ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1020 หนึ่งร่างสองวิญญาณ
“ท่านคือผู้อาวุโสเซวียหรือ?” หลิ่วหมิงขยับร่างวูบเดียวก็มายืนเบื้องหน้าบุรุษใบหน้าเหลี่ยมห่างไปสองสามจั้ง จากนั้นกวาดจิตสัมผัสผ่านบนร่างของเขา
บุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมผู้นี้เห็นชัดว่าเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นปลายคนหนึ่ง อยู่ห่างจากระดับแก่นแท้ขั้นสมบูรณ์เพียงก้าวเดียวเท่านั้น
ระหว่างที่ในใจเขาตกตะลึงก็อดไม่ได้ประหลาดใจอยู่บ้าง คนผู้นี้ระดับพลังสูงเช่นนี้เหตุใดยังยินยอมเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงแฝงกายอยู่ในกองทัพผีร้ายเช่นนี้ ต้องรู้ว่าหากตัวตนถูกเปิดเผยออกไปจุดจบแทบจะเป็นตายสถานเดียว
นอกจากนี้คนผู้นี้ระดับพลังสูงส่งเช่นนี้อยู่ในกองทัพผีร้ายย่อมไม่ใช่ผีไร้ตัวตนอันใด กลับปิดบังการตรวจสอบของเบื้องบนในกองทัพผีร้ายรวมถึงภูตอนธการมาได้?
“ไม่ผิด ข้าก็คือเซวียหู ท่านคือหลิ่วหมิงศิษย์น้องที่กองทัพส่งมาครั้งนี้หรือ?” บุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมมองสำรวจหลิ่วหมิงจากหัวจรดเท้ารอบหนึ่งแล้วอ้าปากถาม เสียงแหบพร่าเมื่อถูกสายฝนสีเลือดและป่าเวิ้งว้างผืนนี้ขับเน้นยิ่งฟังประหลาดอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงไม่ตอบเพียงพลิกมือเรียกป้ายคำสั่งสีทองแผ่นหนึ่งออกมา แล้วอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งลงไปในนั้น
เพียงครู่เดียวป้ายคำสั่งสีทองก็ปรากฏลวดลายจิตวิญญาณคดเคี้ยวเลือนรางบนผิวแล้วจำลองภาพศีรษะที่ชัดเจนอย่างยิ่งศีรษะหนึ่งออกมา นั่นคือหน้าตาของหลิ่วหมิงนั่นเอง ด้านล่างยังมีอักขระโบราณบูดเบี้ยวอีกแถวหนึ่ง
“ฟึบ” หลิ่วหมิงกระตุ้นป้ายคำสั่งเรียบร้อยก็โยนไปฝั่งตรงข้าม
“ดีมาก ดูแล้วตัวตนของเจ้าไม่มีปัญหา ถ้าเช่นนี้ ข้า…”
บุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมรับป้ายคำสั่งไว้แล้วตรวจสอบอย่างละเอียด เขามองหลิ่วหมิงตรงหน้าอีกหลายหนแล้วจึงพยักหน้า ขณะที่กำลังจะอ้าปากเอ่ยพูด ทันใดนั้นใบหน้าก็บิดเบี้ยวเผยสีหน้าทุกข์ทรมานออกมาเล็กน้อย ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นมาทันใด
หลิ่วหมิงเห็นสภาพเช่นนี้ ในใจพลันหวาดผวา รีบถอยหลังไปสองก้าวทันที พร้อมกันนั้นดวงตาก็ฉายแววระแวดระวังออกมา
บุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมหอบหายใจแผ่วเบาราวสัตว์ป่าอยู่หลายครั้ง หลังจากใบหน้าบิดเบี้ยวอยู่พักหนึ่ง เขาก็พลิกมือข้างหนึ่งเรียกคัมภีร์หยกสีเทาอ่อนชิ้นหนึ่งออกมาแล้วตวัดมือโยนไปให้หลิ่วหมิง
“ข่าวที่เกี่ยวข้อง ข้าบันทึกไว้ในคัมภีร์หยกทั้งหมดแล้ว เจ้าจงรีบ…นำมันไปจากที่นี่” บุรุษหน้าเหลี่ยมเริ่มมีปราณสีดำชั้นหนึ่งแผ่บนใบหน้า บนร่างก็ค่อยๆ แผ่ลมปราณดุร้ายเย็นยะเยือกสายหนึ่งออกมาด้วย คำพูดที่เอ่ยออกมาแทบจะพูดคำหนึ่งหยุดครั้งหนึ่ง
หลิ่วหมิงรับคัมภีร์หยกแล้วแทรกจิตสัมผัสเข้าไปด้านในเล็กน้อย คิ้วเรียวเลิกขึ้นก่อนจะพยักหน้าเก็บคัมภีร์หยกไป แต่เมื่อมองไปทางบุรุษหน้าเหลี่ยมที่ทำสีหน้าทุกข์ทรมาน เขาก็เอ่ยถามอย่างลังเล
“ผู้อาวุโสเซวีย ท่านไม่เป็นอะไรนะ?”
