเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งจะพบสายลับในป้อมปราการภูเขายักษ์
เวลานัดคือเจ็ดวันให้หลัง จากเมืองจินกวังไปถึงป้อมปราการภูเขายักษ์ หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันต้องใช้เวลาห้าวันจึงจะไปถึง เวลามีเหลือเฟือ
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หลิ่วหมิงก็ไม่ได้ชักช้า หลังจากเข้าใจวิชาลับแปรเปลี่ยนพลังเวทวิชานั้นอย่างถ่องแท้ เขาก็เสียเวลาหนึ่งวันผูกพันธะกับผ้าคลุมพันเปลี่ยนแล้วออกจากเมืองจินกวังไปอย่างเงียบเชียบ มุ่งหน้าไปยังป้อมปราการภูเขายักษ์
หนึ่งชั่วยามให้หลัง หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิโต้ลมอยู่บนเมฆสีดำก้อนหนึ่ง เหาะอย่างรวดเร็วออกห่างจากเมืองจินกวัง
ในมือเขาถือแผนที่หยกชิ้นหนึ่ง เป็นแผนที่อย่างละเอียดที่ได้เป็นรางวัลจากภารกิจก่อนหน้า ตำแหน่งที่ตั้งของป้อมปราการภูเขายักษ์ของกองทัพผีร้ายย่อมถูกทำเครื่องหมายไว้บนนั้นอย่างชัดเจน นอกเหนือจากนั้นยังมีสถานที่อันตรายที่ต้องเดินทางผ่านอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงสภาพของเผ่าภูตผีพื้นถิ่นเป็นต้น
หลิ่วหมิงจดจำข้อมูลเหล่านี้ไว้ในสมองจนหมดแล้วจึงเก็บแผนที่ไป หลังจากนั้นจึงเรียกผ้าคลุมพันเปลี่ยนผืนนั้นออกมาจากในแหวนย่อส่วนแล้วห่มไว้บนร่าง
เขาท่องมนตร์แผ่วเบา ทันใดนั้นผ้าคลุมก็มีปราณสีดำระลอกแล้วระลอกเล่าแผ่ออกมา ตัวเขาค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นอย่างเชื่องช้า เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นทหารผีหน้าตาดุร้ายที่สวมชุดเกราะสำริดสูงถึงหนึ่งจั้งกว่าตนหนึ่ง ตรงหน้าอกของชุดเกราะปักสัญลักษณ์กระดูกสีดำไว้ภาพหนึ่ง รอบภาพมีจุดสีดำขนาดเล็กรายล้อมทั้งหมดเก้าดวง
หากเป็นผู้ฝึกฝนในกองทัพที่ได้พบกองทัพผีร้ายเป็นประจำ เมื่อเห็นเข้าคงมองออกทันทีว่านี่คือสัญลักษณ์ของผีรองแม่ทัพขั้นเก้าตนหนึ่ง
ผีรองแม่ทัพขั้นเก้าเทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ระดับผลึกขั้นปลาย ใกล้เคียงกับระดับพลังของหลิ่วหมิงในวันนี้
หลังจากทำทุกสิ่งเสร็จสิ้น เขาก็ยืนบนเมฆดำสำรวจร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าผีสีน้ำเงินเข้มเผยสีหน้าตกตะลึงระคนยินดีออกมา
ร่างที่เขาจำแลงขึ้นมานี้เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม มันเหมือนกับผีรองแม่ทัพตัวจริงทุกประการ กระทั่งพลังจิตสัมผัสของเขาในเวลานี้ หากไม่สังเกตก็มองช่องโหว่ไม่ออกสักนิด
“เป็นสมบัติประหลาดที่หายากชิ้นหนึ่งจริงๆ …”
หลิ่วหมิงพึมพำเสียงเบาหลายประโยค เขามองพลังเวทสีดำของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่แผ่ออกมารอบร่างครั้งหนึ่ง แล้วโคจรพลังเวทเงียบๆ ใช้วิชาลับเปลี่ยนพลังเวททันที
ความจริงแล้วปราณวิญญาณในร่างผีร้ายและภูตผีในที่แห่งนี้คล้ายคลึงยิ่งนักกับปราณแท้และพลังเวทในร่างผู้ฝึกฝนของโลกมนุษย์ที่เกิดจากการดูดซับปราณแห่งฟ้าดิน สิ่งนี้เกิดจากการดูดซับปราณหยินที่มีเต็มเปี่ยมอยู่ในทางปีศาจร้ายผสานกับใช้วิชาที่ฝึกฝน
