ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1022 ตะกร้าฝ่าค่ายกล
“ถ้าเช่นนั้นศิษย์ขอตัวก่อน”
หลังจากหลิ่วหมิงบอกลาทั้งสองคนแล้วก็ออกจากหอสูงใจกลางเมือง เขาเลี้ยวไปยังตลาดทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองจินกวัง
ครึ่งค่อนวันหลังจากนั้น เมื่อเขาเดินออกจากถนนเส้นหนึ่งของตลาด เขากลับเต็มไปด้วยสีหน้าลังเล
เป็นเหมือนที่อินจิ่วหลิงว่าไว้วันนั้นทางปีศาจร้ายขาดแคลนทรัพยากรยิ่งนัก ไม่เพียงทำให้ข้าวของราคาสูงผิดธรรมดา แต่ยังขาดของบางสิ่งและได้แต่อาศัยของมาแลกของเท่านั้นอีกด้วย หลิ่วหมิงนำวัตถุดิบจากอสูรแห่งความมืดรวมถึงวัตถุดิบที่แย่งชิงมาจากทหารผีร้ายก่อนหน้านี้อย่างเช่นหินแร่ยมโลกออกมาจนหมดแล้วเพิ่มหินจิตวิญญาณไปอีกหลายล้าน กว่าจะซื้อธงของค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างง่ายหลายชุดกับค่ายกลกักขังหลายชุดมาได้อย่างหวุดหวิด
ส่วนอาวุธเวทที่ใช้ทำลายค่ายกลนั่นไม่เพียงราคาแพงลิบลิ่ว แต่ยังมีแค่อาวุธเวทระดับต่ำไม่กี่ชิ้นเท่านั้น อาวุธเวททำลายค่ายกลระดับสูงหาได้ยากเย็นยิ่งนัก
เมื่อครู่เขาได้รู้จากปากของศิษย์ที่ขายอาวุธเวททำลายค่ายกลคนหนึ่งว่า ในมือหัวหน้าหน่วยย่อยของกองทัพแสงทองส่วนใหญ่ครอบครองอาวุธเวททำลายค่ายกลที่ระดับค่อนข้างสูงอยู่จำนวนหนึ่งเพื่อใช้ในการทำภารกิจ
เมื่อเขาติดต่อหมิ่นหรงหัวหน้าหน่วยย่อยของตนผ่านแผ่นค่ายกลส่งสารก็พบว่าเขาออกไปทำภารกิจข้างนอกอยู่ อย่างเร็วที่สุดอีกครึ่งเดือนให้หลังจึงจะกลับมาที่หน่วย นี่ทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้างในพริบตา
ดังนั้นเขาจึงได้แต่ดันทุรังเข้าไปในตลาดตามหาต่ออีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันนี้ในห้องปิดสนิทห้องหนึ่งด้านในหอคอยหลักของเมืองจินกวัง ผู้เฒ่าผมขาวโพลนผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิฟังรายงานของคนตัวสูงกับคนตัวเตี้ยตรงหน้าอยู่
ทั้งสองคนก็คือทารกเฮ่าเยว่ยกับผู้อาวุโสกู่เยวี่ย
“เรื่องการป้องกันไม่ให้ศิษย์ที่แฝงตัวกลายเป็นภูตผีโดยสมบูรณ์ ตอนนี้ข้ายังคิดวิธีที่ดีไม่ออก สิ่งที่ทำได้ยามนี้ก็คือเรียกศิษย์ชุดที่ไปล่าสุดกลับมาก่อน ส่วนศิษย์กลุ่มที่แฝงตัวนานกว่านั้นก็ได้แต่พยายามลองเรียกกลับมาเท่านั้น ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่ชะตา ครั้งนี้ต้องขอบคุณหลิ่วหมิงผู้นี้ที่ได้ข่าวสำคัญเรื่องนี้มา หากพบช้ากว่านี้ เกรงว่าถึงเวลาแผนการของพวกเราฝั่งนี้คงถูกอีกฝ่ายล่วงรู้จนตกเป็นฝ่ายถูกเล่นงาน” ผู้เฒ่าลูบเคราแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ผู้อาวุโสโปรดวางใจ เรื่องนี้ข้าจะสั่งการลงไปทันที”
