ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1019 พบหน้า
ด้านหน้าห่างจากป่าที่หลิ่วหมิงอยู่หลายสิบลี้มียอดเขายักษ์สีดำสูงหลายพันจั้งสองลูกตั้งตระหง่านอยู่บนที่ราบ ป้อมปราการภูเขายักษ์สร้างอยู่ระหว่างกลางยอดเขาสองลูก น่าจะกินพื้นที่หลายร้อยลี้ ใหญ่เกือบจะสิบเท่าของเมืองจินกวัง
สถานที่นัดหมายคือสถานที่เร้นลับแห่งหนึ่งใกล้กับป้อมปราการ ห่างจากตำแหน่งที่อยู่ตอนนี้อีกระยะหนึ่ง
แต่จะผ่านระยะทางช่วงนี้ไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
รอบป้อมปราการภูเขายักษ์มีสิ่งก่อสร้างรูปทรงเหมือนหอสูงขนาดเล็กกระจายอยู่มากมาย ด้านบนมองเห็นทหารผีเดินไปมาอยู่เลือนราง
ใกล้กับป้อมปราการยังมีหน่วยลาดตระเวนเดินผ่านเป็นระยะ การป้องกันแน่นหนายิ่งนัก
สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านหอสูงหลายแห่งใกล้ๆ เดิมทีแผนการที่เขาวางไว้คือจะปะปนไปกับกองทหารผีที่เข้าออกป้อมปราการภูเขายักษ์ แล้วอาศัยโอกาสเข้าใกล้ป้อมปราการภูเขายักษ์ แต่ตอนนี้ดูท่าวิธีการนี้จะใช้ไม่ได้แล้ว
ไม่ทราบเพราะเหตุใด นับตั้งแต่เขารีบเร่งเดินทางมาถึงบริเวณป้อมปราการภูเขายักษ์จนถึงตอนนี้กลับไม่เห็นกองทัพขนาดใหญ่สักกองเข้าออกป้อมปราการเลย
เนื่องจากเสียเวลาไประหว่างทาง ตอนนี้จึงไม่มีเวลาเหลือให้เขารอต่อไปแล้ว เขาต้องเคลื่อนไหวเดี๋ยวนี้
“เซียเอ๋อร์ ดำดินผ่านไปจากใต้ดินไม่ได้จริงหรือ?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็สื่อสารผ่านจิตกับเซียเอ๋อร์
“นายท่าน ขออภัยอย่างยิ่ง ใต้พื้นดินของป้อมปราการภูเขายักษ์มีสนามพลังค่ายกลขนาดใหญ่อยู่อันหนึ่ง ในอาณาบริเวณร้อยลี้พลังเวทธาตุดินสับสนยิ่งนัก แม้ฝืนใช้วิชาดำดินเข้าไป ข้าก็ไม่อาจหาทิศทางได้ จะทำลายเรื่องใหญ่ของนายท่านเสียเปล่า” เซียเอ๋อร์ส่งเสียงเข้ามาในจิตของหลิ่วหมิงอย่างหดหู่เล็กน้อย
หลิ่วหมิงได้ยินพลันขมวดคิ้ว ดูท่ากองทัพผีร้ายที่ป้อมปราการภูเขายักษ์จะคิดวิธีป้องกันผู้ที่จะลักลอบเข้าไปเช่นเขาไว้ก่อนแล้ว
แต่ค่ายกลชั้นจำกัดขนาดใหญ่ที่ส่งผลกับอาณาบริเวณร้อยลี้ได้ อย่างน้อยก็ต้องมีปรมาจารย์ค่ายกลระดับดาราพยากรณ์หลายคนร่วมมือกันจึงจะสร้างขึ้นได้
ระหว่างที่เขากำลังใคร่ครวญอยู่ในใจ เสียงฝีเท้าสับสนก็ดังมาแต่ไกล เมื่อมองไปจึงเห็นทหารลาดตระเวนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามาจากไกลๆ อย่างเชื่องช้า
ดูจากท่าทางแล้ว คงจะเดินผ่านจุดที่หลิ่วหมิงซ่อนตัวอยู่พอดี
หลิ่วหมิงได้ความคิด แสงสีน้ำเงินอ่อนสว่างขึ้นตรงหัวไหล่ขวาครู่หนึ่ง ทั้งร่างก็ผสานเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งด้านข้างหายตัวไปไร้ร่องรอยอย่างรวดเร็ว
