ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 103 การต่อสู้อันดุเดือด (4)
ชายฉกรรจ์หัวล้านคำรามเสียงดังออกมาพร้อมกับปล่อยหมัดโจมตีผ่านอากาศออกไป ไอสีดำขนาดเท่าปากถ้วยเส้นหนึ่งม้วนตัวออกไปจากหมัดอย่างดุดัน
แมงป่องกระดูกขาวส่งเรียงร้องประหลาดออกมา ก้ามยักษ์ทั้งคู่ยื่นไปต้านการโจมตี
พอไอดำม้วนตัวมาปะทะเข้ากับก้ามยักษ์ก็มีเสียง “ตู้ม!” ดังขึ้นในทันที แมงป่องกระดูกขาวกระเด็นออกไปราวกับถุงผ้า
ท่ามกลางไอสีดำนั้นแผงไปด้วยพลังมหาศาล จนทำให้แมงป่องกระดูกขาวกระเด็นไปอย่างง่ายดาย
แมงป่องกระดูกขาวกลิ้งไปมาหลายตลบแล้วก็กลายเป็นไอสีเขียวม้วนตัวหายไป
และช่วงระหว่างเวลานี้ หลิ่วหมิงได้กระตุ้นวิชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากสะบัดมือทั้งสองคมวายุก็พุ่งออกจากมือไปด้วยเสียงอันดัง
เสียงดัง “เพล้ง!”
หลังจากที่คมวายุยักษ์กะพริบผ่านไป ไอดำก็ถูกมันฟันจนแตกกระจาย แต่พลังที่แฝงอยู่ในนั้นก็ทำให้คมวายุชะลอความเร็วลงเล็กน้อย
ในขณะนั้นเอง ร่างของชายฉกรรจ์ก็หยุดอยู่ที่เดิมทันที และปล่อยหมัดรุนแรงออกไป
เสียงดัง “ฟู่!” ลำแสงสีดำปรากฏขึ้นบนหมัด ทันใดนั้นทันก็ปกคลุมเกราะกระดูกสีดำเอาไว้ ขณะเดียวกันไอสีดำเป็นเส้นปรากฏออกมาจากแขนของเขา จากนั้นมันก็พุ่งเข้าไปม้วนตัวห่อหุ้มหมัดไว้ และกลายเป็นหมัดยักษ์สีดำขนาดกว้างฉื่อกว่าๆ โจมตีออกไปสกัดคมวายุยักษ์ไว้
เสียงดัง “ตู้ม!”
หมัดยักษ์กับคมวายุประสานเข้าด้วยกัน คลื่นลมม้วนตัวออกไปรอบทิศทาง ขณะเดียวกันทั้งสองต่างก็ถอยไปเล็กน้อย
ลำแสงคมวายุยักษ์สีเขียวบุกโจมตีอยู่ครู่หนึ่งก็ระเบิดออกมาจนแตกละเอียด
หมัดยักษ์สีดำก็สั่นไหวอยู่หนึ่งแล้วแตกกระจายออกมา เผยให้เห็นถึงหมัดกระดูกสีดำที่ซ่อนอยู่ข้างใน
ปรากฏรอยแผลจากคมวายุแค่บางๆ บนผิวภายนอกของหมัดกระดูก และหลังจากที่ไอสีดำรอบด้านพวยพุ่งเข้ามาแล้ว มันก็ประสานกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว
จากนั้นชายฉกรรจ์ก็หัวเราะออกมาอย่างโหดร้าย มืออีกข้างคว้าผ่านอากาศมาทางหลิ่วหมิงโดยฉับพลัน
เสียงดัง “ฟู่!” ไอสีดำด้านหน้าเขารวมตัวกันกลายเป็นกรงเล็บสีดำเลือนลางขนาดใหญ่ มีขนาดประมาณครึ่งจั้ง หลังจากที่มันสั่นไหวแล้วก็ตะครุบไปทางหลิ่วหมิงพร้อมด้วยเสียงอันดังลั่น
พอสีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามือที่ทำอยู่ก็เปลี่ยนไปด้วย ทันใดนั้นลูกเปลวไฟแดงจำนวนห้าหกลูกพุ่งยิงออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลายเป็นเปลวไฟอันคุโชนโจมตีไปยังกรงเล็บยักษ์
เสียงดังสนั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าและปฐพี!