“ข้าไม่เป็นไร รีบไปจากที่นี่เร็ว! เร็ว!” บุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมสีหน้าเหมือนกำลังดิ้นรนราวกับว่าถูกบางอย่างทรมานจนยากจะทานทน ทันใดนั้นเขาก็ร้องคำรามดุดัน
หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย แม้ไม่รู้ว่าร่างกายของคนตรงหน้าผู้นี้เป็นอะไรไป แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยินดีเอ่ยถึง ตัวเขาที่เวลานี้อยู่ในสถานที่อันตรายย่อมไม่ว่างยุ่งเรื่องนี้ เขาประสานมือให้อีกฝ่ายทันที จากนั้นบนร่างพลันเปล่งแสงสีดำ ทั้งร่างถูกหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งหุ้มไว้แล้วเหาะเลียดพื้นมุ่งไปยังทางที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว
เวลานี้ฝนกัดกร่อนเทลงมา พื้นดินปกคลุมไปด้วยไอหมอกสีเลือดจางๆ ชั้นหนึ่งทำให้เขาไม่จำเป็นต้องจงใจเก็บซ่อนร่องรอย หลังจากอ้อมหอสูงหลังหนึ่งด้านหน้าเขาก็เหาะมุ่งไปไกลต่ออย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ออกจากเขตป้อมปราการภูเขายักษ์
หลังออกจากป้อมปราการภูเขายักษ์ หัวใจที่ขมวดเกร็งมาตลอดของเขาก็คลายออกเล็กน้อย ต่อจากนี้เหลือแค่นำคัมภีร์หยกกลับไปยังเมืองจินกวังเท่านั้น เขาก็นับว่าสร้างความชอบครั้งใหญ่ ทำภารกิจสำคัญที่กองทัพมอบหมายให้ครั้งนี้สำเร็จแล้ว ไม่อาจไม่บอกว่ารางวัลแต้มคุณูปการหนึ่งล้านแต้มเพียงพอทำให้เขาตื่นเต้นยินดี
ในตอนนี้เอง หลังร่างพลันมีเสียงหวีดหวิวไล่ตามมาใกล้ๆ ปราณวิญญาณสีดำกลุ่มหนึ่งเหาะเร็วรี่มาจากด้านหลัง ไม่กี่ลมหายใจก็อยู่ห่างด้านหลังเขาไม่ถึงหนึ่งร้อยจั้ง
หลิ่วหมิงเปลี่ยนสีหน้าไปทันใด ร่างกายขยับวูบเดียวร่อนลงไปเบื้องล่าง
ปราณดำที่ไล่ตามมาหักเลี้ยวกะทันหันแล้วไล่ตามลงมา
เมื่อปราณดำร่อนลงบนพื้น แสงรัศมีก็สลายไปเผยให้เห็นร่างของคนด้านใน เขาก็คือบุรุษหน้าเหลี่ยมก่อนหน้านี้นั่นเอง
“ผู้อาวุโสไล่ตามมาตอนนี้ มีเรื่องใดต้องการสั่งข้าอีกหรือไม่?” หลิ่วหมิงเอ่ยถามอย่างงุนงง
บุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมฝั่งตรงข้ามมีไอหมอกสีเทาหนาทึบล้อมอยู่ทั่วร่าง บนใบหน้าเห็นชัดว่าไม่มีสีหน้าทุกข์ทรมานอย่างก่อนหน้านี้แล้ว ทว่าเขากลับไม่เอ่ยปากตอบทันที เอาแต่นิ่งงันมองหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้า