หน่วยลาดตระเวนเหาะเข้ามาใกล้เร็วยิ่งนัก พวกมันเป็นทหารผีโครงกระดูกกลุ่มหนึ่ง สองตาเป็นเบ้าลึกโหลมีแสงสีแดงดุจโลหิตทอแสงอยู่ พลังอยู่ราวระดับของเหลวจิตวิญญาณ
“กองทัพผีโครงกระดูก…” เมื่อหลิ่วหมิงที่เร้นกายหลบอยู่เห็นทหารผีที่ลาดตระเวนเหล่านี้ชัด ในสมองก็ผุดชื่อของผีเหล่านี้ออกมา
ความจริงแล้วกองทัพผีร้ายเป็นเพียงชื่อเรียกรวมๆ ของภูตผีเหล่านี้ แต่ภายในกองทัพประกอบไปด้วยภูตผีนานาชนิด ทหารผีโครงกระดูกเป็นเผ่าผีที่พบบ่อยที่สุดในนั้น ทว่าส่วนมากพลังไม่สูง ส่วนใหญ่ถูกจัดเป็นทหารระดับล่าง
ทหารลาดตระเวนกลุ่มนี้เหาะผ่านใกล้หลิ่วหมิงไปอย่างรวดเร็วแล้วหายลับไปไกลโดยที่ไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย
ตอนนี้หลิ่วหมิงตัดสินใจได้แล้ว ไอหมอกสีดำจางๆ สายหนึ่งลอยขึ้นมาจากต้นไม้ใหญ่ที่เขาซ่อนตัวอยู่แล้วมุ่งไปด้านหน้าอย่างเงียบเชียบและรวดเร็วยิ่งนัก
เขาจะใช้เชอฮ่วนเก็บซ่อนกลิ่นอายแล้วเสี่ยงแฝงตัวไปกับปราณหยินเข้มข้นที่อัดแน่นอยู่ในอากาศทั่วทั้งบริเวณนี้เพื่อหลบเลี่ยงหน่วยลาดตระเวนเหล่านี้
เมื่อลอยไปด้านหน้าได้หนึ่งลี้กว่า ไม่ไกลก็เป็นหอสูงหลังหนึ่ง
หลิ่วหมิงลดความเร็วที่เคลื่อนไปข้างหน้าทันทีแล้วอ้อมหอสูงจากไกลๆ จากนั้นจึงลอยไปด้านหน้าต่อ ทุกหนแห่งในป่าล้วนมีไอหมอกเบาบางล่องลอยอยู่ เมื่อหมอกสีดำซึ่งเป็นร่างแปลงของเขาซ่อนอยู่ด้านในจึงไม่สะดุดตาสักนิด
ผู้ฝึกฝนผีร้ายใบหน้าสีน้ำเงินที่รับผิดชอบสังเกตการณ์บนหอสูงตนหนึ่งทอดสายตามองป่าเบื้องล่าง ทันใดนั้นในดวงตาก็ฉายแววสงสัย
ไอหมอกเบื้องล่างเหมือนจะลอยละล่องเร็วไปหน่อย…
ดวงตาของผู้ฝึกฝนผีร้ายตนนี้ทอแววสงสัยเล็กน้อย แสงสีดำสว่างวูบบนฝ่ามือ จากนั้นมันก็ยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกไป กระจกสีดำสนิทขนาดหนึ่งจั้งบานหนึ่งบนตัวหอส่องแสงสว่างวูบวาบ คลื่นสั่นสะเทือนล่องหนสายหนึ่งแผ่ออกมาก่อนที่บนกระจกจะฉายภาพรอบด้านอย่างรวดเร็ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ผู้ฝึกฝนผีร้ายอีกตนหนึ่งเห็นความเคลื่อนไหวจึงหันศีรษะมาถามอย่างประหลาดใจ
ในกระจกไม่ปรากฏภาพสิ่งผิดปกติ ทุกสิ่งปกติทุกประการ
“ไม่มีอะไร ดูท่าข้าจะคิดมากไป” ผีร้ายใบหน้าสีน้ำเงินส่ายหน้า แสงสีดำสว่างในมือวูบหนึ่ง แสงบนกระจกสีดำสนิทก็สลายไป
ด้านหลังก้อนหินยักษ์ก้อนหนึ่งในป่าเบื้องล่าง ไอหมอกจางๆ สายหนึ่งลอยขึ้นมา
“โชคดีที่หลบได้เร็ว คิดไม่ถึงว่ากองทัพผีร้ายจะมีสมบัติระดับดาราพยากรณ์ชนิดนี้อยู่ด้วย…” หลิ่วหมิงที่อยู่ในไอหมอกพึมพำกับตนเอง จากนั้นสองมือจึงกระตุ้นเคล็ดวิชา เร่งพลังซ่อนตัวของภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนให้ถึงขีดสุด
หมอกดำที่เป็นร่างแปลงของเขาเลือนรางลงแล้วเคลื่อนต่อไปด้านหน้าโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่น้อย