กรงเล็บยักษ์สีดำละลายตัวราวกับน้ำแข็งที่เจออุณหภูมิสูง สุดท้ายก็ระเบิดออกมากลายเป็นจุดสีดำๆ
ฉากนี้ทำให้ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ที่มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็รีบแผดเสียงออกมาพร้อมกับยกเท้ากระทืบลงบนพื้นอย่างรุนแรง
เสียงดัง “ตู้ม!”
คลื่นพลังการสั่นไหวกระเพื่อมออกไปจากเท้าของเขา พื้นลานหินบริเวณนั้นแตกร้าวเป็นแนวยาวออกมา และเศษหินกระเด็นไปทั่วทิศ
เกือบจะในเวลาเดียวกันก็มีเสียงดัง “ซู่!” “ซู่!” ก้ามยักษ์ทั้งสองพุ่งออกมาจากเศษหินที่กระเด็นเหล่านั้นและหนีบไปยังขาทั้งสองของชายฉกรรจ์หัวล้าน
เจ้าของก้ามยักษ์นั่นก็คือแมงป่องกระดูกขาวที่ไม่รู้ว่าใช้วิชาขุดพื้นจนมาถึงใต้ร่างของชายฉกรรจ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ และยังโจมตีออกไปอย่างเฉียบพลัน
ดูจากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวสายฟ้าแลบของมันแล้ว คลื่นพลังการสั่นไหวที่ชายฉกรรจ์กระทืบพื้นไปเมื่อครู่ไม่ได้มีผลกระทบกับมันมากนัก หรืออาจจะกล่าวได้ว่าแทบจะไม่มีผลกระทบกับมันเลย
ถึงแม้ชายฉกรรจ์จะเห็นการปรากฏตัวของแมงป่องกระดูกขาวก่อนแล้ว แต่ก็ประเมินความร้ายกาจของมันต่ำไป
และด้วยเหตุนี้ชายฉกรรจ์หัวล้านเลยถูกจำกัดการเคลื่อนไหว คิดที่จะหลบหลีกก็ไม่ทันเสียแล้ว ทำได้เพียงส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมา ไอสีดำบริเวณนั้นพวยพุ่งไปรวมตัวกันที่ขาของเขาในทันที เกราะกระดูกสีดำที่ปกคลุมอยู่ก็ถูกปกคลุมจนหนาแน่นมากกว่าเดิม
เสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!”
ก้ามยักษ์ทั้งสองหนีบเข้าที่ขาทั้งสองของชายฉกรรจ์อย่างรุนแรง ทำให้พื้นผิวภายนอกของเกราะกระดูกแตกหักเป็นแนวยาวออกมาหลายเส้น ราวกับว่าอีกสักครู่มันก็จะระเบิดออกมาในทันที
แต่ทันทีที่ชายฉกรรจ์ทำเสียงฮึดฮัด แล้วสะบัดแขนข้างหนึ่ง โซ่สีดำก็พุ่งออกมาจากในนั้น มันแค่ม้วนตัวเล็กน้อยก็พันก้ามยักษ์ทั้งสองไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นเมื่อเขาดึงโซ่กลับมาอย่างรุนแรง พลังอันมหาศาลที่ยากจะคาดเดาก็ได้ทะลักออกมา
ถึงแม้แมงป่องกระดูกขาวจะร้ายกาจแต่ก็ไม่นับว่ามีพลังมาก ดูเหมือนกับว่าพริบตาที่พลังอันมหาศาลมากระทบตัว มันก็ถูกดึงขึ้นมาจากพื้นกระเด็นไปยังด้านหน้าของชายร่างยักษ์
และชายฉกรรจ์หัวล้านที่ได้เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว ก็ได้ปล่อยหมัดทุบไปยังแมงป่องกระดูกขาวโดยตรง
ก่อนที่หมัดลูกนี้จะทุบลงไปบนตัว ไอสีดำก็เกาะตัวกันเป็นหนามกระดูกแหลมคมยาวครึ่งฉื่อ เขากะที่จะเจาะทะลุหัวของแมงป่องกระดูกขาวในหมัดเดียว