กู่เยวี่ยบุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นชาฟังจบก็พยักหน้า หลังจากคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นอีก
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งต้องรายงานผู้อาวุโสเหยา เรื่องที่หลายปีนี้ศิษย์นิกายเราหายตัวไปอย่างต่อเนื่อง วันนี้เราทราบเงื่อนงำมาบ้างแล้ว จากข่าวที่หลิ่วหมิงได้จากเซวียหูรวมกับการวิเคราะห์เบาะแสที่ทิ้งไว้ในคัมภีร์หยกซึ่งเขานำกลับมา ศิษย์เหล่านี้เหมือนจะถูกกองทัพผีร้ายพาไปขังไว้ที่เนินหลิงจิ้ว เนื่องจากเนินหลิงจิ้วอยู่ค่อนข้างไกลแล้วยังตั้งอยู่หลังป้อมปราการของฝ่ายศัตรู ตอนนี้พวกเราจึงยังไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด”
“เรื่องนี้ข้ารับทราบแล้ว หากส่งคนลักลอบเข้าไปยังเนินหลิงจิ้ว บางทีอาจได้ข่าวสารอะไรมาบ้างก็เป็นได้” ผู้เฒ่าขบคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยตอบ
“ข้ากับเฮ่าเยวี่ยหารือกันว่าจะส่งหลิ่วหมิงผู้นี้ไปอีกครั้ง แล้วให้หน่วยย่อยสองหน่วยช่วยก่อกวนล่อศัตรูจากอีกทาง เมื่อช่วยเหลือสำเร็จก็หนีกลับมาทันที” บุรุษวัยกลางคนผู้ใบหน้าเย็นชาสายตาทอแสงวูบหนึ่งแล้วตอบเสียงขรึม
“เรื่องรายละเอียดว่าช่วยอย่างไรข้าจะไม่ก้าวก่าย แต่จำไว้ว่าภารกิจครั้งนี้ต้องลอบดำเนินการ อย่ากระโตกกระตากให้เบื้องบนของกองทัพผีร้ายรู้ตัว เนินหลิงจิ้วมีชั้นจำกัดอยู่ไม่น้อย เฮ่าเยวี่ย เจ้าเอา ‘ตะกร้าฝ่าค่ายกล’ อาวุธเวทชิ้นนั้นของยอดเขาเมฆาเขียวของพวกเจ้าให้หลิ่วหมิงยืมชั่วคราวเถอะ ให้เขาทำภารกิจลุล่วงโดยไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น” ผู้เฒ่าผมขาวโพลนกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่งแล้วสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“…รับทราบ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ทารกเฮ่าเยวี่ยฟังแล้วก็อดไม่ได้เผยสีหน้าลังเลอยู่บ้าง แต่หลังจากก็ค้อมกายประสานมือทันที แล้วกลายเป็นแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งหายไปจากในห้องลับ
“ศิษย์หลานกู่ หลิ่วหมิงผู้นี้ ข้าเคยพบหน้ามาก่อน แม้พรสวรรค์ธรรมดา แต่ความกล้ากับสภาพจิตใจของเขานับว่าเป็นชั้นหนึ่ง หลายปีนี้สร้างชื่อเสียงให้นิกายเราพิสูจน์ความสามารถของตนเองมาหลายครั้ง หากมีโอกาสจำไว้ว่าจงสั่งสอนและอบรบเด็กผู้นี้ให้มาก วันหน้าอาจประสบความสำเร็จ” ผู้เฒ่าผมขาวโพลนหยุดไปครู่หนึ่งก็สั่งเสียงเบากับบุรุษวัยกลางคนอีกครั้ง