หลังอ้อมหอสูงสำเร็จ ความเร็วที่เขาเคลื่อนไปข้างหน้าก็เพิ่มขึ้นอยู่บ้าง กองทัพผีร้ายที่ลาดตระเวนอยู่อาศัยเพียงจิตสัมผัสกับดวงตาทั้งสองข้างไม่อาจค้นพบร่องรอยของเขาได้แม้แต่น้อย
ทว่ายิ่งเข้าใกล้ป้อมปราการภูเขายักษ์ พลังของทหารผีที่ลาดตระเวนอยู่ก็ยิ่งสูงกว่ารอบนอกมาก เขาพบหน่วยของผีรองแม่ทัพระดับผลึกหลายหน่วย แต่ก็หลบพ้นไปได้อย่างราบรื่นด้วยความระมัดระวัง
ใกล้กับฐานของยอดเขาสีดำทางตะวันตกเฉียงเหนือของป้อมปราการภูเขายักษ์ มีต้นไม้สีดำสนิทผืนใหญ่งอกอยู่ ต้นไม้ชนิดนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ลำต้นสีดำสนิททั้งต้นแต่บนกิ่งไม้ไม่มีใบไม้สักใบ มีเพียงปลายกิ่งเท่านั้นที่มีใบรูปเปลือกคล้ายเกล็ดปลาใบแล้วใบเล่าปกคลุมอยู่
สิ่งนี้คือต้นย้ายวิญญาณหนึ่งในต้นไม้ที่มีในเฉพาะทางปีศาจร้ายเท่านั้น
เวลานี้ไอหมอกสีเทาเข้มเบาบางแถบหนึ่งลอยละล่องเข้ามาจากนอกป่า หลบเร้นเข้าไปในป่าต้นย้ายวิญญาณอย่างเงียบเชียบ หลิ่วหมิงผู้ลักลอบเข้ามานั่นเอง
ตามที่คัมภีร์หยกของนิกายบอกไว้สถานที่นัดพบก็คือในป่าย้ายวิญญาณผืนนี้ เพื่อมาให้ถึงที่นี่ ระยะทางเพียงยี่สิบสามสิบลี้ เขากลับใช้เวลาไปราวหนึ่งถึงสองชั่วยามเต็มๆ
ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่เท่าไรก็จะถึงเวลานัด สายตาของหลิ่วหมิงกวาดมองรอบด้านหลายหน ทันใดนั้นคิ้วก็เลิกขึ้น ปราณสีดำรอบร่างพลุ่งพล่าน มือข้างหนึ่งแปะยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งลงบนร่าง จากนั้นคนก็จมลงไปใต้พื้นดินอย่างเชื่องช้า
หลิ่วหมิงเพิ่งซ่อนตัวใต้ดินเสร็จ เมฆสีดำกลุ่มหนึ่งก็เหาะเร็วรี่ออกมาจากป้อมปราการที่อยู่ไม่ไกลพาเสียงแหวกอากาศดังสนั่นบินผ่านท้องฟ้าเหนือป่าย้ายวิญญาณไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงหวาดหวั่นวูบหนึ่ง เขาโคจรภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนอย่างบ้าคลั่งพยายามเก็บงำลมปราณทั่วร่างสุดกำลัง ทั้งร่างราวกับหินไร้ชีวิตก้อนหนึ่งนอนนิ่งอยู่ใต้ดิน มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ยังกลอกไปมานิดๆ
ท่ามกลางเมฆดำคือมังกรกระดูกสีขาวขนาดเกือบร้อยจั้งตัวหนึ่ง กลิ่นอายแห่งความตายเข้มข้นสายหนึ่งที่แผ่ออกมาทั่วร่างทำให้หลิ่วหมิงผู้อยู่ใต้ดินรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก ในใจหวาดผวาขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
บนหลังของมังกรกระดูกมีนักรบสวมเกราะหนักสีเงินยวงทั้งร่างยืนอยู่ตนหนึ่ง คลื่นพลังเวทที่แผ่ออกมาทั่วร่างทะลุผ่านระดับแก่นแท้ไปแล้ว
มันคือผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์ตนหนึ่ง!