แต่ในขณะนั้นเอง แมงป่องกระดูกขาวส่งเสียงร้องแหลมดัง “แกว๊ก!” ออกมา ร่างที่โดนดึงเข้ามากระดกหางในฉับพลัน เสียงดัง “ซู่ๆ!” เส้นสีดำสิบกว่าเส้นฟาดผ่านไป
ชายฉกรรจ์แค่รู้สึกเย็นๆ ที่แขน แล้วรูเลือดสีดำสิบกว่าแห่งก็โผล่ขึ้นบนพื้นผิวภายนอก โลหิตที่ถูกพิษไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
กำปั้นกับหนามกระดูกที่ใช้ในการโจมตีเกิดอาการชาขึ้นโดยฉับพลัน แล้วปัดผ่านข้างตัวแมงป่องกระดูกขาวไปอย่างไร้เรี่ยวแรง และครู่เดียวมันก็แข็งทื่อจนไร้ความรู้สึกใดๆ
และหางตะขอของแมงป่องกระดูกขาวก็ลางเลือนอีกครั้งแล้วกลายเป็นเส้นสีดำสิบกว่าเส้นพุ่งยิงออกไป
ชายฉกรรจ์แผดเสียงออกมาภายใต้ความตื่นตระหนก แขนอีกข้างเคลื่อนไหวจนดูลางเลือนขึ้นมาในฉับพลัน แล้วก็ดึงโซ่สีดำฟาดไปบนพื้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
บังเกิดเสียงดัง “เพล้ง!” จนสะเทือนไปครึ่งเขา ลานประลองหินก็ค่อยๆ สั่นสะเทือน
ร่างกว่าครึ่งหนึ่งของแมงป่องกระดูกขาวจมเข้าไปในหลุมหิน ถึงแม้จะดูครบถ้วนสมบูรณ์แต่ร่างกายกลับอ่อนแรงจนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
ชายฉกรรจ์เห็นโอกาสดีเช่นนี้ย่อมไม่ปล่อยแมงป่องกระดูกขาวตัวนี้ไปโดยง่าย เขาดึงโซ่สีดำอีกครั้งเพื่อให้ปลายอีกข้างที่รัดแน่นกับแมงป่องกระดูกขาวนั้นดึงมันขึ้นมาแล้วกระแทกลงไป
แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” แสงสีเขียวหลายเส้นพุ่งไปตัดโซ่ที่รัดแมงป่องกระดูกขาวไว้จนขาดออกจากกัน
ปลายโซ่ส่วนที่ยังรัดแน่นกับก้ามยักษ์อยู่ก็กลายเป็นไอสีดำแล้วคลายออกมา
แมงป่องกระดูกขาวก็ดูเหมือนจะฟื้นตัวขึ้นมาในทันที มันรีบขึ้นมาจากหลุมอย่างรวดเร็วแล้วกลายเป็นไอสีเขียวจมหายไปในลานประลองหินอีกครั้ง
ชายฉกรรจ์หัวล้านไม่ได้คิดที่จะไล่ตามปีศาจตนนี้ แต่กลับแหงนหน้ามองออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เขาเห็นหลิ่วหมิงที่อยู่ฝั่งนั้นทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง ด้านหน้ามีคมวายุสีเขียวเจ็ดแปดเส้นค่อยๆ สั่นไหวอยู่
เห็นได้ชัดว่าโซ่สีดำเมื่อครู่ถูกเขาใช้คมวายุตัดมันขาดออกจากกัน และแมงป่องกระดูกขาวหลุดรอดไปได้
และชายฉกรรจ์ดูเหมือนจะเสียพลังกับการจัดการแมงป่องกระดูกขาวไปค่อนข้างมาก ทั้งที่ความจริงแล้วใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น
เปลวไฟสีเขียวบนหน้ากากของกู่เจวี๋ยค่อยๆ คุโชนขึ้นมา จากนั้นก็ละสายตากลับมายังบาดแผลบนร่างตัวเองแล้วเขาก็ต้องรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา
ถึงแม้รูเลือดสิบกว่าแห่งจะไม่มีโลหิตไหลออกมาแล้ว แต่แขนกลับใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นเท่าตัว และอาการชากระจายไปทั่วแขนจนแม้แต่นิ้วก็ไม่สามารถกระดิกได้
ถึงแม้เมื่อครู่เขาสามารถห้ามพิษไม่ให้ลุกลามไปยังร่างกายส่วนอื่นได้ภายในพริบตา แต่แขนข้างนี้กลับด้านชาอย่างไม่ต้องสงสัย
หางตะขอของแมงป่องกระดูกขาวตนนี้ ไม่เพียงแต่จะเจาะทะลุเกราะกระดูกที่คุ้มกันอยู่บนแขน แต่ยังมีพิษอันร้ายแรงถึงเพียงนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ปีศาจระดับขุนพลทั่วไปจะทำได้
หลังจากชายฉกรรจ์หัวล้านคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ในใจก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมามากกว่าเดิม
บรรดาศิษย์ที่ดูอยู่ด้านล่างลานประลองต่างก็ถูกการต่อสู้กันอย่างรวดเร็ว และดุเดือดของชายฉกรรจ์กับหลิ่วหมิงดึงดูดความสนใจจนไม่สามารถละสายตาออกไปได้ และยังยืนนิ่งอ้าปากค้างจนพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว
บรรดาอาจารย์จิตวิญญาณบนลานหยกต่างก็รู้สึกประหลาดใจกับการแสดงวิชาอันแปลกประหลาดของชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ และการเรียกปีศาจแมงป่องกระดูกขาวของหลิ่วหมิงเป็นอย่างมาก
หนึ่งในผู้ที่รู้สึกตกตะลึงที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นกุยหรูฉวนผู้นั้น
เขาคิดไม่ถึงมาก่อนว่านอกจากหลิ่วหมิงจะมีวิชาขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว กลับยังมีปีศาจที่เก่งกาจระดับขุนพลอยู่ตนหนึ่ง
บนลานประลอง หลิ่วหมิงเผยรอยยิ้มพร้อมกับกล่าวออกมา
“ศิษย์พี่กู่ พิษของแมงป่องกระดูกขาวตนนี้แข็งแกร่งมาก ต่อให้ใช้พลังเวทย์ระงับไว้ได้ชั่วคราวแต่ก็ไม่อาจยืนหยัดได้นาน และตอนนี้ร่างกายของท่านยังมีพิษอยู่ แล้วท่านจะต่อสู้กับข้าต่อไปได้อย่างไร ไม่สู้ยอมแพ้แล้วลงไปถอนพิษจะดีกว่า มิเช่นนั้นถ้าหากสายเกินไปจนมันเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นมาจริงๆ ขึ้นมาล่ะก็ คงจะไม่ดีเป็นแน่แท้”
“ฮึ! ยอมแพ้! เจ้าคิดง่ายเกินไปหน่อยล่ะมั้ง พิษแค่นี้จะทำอะไรข้าได้ การประลองระหว่างข้ากับเจ้าถือว่าเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น”
ชายฉกรรจ์หัวล้านได้ยินเช่นนี้กลับหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ยกมืออีกข้างขึ้นมาจับหัวไหล่ข้างที่ถูกพิษไว้ เขาออกแรงที่นิ้วทั้งห้าแล้วก็มีดังแตกหักดังออกมา แขนทั้งท่อนถูกฉีกขาดออกจากกัน
โลหิตสีดำที่ถูกพิษไหลทะลักออกจากแผลบนตรงหัวไหล่ของเขา