“รับทราบ หากไม่มีเรื่องอื่น ศิษย์ขอตัวก่อน” บุรุษวัยกลางคนใบหน้าเย็นชาประสานมือให้ครั้งหนึ่ง ร่างกายก็เลือนหายไปจากในห้องลับ
“หรือว่ากองทัพผีร้ายจะใช้แผนการนั้นแล้ว? ดูท่าข้าจะต้องรีบแล้ว” หลังจากกู่เยวี่ยออกไป ผู้เฒ่าผมขาวโพลนก็พึมพำอยู่ที่เดิมหลายประโยคแล้วหลับตาทั้งสองข้างนั่งสมาธิอย่างเงียบสงบ
ในเวลาเดียวกันนี้หลิ่วหมิงยังคงคิ้วขมวดเดินลัดเลาะตรอกซอกซอยตามหาอาวุธเวททำลายค่ายกลที่เหมาะสมอยู่ในตลาด
ตอนที่เขาเดินออกมาจากร้านที่เรียบง่ายแห่งหนึ่งนั่นเอง แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งก็โฉบมาตรงหน้าเขา เมื่อแสงรัศมีดับลงก็เผยร่างเด็กน้อยอายุราวสิบสองถึงสิบสามปีคนหนึ่งออกมา เขาก็คือผู้อาวุโสเฮ่าเยวี่ยนั่นเอง
“ศิษย์คารวะอาจารย์อาเฮ่าเยวี่ย” หลิ่วหมิงแรกสุดตกตะลึงเล็กน้อย แต่จากนั้นก็ค้อมกายประสานมือให้
“ศิษย์หลานหลิ่วจะตามหาอาวุธเวทที่เหมาะสมในที่แห่งนี้เกรงว่าจะไม่ง่ายเช่นนั้นกระมัง” ทารกเฮ่าเยวี่ยยิ้มน้อยๆ
“อาจารย์อาช่างชาญฉลาด หาไม่ง่ายจริงๆ” หลิ่วหมิงยิ้มเจื่อนพลางส่ายศีรษะตอบ
“ฮ่าๆ ก่อนหน้านี้ข้ากับผู้อาวุโสกู่สะเพร่าไปชั่วขณะจึงลืมมอบอาวุธเวททำลายค่ายกลชิ้นนี้ให้แก่เจ้า” ทารกเฮ่าเยวี่ยหัวเราะฮ่าๆ ขณะที่พูดก็พลิกมือข้างหนึ่ง แสงสีขาวเจิดจ้าสว่างขึ้นกลางฝ่ามือ จากนั้นตะกร้าดอกไม้ที่ประณีตยิ่งนักใบหนึ่งก็ปรากฏออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกว่ากลิ่นหอมชื่นใจสายหนึ่งลอยโชยมา
ตะกร้าดอกไม้ใบนี้ขนาดราวสองกำปั้น สานมาจากเส้นไม้ไผ่สีขาวดุจหิมะเส้นแล้วเส้นเล่า บนเส้นไม้ไผ่สลักลวดลายจิตวิญญาณเล็กจิ๋วประณีตตัวแล้วตัวเล่าเอาไว้และทอแสงจิตวิญญาณเรืองๆ ออกมา ในตะกร้ามีบุปผาสีขาวหน้าตาโบราณเรียบง่ายอยู่หลายดอกส่งกลิ่นหอมระรื่นบางเบา
ทารกเฮ่าเยวี่ยยื่นนิ้วหนึ่งจี้ดัชนีไปทางตะกร้าดอกไม้
“ฟู่” ไอน้ำสีขาวสายหนึ่งพ่นออกมาจากในบุปผาสีขาวไม่ขาดสายกลายเป็นหมอกไอน้ำสีขาวจางๆ ชั้นหนึ่ง จากนั้นเงาร่างของทารกเฮ่าเยวี่ยก็ค่อยๆ พร่าเลือนตามไปด้วย
เวลาเพียงสองสามลมหายใจ ตะกร้าบุปผาก็หายไปไร้ร่องรอยพร้อมกับหมอกไอน้ำและกลิ่นหอมของบุปผา ทารกเฮ่าเยวี่ยก็หายไปกับอากาศด้วย
หลิ่วหมิงผู้เห็นทุกสิ่งนี้กับตา ในใจตกตะลึงยิ่งนักอย่างห้ามไม่ได้ เขารีบแผ่จิตสัมผัสออกไปกวาดเบื้องหน้าแต่กลับพบว่ามันว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น!
ตะกร้าบุปผาใบนี้มหัศจรรย์ปานนี้!