หลิ่วหมิงไม่กล้ามองมาก เขาเหลือบมองแวบเดียวก็รั้งสายตากลับทันที นักรบมังกรกระดูกผู้นี้คล้ายไม่สังเกตเห็นความผิดปกติอันใดเบื้องล่าง เขาเหาะผ่านเหนือป่าย้ายวิญญาณแล้วหายลับขอบฟ้าไปเร็วยิ่งนัก
หลังอีกฝ่ายจากไป หลิ่วหมิงก็นิ่งอยู่ครึ่งเค่อแล้วถอนหายใจ หลังจากนั้นเขาก็ควบคุมพลังเวทในร่างให้โคจรต่อ ไม่กล้าคลายพลังหลบเร้นของภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนแม้สักนาที อย่างไรที่แห่งนี้ก็ห่างจากป้อมปราการภูเขายักษ์ไม่เท่าไรย่อมประมาทไม่ได้แม้แต่น้อย
ป้อมปราการภูเขายักษ์อยู่ใกล้กับป่าย้ายวิญญาณ ช่วงเวลาหลังจากนั้นกองทหารผีเหาะลาดตระเวนผ่านตรงนี้ไปอีกหลายกลุ่ม แต่ระดับพลังของพวกมันสูงที่สุดก็เป็นแค่รองแม่ทัพระดับผลึกเท่านั้น พวกมันย่อมไม่สังเกตเห็นการมีอยู่ของหลิ่วหมิง
เวลาผ่านไปทีละน้อย ท้องนภาที่เดิมทีสีเทาขมุกขมัวค่อยๆ มืดลงอย่างเชื่องช้า
ทว่าเมื่อค่ำคืนใกล้มาเยือน ท้องนภาเหนือป้อมปราการกลับมีหมู่เมฆมารวมตัวกันกะทันหันจนผืนฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อน ผ่านไปไม่นานฝนกัดกร่อนสีเลือดก็เริ่มโปรยปรายลงมา
“โชคดีเหลือเกิน!” หลิ่วหมิงไม่ตระหนกแต่กลับยินดี ฝนกัดกร่อนรอบนี้ตกได้ถูกเวลาพอดี
น้ำฝนเหม็นคาวซึมลงสู่พื้นดิน หลิ่วหมิงไม่ได้โคจรพลังเวทปกป้องร่างเพราะต้องเก็บซ่อนลมปราณ พลังกัดกร่อนในน้ำฝนจึงซึมเข้ามาในร่างของเขาไม่หยุด
แต่กายเนื้อของหลิ่วหมิงแข็งแกร่งอย่างยิ่งจึงต้านทานไว้ได้อย่างง่ายดาย
แม้หลิ่วหมิงต้านทานการรุกรานของฝนกัดกร่อนได้ในเวลาสั้นๆ แต่ทหารผีที่ลาดตระเวนรอบป้อมปราการภูเขายักษ์จำนวนมากล้วนเป็นทหารผีระดับของเหลวจิตวิญญาณหรือระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น ฝนกัดกร่อนทำร้ายพวกมันได้มากมายยิ่งนัก
ด้านในป้อมปราการภูเขายักษ์มีเสียงแตรสัญญาณประหนึ่งเสียงภูตผีโหยหวนดังขึ้น กองกำลังที่ลาดตระเวนอยู่รอบป้อมปราการแต่ละกลุ่มเหาะกลับไปทันที