ขณะที่หลิ่วหมิงเตรียมจะเอ่ยปากถามอะไรอีกนั่นเอง เงาสีดำก็ขยับออกมาจากแผ่นหลังของเขา เงาผีร้ายสูงใหญ่ตนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นดุจภูตพราย ห้านิ้วดั่งตะขอตวัดลงมาปานสายฟ้าแลบพาสายลมหวีดแหลม หวังจะตบศีรษะของหลิ่วหมิงให้แหลก
ในเวลาเดียวกัน ร่างของบุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็พลันกลายเป็นปราณวิญญาณสีดำก้อนหนึ่งสลายหายไป เขาเป็นเพียงร่างจำแลงร่างหนึ่งเท่านั้น
ผีร้ายร่างสูงใหญ่ที่ปรากฏตัวกะทันหันตนนี้สูงราวสองถึงสามจั้ง รูปร่างกำยำ มือมีกรงเล็บผีคมกริบ สิ่งที่ประหลาดยิ่งกว่าก็คือบนศีรษะของมันมีใบหน้าสองดวงงอกติดอยู่ด้วยกัน!
ด้านซ้ายเป็นใบหน้าของบุรุษหน้าเหลี่ยม ส่วนด้านขวาเป็นใบหน้าผีดุร้ายสีน้ำเงินที่มีเขี้ยวโง้ง
ใบหน้าของบุรุษหน้าเหลี่ยมเวลานี้สองตาปิดสนิทเหมือนกำลังหลับใหล แต่ใบหน้าผีดุร้ายกลับกำลังถลึงดวงตาสีเลือดใหญ่เท่ากระดิ่งทองแดงสองข้าง ในดวงตาเต็มไปด้วยแววตาบ้าคลั่งกระหายเลือด
ผีร้ายตัวสูงใหญ่หัวเราะชั่วร้ายเสียงแหลมสูง ทว่าครู่ต่อมาเสียงหัวเราะก็ชะงัก เพราะพริบตาที่กรงเล็บคมกริบของมันคว้าร่างของหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้ากลับมา ร่างนั้นกลับสลายกลายเป็นปราณสีดำอย่างเชื่องช้า มันดันเป็นเงาลวงตาร่างหนึ่ง
ทันใดนั้นร่างของหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นห่างออกไปหลายจั้ง เขามองผีร้ายรูปร่างสูงใหญ่อย่างเย็นชา สายตากวาดมองบนใบหน้าที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งสองดวงแล้วขมวดคิ้วเหมือนพะอืดพะอม
“จิ๊ๆ…พลังระดับแก่นเสมือนกระจอกงอกง่อย แต่วิชาท่าร่างกลับเร็วเอาการ…” ผีร้ายรูปร่างสูงใหญ่หันกายกลับมาพร้อมกับเสียงหัวเราะฟังดูชั่วร้าย
“ท่านคือผู้อาวุโสเซวียหูหรือ?” แสงสีม่วงสว่างวาบในมือหลิ่วหมิง กระบี่ขู่หลุนปรากฏขึ้นในมือเขา ขณะที่เอ่ยปากถามอย่างเชื่องช้า พร้อมกันนั้นในใจก็ขบคิดเร็วจี๋ ที่นี่อยู่ห่างจากป้อมปราการไม่ไกลนัก หากประมือกับผีร้ายรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้าที่นี่แล้วไม่อาจสังหารอีกฝ่ายได้ในเวลาอันสั้น เกรงว่าคลื่นพลังเวทอันรุนแรงคงดึงความสนใจจากป้อมปราการมาทันที
“เคี๊ยกๆ ข้าจะเป็นเซวียหูเจ้าคนไร้ค่าไม่เอาไหนคนนั้นได้อย่างไร! แม้เจ้าจะใกล้ตายแล้ว แต่จงจำไว้ว่าผู้ที่ส่งเจ้าสู่ความตายคือข้ากุ่ยหู! ไม่ได้ออกมาข้างนอกนานนัก คิดไม่ถึงออกมาก็พบอาหารชั้นยอด เจ้าหนู มอบเลือดเนื้อของเจ้ามาเสียดีๆ เถอะ…” ผีร้ายรูปร่างสูงใหญ่หัวเราะคลุ้มคลั่งจนใบหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาเปล่งแสงสีแดงเจิดจ้า จากนั้นเสียงหัวเราะก็เงียบหาย ร่างกายขยับวูบเดียวโผออกมาทันที