ทันใดนั้นอากาศเบื้องหน้าก็เกิดคลื่นสั่นสะเทือนระลอกหนึ่งขึ้นอีกครั้ง กลิ่นหอมบางเบาอันคุ้นเคยลอยโชยมา เงาร่างพร่าเลือนร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเลือนรางแล้วค่อยๆ เผยร่างของทารกเฮ่าเยวี่ยที่ถือตะกร้าดอกไม้ในมือออกมา
“ศิษย์หลานหลิ่ว นี่ไม่ใช่แค่อาวุธเวททำลายค่ายกลระดับอาวุธเวทชิ้นหนึ่ง แต่ในช่วงเวลาสำคัญยังกระตุ้นไอน้ำและกลิ่นบุปผาด้านในออกมาซ่อนเร้นร่างกายได้อีกด้วย ของสิ่งนี้เป็นสมบัติลับของยอดเขาเมฆาเขียวของข้า ปกติแล้วไม่ให้คนนอกหยิบยืม แต่คำนึงถึงว่าวันนี้เจ้าต้องการของสิ่งนี้เพื่อบรรลุภารกิจสำคัญของกองทัพ อีกทั้งเจ้ายังเป็นทายาทของลิ่วอิน หาใช่คนนอก ดังนั้นจะให้เจ้ายืมสักครั้ง แต่จักต้องรักษาให้ดี ส่วนจะใช้งานความสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้อย่างไร ไม่อาจสาธิตที่นี่ได้ เจ้ากลับไปศึกษาดูสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว” ทารกเฮ่าเยวี่ยกำชับหลายประโยคด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วหยิบคัมภีร์สีขาวชิ้นหนึ่งออกมาส่งให้หลิ่วหมิงพร้อมกันกับตะกร้าบุปผา
“ขอบคุณอาจารย์อาเฮ่าเยวี่ยยิ่งนัก หลิ่วหมิงจะไม่ทรยศความคาดหวังแน่นอน จะรีบช่วยศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่ถูกจองจำกลับมาให้ได้” หลิ่วหมิงยินดียิ่ง เขารับตะกร้าบุปผาและคัมภีร์หยกไปพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ จากนั้นเก็บทั้งสองสิ่งเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างระมัดระวัง
“เอาล่ะ หน่วยย่อยอีกสองหน่วยออกเดินทางไปแล้ว หลังจากนี้ครึ่งเดือนพวกเขาจะจู่โจมฐานที่มั่นของผีร้ายใกล้เนินหลิงจิ้วพร้อมกัน การเดินทางครั้งนี้หนทางยาวไกลนัก เจ้าก็ออกเดินทางเร็วหน่อยเถิด” ทารกเฮ่าเยวี่ยพยักหน้าพลางเอ่ยบอก
“รับคำสั่ง ศิษย์จะกลับไปเก็บของเล็กน้อยแล้วออกเดินทางทันที!” หลิ่วหมิงประสานมือตอบด้วยสีหน้านอบน้อม
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นแสงสีดำสายหนึ่งก็ลอยขึ้นฟ้าจากประตูเมืองจินกวังแหวกท้องฟ้าจากไปไกล
สามวันให้หลังบนที่ราบสีเทาขมุกขมัวผืนหนึ่ง เงาคนสีดำร่างหนึ่งกำลังเหาะไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเงาคนสีดำก็หยุดชะงักในพงหญ้าหนาทึบพุ่มหนึ่ง
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น ธงค่ายกลหลากสีตั้งหนึ่งปรากฏออกมา แสงหลายสายพุ่งออกไปแล้วทยอยจมลงไปรอบด้านหายไปไม่เห็นร่องรอย
จากนั้นแสงจิตวิญญาณหลายชั้นก็ปรากฏขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะหายไปเหมือนกลืนเป็นร่างเดียวกับพงหญ้าจนหมด หากไม่เพ่งมองอย่างละเอียดก็แยกไม่ออกว่าที่แห่งนี้มีค่ายกลเคลื่อนย้ายแบบเรียบง่ายอยู่ค่ายกลหนึ่งกับค่ายกลกักขังขนาดเล็กอยู่หลายอัน