เสียงท่องมนตร์งึมงำฟังยากดังออกมาจากปากของหลิ่วหมิง ในทะเลจิตวิญญาณมีอักขระสีเทาเข้มไม่น้อยปรากฏขึ้นเลือนราง พวกมันเต้นระริกวนล้อมแก่นเสมือนทวนเข็มนาฬิกา พลังเวทที่ทะลักออกมาจากแก่นเสมือนถูกอักขระชักนำให้หมุนทวนเข็มนาฬิกาหลายรอบก็ค่อยๆ กลายเป็นกระแสปราณอันเย็นเยียบสายแล้วสายเล่าโถมไปตามเส้นปราณทั่วร่าง
ผ่านไปไม่นานนัก ปราณดำที่แผ่อยู่รอบร่างหลิ่วหมิงก็กลายเป็นไอหมอกสีเทาสายแล้วสายเล่า แล้วแผ่กลิ่นอายของภูตผีอันเย็นเยียบออกมาในเวลาเดียวกัน
ปราณวิญญาณเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากบนร่างของเขายามนี้ผนวกกับรูปลักษณ์ของผีรองแม่ทัพ เหมือนผีรองแม่ทัพตัวจริงตนหนึ่งอย่างสิ้นเชิงไม่มีข้อแตกต่างสักอย่าง ไม่ต้องพูดถึงระดับแก่นแท้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ หากไม่ตั้งใจสังเกตก็อาจมองไม่ออกว่าเขาเป็นตัวปลอม
หลิ่วหมิงมองไอหมอกสีเทาที่วนเวียนอยู่บนสองแขนแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาหยุดใช้วิชาลับ ผ่านไปไม่นานนักปราณวิญญาณเย็นเยียบรอบร่างก็กลับกลายเป็นไอหมอกสีดำอีกครั้ง
แต่เขาไม่ได้เก็บร่างแปลงผีรองแม่ทัพไปด้วย เขายังคงรักษาหน้าตานี้เอาไว้แล้วเหาะต่อไปข้างหน้า
เจ็ดวันให้หลังในป่าสีเทาที่พร่าเลือนเป็นเงาผืนหนึ่งนอกป้อมปราการภูเขายักษ์ของกองทัพผีร้าย เงาคนโปร่งใสที่มีไอหมอกสีเทาเข้มชั้นแล้วชั้นเล่าวนเวียนอยู่รอบร่างกำลังมองไปทางป้อมปราการจากไกลๆ
เงาคนผู้นี้ย่อมเป็นหลิ่วหมิงที่เดินทางระหกระเหินมาถึง
ระหว่างทางที่เขามาป้อมปราการภูเขายักษ์แห่งนี้ เขาโชคร้ายยิ่งนักพบพายุลมหนาวขนาดใหญ่ที่ยากจะพบลูกหนึ่ง
พายุลมหนาวก็เหมือนกับฝนกัดกร่อนที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้ เป็นภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ไม่กี่อย่างของทางปีศาจร้าย แต่พลังของฝนกัดกร่อนไม่อาจเทียบกับของสิ่งนี้ได้เลย
มันเป็นสิ่งที่คล้ายกับพายุทรายบนแผ่นดินใหญ่ แต่แฝงกระแสลมหนาวอันน่าหวาดกลัวมาด้วย ฝุ่นทรายเต็มฟ้าผนวกกับอุณหภูมิต่ำอย่างยิ่ง เมื่อมันพัดผ่านที่ใดทุกสิ่งล้วนถูกเยือกแข็ง
เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่มีปราณหยินเข้มข้น จิตสัมผัสกับการรับรู้ทิศทางของมนุษย์จึงได้รับผลกระทบอย่างมาก พลังเวทในร่างจะสับสน เมื่อรวมกับลมหนาวที่กัดกินร่าง ผู้ฝึกฝนที่พลังไม่สูงย่อมถูกขังอยู่ด้านในไม่อาจหนีรอดออกมาได้จนสูญสิ้นพลังเวทตายอยู่ด้านในง่ายดายยิ่งนัก
อาศัยพลังเวทตอนนี้ของหลิ่วหมิง แม้จะเอาตัวรอดจากพายุได้ แต่ก็ยากที่จะหลุดรอดออกมาได้ในเวลาอันสั้น ดังนั้นหลังจากเขาสังเกตเห็นปรากฏการณ์ประหลาดนี้แต่ไกล เขาจึงตัดสินใจอ้อมทางไปไกลทันที
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเสียเวลาไปไม่น้อย แต่ยังดีที่ตอนหลังระหว่างที่รีบเร่งเดินทางไม่พบอุปสรรคอย่างอื่นอีก นับว่าเดินทางมาถึงที่แห่งนี้ได้ก่อนเวลานัดหมาย
ตอนนี้เขาเหลือเวลาอยู่ไม่มากแล้ว เขาจะต้องไปถึงสถานที่นัดพบให้ได้ก่อนฟ้ามืด