ทว่าในตอนนี้เองร่างกายของผีร้ายกลับสั่นเทาอย่างรุนแรง มันกุมศีรษะล้มลงไปกับพื้นในทันใด กำปั้นขนาดเท่าบาตรทุบศีรษะสุดแรง ปากร้องคำรามดั่งสัตว์ป่า ท่าทางทรมานอย่างที่สุด
ใบหน้ามนุษย์กับใบหน้าผีสองฝั่งของศีรษะบิดเบี้ยวขมวดเป็นก้อน ประเดี๋ยวใบหน้ามนุษย์ลืมตา ประเดี๋ยวใบหน้าผีลืมตา ในเวลาเดียวกันนั้นร่างกายก็เปลี่ยนไปมาระหว่างร่างมนุษย์กับร่างผีไม่หยุด
หลิ่วหมิงมองภาพตรงหน้า ใบหน้าอดเผยสีหน้าประหลาดใจระคนฉงนออกมาไม่ได้ กระบี่ขู่หลุนในมือเปล่งแสงกระบี่วิบวับแต่ไม่ได้ฟันออกไป
เวลานี้เองในที่สุดผีร้ายรูปร่างสูงใหญ่ก็หยุดดิ้นรน มันค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ใบหน้ามนุษย์ฝั่งซ้ายลืมตาทั้งสองข้างขึ้นคล้ายกับว่าฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว ส่วนใบหน้าผีดุร้ายซีกขวาสองตาปิดสนิท แต่คิ้วเหนือดวงตาขยับยุกยิกอย่างเชื่องช้าราวกับว่าจะตื่นขึ้นมาได้ตลอดเวลา
ร่างกายของเขากว่าครึ่งกลับคืนมาเป็นร่างมนุษย์แล้ว แต่แขนขวากับหน้าอกครึ่งหนึ่งยังคงเป็นสภาพของภูตผีอยู่ ดูแล้วประหลาดยิ่งนัก
“ผู้อาวุโสเซวียหูหรือ?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วถามหยั่งเชิง
“ใช่แล้ว ข้าเอง…” บุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมเหมือนกำลังพยายามกดใบหน้าผีไว้สุดกำลัง เขาเอ่ยปากตอบอย่างยากเย็น
“ผู้อาวุโส สภาพตอนนี้ของท่าน…”
“ขออภัยยิ่งนักจริงๆ เมื่อครู่ที่ลงมือโจมตีเจ้าหาใช่เจตนาของข้า ไม่ปิดบังสหาย ยามนี้ในร่างข้ามีวิญญาณอยู่สองดวง เมื่อครู่วิญญาณผีร้ายที่อยู่ในร่างเป็นผู้ควบคุมร่าง” บุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมถอนหายใจเอ่ย
“หนึ่งร่างสองวิญญาณหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็อดไม่ได้หลุดปากออกมา
“ใช่แล้ว! เวลาของข้ามีไม่มาก ข้าใกล้จะกดอีกตัวตนหนึ่งไว้ไม่ไหวแล้ว…หลายสิบปีก่อนข้าได้รับคำสั่งจากเบื้องบนของกองทัพให้แฝงตัวมาเป็นสายลับในกองทัพผีร้าย เพื่อการแฝงตัว ข้าจำต้องใช้วิชาลับเปลี่ยนร่างกายของตนเป็นร่างผี หลังจากนั้นเพื่อไม่ให้ถูกเบื้องบนของกองทัพผีร้ายมองออก ข้ายังต้องฝึกฝนวิชาสายวิญญาณที่นิกายสายในมอบให้อีกวิชาหนึ่ง แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือหลังจากเปลี่ยนเป็นร่างผีแล้ว พลังกลับก้าวหน้าพรวดพราด พลังที่เดิมทีอยู่ในระดับแก่นแท้ขั้นต้นรุดหน้ามาถึงขั้นปลายและขั้นสมบูรณ์แบบ ทั้งที่เดิมทียามเป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ระดับพลังมักจะติดอยู่ตรงคอขวดหลายสิบปีไม่ก้าวหน้า แต่พอกลายเป็นร่างผีกลับมีหวังจะบรรลุ” บุรุษหน้าเหลี่ยมเล่าอย่างเร็วไว
หลิ่วหมิงฟังจนถึงตรงนี้ ดวงตาก็ทอประกายเล็กน้อย แต่มือยังไม่เก็บกระบี่ขู่หลุน
“สาเหตุที่ข้าเสี่ยงอันตรายรับภารกิจแฝงตัวนี้ก็เพื่อหาโอกาสยกระดับพลังและทะลวงผ่านคอขวด ผลปรากฏว่าเพราะความอวดฉลาดจึงพลาดท่า ข้าดีใจเจียนคลั่งที่ก้าวหน้าเช่นนี้ เมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้น ความละโมบในหัวใจก็ไม่อาจควบคุมไว้ได้อีก ข้าไม่สนใจสิ่งใดจมจ่อไปกับวิชานี้ต่อแล้วถึงขั้นดึงตราประทับสกัดปราณหยินที่นิกายฝังไว้ในร่างออกเพื่อให้สะดวกต่อการฝึกฝน เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจึงไม่อาจหยุดร่างกายจากการกลายเป็นภูตผีได้อีกต่อไป แต่ในฐานะผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ ในใจย่อมไม่ยินยอมกลายเป็นภูตผีที่เป็นศัตรูโดยสมบูรณ์ ทว่าเมื่อทะลวงคอขวดได้ครั้งแล้วครั้งเล่า จะให้ข้าหยุดฝึกฝนวิชาสายวิญญาณก็ไม่อาจยอมได้เช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้นานเข้าความคิดที่ขัดแย้งกันสองฝั่งก็ทำให้จิตของข้าแบ่งแยกออกเป็นวิญญาณสองดวงที่แตกต่างกันแล้วเริ่มต่อสู้กันอย่างไม่รู้ตัว หลายปีแรกวิญญาณของเผ่ามนุษย์ยังเป็นฝ่ายควบคุม แต่หลายปีนี้ยิ่งพลังก้าวหน้า วิญญาณผีร้ายก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นทุกที เกรงว่าเวลาที่ข้าจะหายไปอย่างสมบูรณ์คงใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว” บุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมพูดมาถึงตรงนี้ บนใบหน้าก็เผยสีหน้าเศร้าสร้อยออกมาเล็กน้อย
หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ย่อมตาโตอ้าปากค้าง ในเวลาเดียวกันก็เข้าใจขึ้นมาบ้าง
เมื่อครู่ยามพบหน้ากันในป่าย้ายวิญญาณ วิญญาณผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ของเขาเป็นผู้ควบคุม แต่หลังจากมาวิญญาณผีร้ายในร่างของอีกฝ่ายเหนือกว่าจึงเข้าควบคุมร่างกายแล้วไล่ตามมาสังหารเขา