เงาคนใช้จิตสัมผัสกวาดผ่านรอบด้าน หลังจากแน่ใจว่าไม่พลาดก็กลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งโฉบหายไปในพงหญ้า
เจ็ดวันหลังจากนั้น บนท้องฟ้าเหนือเทือกเขาเตี้ยแถบหนึ่ง ทหารผีที่ถือหอกยาวเจ็ดตนกำลังเหาะอย่างเชื่องช้า พวกมันคือหน่วยทหารผีที่กำลังลาดตระเวนบริเวณใกล้ๆ
ผู้ที่นำหน้าคือผีรองแม่ทัพที่พลังระดับผลึกขั้นปลายตนหนึ่ง มันมีใบหน้าประหลาดสีแดงฉาน หน้าตาค่อนข้างอัปลักษณ์ แต่รูปร่างสูงใหญ่กว่าทหารตนอื่นอยู่หลายส่วน
ทันใดนั้นก็มีเงาสีดำร่างหนึ่งเหาะผ่านพื้นภูเขาด้านหน้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเพ่งมองจึงเห็นว่าเป็นสตรีสาวรูปร่างอ้อนแอ้นที่สวมชุดตาข่ายสีดำนางหนึ่ง
“หัวหน้า มีบางอย่าง!” ทหารผีรูปร่างเตี้ยตนหนึ่งก้าวเข้ามารายงานเสียงเบา
“พูดให้เปลืองน้ำลาย! คนตัวเบ้อเริ่มเช่นนี้ ข้าย่อมเห็นแล้ว บนร่างสตรีนางนี้มีปราณหยินวนเวียนอยู่รอบกายไม่ใช่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ แต่พลังกลับไม่อ่อนแอ พลังระดับผลึกขั้นปลายแล้วแต่ไม่รู้ว่าเป็นนางภูตผีจากเผ่าไหน หากฉุดนางมาเป็นคู่ฝึกฝนของข้าได้ การจะทะลวงคอขวดระดับแก่นเสมือนนี่ย่อมมีหวัง!” ใบหน้าประหลาดสีแดงฉานของผีรองแม่ทัพที่เป็นหัวหน้าฉีกยิ้มเหี้ยมเกรียม
“ฮ่าๆ ถึงเวลา ท่านหัวหน้าก็จะเลื่อนขั้นเป็นผีแม่ทัพ!” ทหารผีร่างเตี้ยหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นบ้าง
หลังจากนั้นทั้งเจ็ดตนก็เปลี่ยนทิศทาง ลอบติดตามหญิงสาวชุดตาข่ายดำผู้นี้ไปอย่างเงียบเชียบ
หญิงสาวชุดตาข่ายสีดำหยุดอยู่ในแอ่งกระทะแห่งหนึ่ง นางมองซ้ายขวาคล้ายกับกำลังหาอะไรอยู่
ในตอนนี้เองปราณสีดำพลันผุดออกมาจากด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้ายและด้านขวาของนาง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ทหารผีหลายตนล้อมหญิงสาวชุดตาข่ายดำไว้สี่ด้านแปดทิศแล้วพ่นปราณสีดำก้อนแล้วก้อนเล่าออกจากปาก
“หัวหน้า ข้ารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง บนร่างของสตรีนางนี้เหมือนจะแผ่ลมปราณที่ชวนให้ตัวสั่นออกมาอยู่เลือนราง” ทหารผีร่างเตี้ยที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าหลังร่างผีผู้เป็นหัวหน้าไม่ไกล เอ่ยออกมาทันทีหลังจากที่ตัวสั่นเทา
“เจ้าผีขี้ขลาดตัวนี้ แม้สตรีนางนี้จะร้ายกาจแต่ก็พลังระดับผลึกขั้นปลายเท่านั้น พวกเราตั้งค่ายกลผีนี่ขังนางไว้ก็ตายได้แล้ว” ผีตัวหัวหน้าเอ่ยอย่างดูแคลน
ในตอนนี้เองหญิงสาวผู้สวมชุดตาข่ายสีดำก็พลันหันศีรษะกลับมา พร้อมกับที่ร่างกายหายวับมุดลงไปใต้ดิน