ในที่สุดท้องนภาก็มืดสนิท ทว่าฝนกัดกร่อนไม่เพียงไม่หยุดแต่ท่าทางเหมือนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ป้อมปราการภูเขายักษ์ทั้งป้อมถูกสายฝนสีเลือดปกคลุมจนพร่าเลือน
ขณะที่ดวงจันทร์สีเลือดดวงหนึ่งลอยขึ้นฟ้ามาได้ครึ่งหนึ่ง เงาคนเลือนรางร่างหนึ่งก็อาศัยยามราตรีโฉบออกมาจากมุมหนึ่งของป้อมปราการภูเขายักษ์ เขาอาศัยฝนกัดกร่อนที่ตกทั่วฟ้าซ่อนตัวแล้วเหาะเลียดพื้นดินมาอย่างรวดเร็วก่อนจะเข้ามาในป่าย้ายวิญญาณอย่างเงียบเชียบ
เงาดำหยุดใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ลำต้นหนายิ่งนักต้นหนึ่งในป่า เมื่อลำแสงสีดำค่อยๆ ดับลงก็เผยให้เห็นผีที่สูงราวสองถึงสามจั้งตนหนึ่ง
บนร่างของมันสวมชุดเกราะสำริด ใบหน้าสีน้ำเงินเข้ม ผิวหนังแห้งผาก รอบร่างมีปราณสีดำแผ่ออกมารางๆ ตรงส่วนจมูกเหลือเพียงรูดำสองข้าง ดูโหดเหี้ยมน่าหวาดกลัวยิ่งนัก มันเป็นผีแม่ทัพระดับแก่นแท้ตนหนึ่ง
เมื่อมันยืนมั่นคง ดวงตาใหญ่โตราวกับกระดิ่งทองแดงทั้งคู่ก็เปล่งแสงสีแดงแล้วกวาดมองรอบด้านอย่างเหิมเกริม
ในเวลานี้เองลึกเข้าไปในป่าย้ายวิญญาณ ปราณสีดำกลุ่มหนึ่งผุดออกมาจากใต้พื้นดินอย่างเชื่องช้าก่อตัวเป็นเงามนุษย์โปร่งใสร่างหนึ่ง มองดูผีแม่ทัพตนนั้นจากไกลๆ ผ่านเงาต้นไม้ที่ส่ายโอนเอนหลายชั้นกับม่านสายฝนสีแดงอ่อน
ผีแม่ทัพกวาดมองรอบด้านรอบหนึ่ง ในดวงตามีแววตาร้อนรนเล็กน้อย ครู่หนึ่งหลังจากนั้นมันจึงเอ่ยปากท่องมนตร์แผ่วเบาหลายคำ ผิวหนังเริ่มมีปราณสีดำพวยพุ่งออกมา เพียงชั่วครู่ทั้งร่างก็เปลี่ยนจากแม่ทัพผีสูงใหญ่ตนหนึ่งกลายเป็นบุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมที่ใบหน้าซูบตอบคนหนึ่ง
ไม่ทราบเพราะเหตุใดสีหน้าของคนผู้นี้จึงดูไม่ดีนัก สีหน้าหมองคล้ำจนเป็นสีเทาอยู่นิดๆ สองตาลึกโหล เส้นเลือดฝอยกระจายไปทั่วราวกับไม่ได้พักผ่อนมาเนิ่นนาน
ลึกเข้าไปในป่าย้ายวิญญาณ ดวงตาของหลิ่วหมิงฉายแววยินดี ร่างกายก่อตัวเป็นรูปร่างชัดจากนั้นก้าวเดินช้าๆ ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งทันที
ฐานใบหูของบุรุษวัยกลางคนใบหน้าเ