และชายฉกรรจ์ร่างยักษ์รีบร่ายคาถาออกมาในทันที อักขระปรากฏบนพื้นผิวของแขนข้างที่ถูกฉีกขาดไป และเมื่อมันพลิ้วไหวไปตามลมก็ละลายกลายเป็นควันสีดำกลับมาหาร่างของเขา
ครู่ต่อมา ได้มีไอดำพวยพุ่งออกมาจากรูบาดแผลตรงหัวไหล่ของขายฉกรรจ์ หลังจากที่มันรวมตัวกันก็กลายเป็นกระดูกแต่ละชิ้นที่มีสีดำวาววับ จากนั้นเส้นโลหิตสีดำแดงก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวจนแน่นขนัดแล้วกลายเป็นเนื้อหนังห่อหุ้มไว้
ดูเหมือนกับว่าเวลาเพียงแค่อึดใจเดียว แขนที่สมบูรณ์แบบโดยไม่มีร่องรอยความเสียหายใดๆ ก็ปรากฏต่อหน้าสายตาผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้น
ฉากนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ศิษย์ด้านล่างลานประลองจ้องมองจนตะลึงตาค้าง บรรดาอาจารย์จิตวิญญาณบนลานหยกต่างก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาเช่นกัน
หยางเฉียนที่เดิมนั่งด้วยตาหรี่ลงครึ่งหนึ่งอยู่ใต้ธงมาโดยตลอด พลันเบิกตาทั้งสองจ้องไปยังชายฉกรรจ์หัวล้านบนลานประลองทันที แสงสีเงินเปล่งประกายในแววตาทั้งคู่ของเขาอยู่ไม่หยุด
ส่วนเฟิงฉาน เฉียนฮุ่ยเหนียง และศิษย์คนอื่นๆ พอเห็นฉากที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเช่นกัน
“เป็นวิธีการที่ไม่เลว สำหรับความสามารถในการงอกอวัยวะขึ้นมาใหม่ ดูท่าวิญญาณปีศาจที่ศิษย์ผู้นี้ใช้วิชาสยบปีศาจผนึกเข้ากับตัว คงเป็นปีศาจที่มีความสามารถในด้านนี้ ปีศาจชนิดนี้มีอยู่น้อยมากโชคดีที่เขาหาเจอได้และยังฝึกฝนมันจนสำเร็จ” ประมุขนิกายปีศาจตบมือหัวเราะขึ้นมา
“ใช่แล้ว คงจะอธิบายได้เช่นนี้เท่านั้น แต่ถึงแม้วิชาสยบปีศาจจะสามารถรักษาความสามารถของปีศาจไว้ได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้น้อยมาก ศิษย์กู่เจวี๋ยผู้นี้โชคดีไม่น้อย เช่นนี้แล้วศิษย์ของศิษย์พี่กุยคงจะเจอกับปัญหาใหญ่เข้าแล้วล่ะ ถึงแม้จะมีแมงป่องกระดูกขาวตนนั้นคอยช่วย ก็เกรงว่าคงยากจะเอาชนะได้” ฉู่ฉีกะพริบตาปริบๆ หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด จึงยังไม่อาจกล่าวได้ว่าใครแพ้ใครชนะ” กุยหรูฉวนฟื้นตัวจากอาการตกตะลึง พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ใจเขาก็ร่วงหล่นลงไปแต่ยังคงกล่าวโดยไม่แสดงอาการใดๆ บนใบหน้า
และในขณะเดียวกัน บนลานประลองด้านล่าง หลังจากที่หลิ่วหมิงมองเห็นฉากการงอกแขนใหม่ของชายฉกรรจ์หัวล้านแล้วสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่หลังจากสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปก็สะบัดแขนเสื้อในฉับพลัน กระบี่สั้นสีเขียวปรากฏออกมาในทันที
……………………………………….