ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1036 วิกฤติ
ระหว่างที่เซียเอ่อร์จัดการผีแม่ทัพอยู่ด้านหลัง ร่างกายของหลิ่วหมิงขยับวูบติดกันไม่กี่หนก็มาปรากฏตัวที่ตีนกำแพงเมืองดุจภูตพราย
ผีร้ายที่เพิ่งเข้าสู้ระดับแก่นแท้สี่ตนลอยอยู่กลางท้องนภา พวกมันกระตุ้นดาบยาวสีดำสนิทในมือ กลายเป็นแสงดาบสีเทามากมายโจมตีม่านแสงสีเงินนอกกำแพงเมืองดังสนั่น แล้วส่งเสียงคำรามประหลาดอย่างตื่นเต้นยินดี
“รนหาที่ตาย!”
หลิ่วหมิงเผยสีหน้าเหี้ยมเกรียมแล้วพาเงาเลือนรางสายหนึ่งเหาะรี่เข้าใส่ผีร้ายตนหนึ่งในนั้น
ผีร้ายตนนั้นเหมือนสัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม มันตกตะลึงแล้วได้แต่หยุดโจมตีชั่วคราว จากนั้นหมุนตัวมายกดาบยาววางขวางตรงหน้าอก พร้อมกับที่มืออีกข้างทอแสงสีเทา หัวกะโหลกสีขาวเทาหัวหนึ่งโผล่ออกมา มันหมุนติ้วรอบหนึ่งแล้วกลายเป็นโล่กระดูกสีขาวขนาดหลายจั้งชิ้นหนึ่งขวางอยู่ตรงหน้าอก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้หัวเราะหยัน ร่างกายโฉบวูบเดียวปรากฏตัวเบื้องหน้าโล่กระดูกห่างไปสองสามจั้ง สองแขนสะบัด ปราณดำทะลักรอบร่าง เสียงพยัคฆ์คำรามดังสะเทือนแก้วหูแทบดับ เงาหัวพยัคฆ์มหึมาขนาดสิบกว่าจั้งสองหัวก่อตัวขึ้นในพริบตา หัวหนึ่งในนั้นอ้าปากกว้างสีแดงสดเข้าขย้ำโล่กระดูก พลังน่าตะลึงอย่างที่สุด
พริบตาที่โล่กระดูกสัมผัสถูกหัวพยัคฆ์ เสียงแตกร้าวแสบแก้วหูก็ดังขึ้น มันแตกกระจายเป็นชิ้นๆ กลายเป็นละอองแสงสีขาวสลายหายไปจนเกลี้ยง
ต่อจากนั้นหัวพยัคฆ์สีดำสนิทอีกหัวหนึ่งก็คำรามแล้วตามมาถึงติดๆ ดุจพยัคฆ์หิวโซกระโจนเข้าหาเหยื่อ มันกลืนผีร้ายระดับแก่นแท้ด้านหลังโล่กระดูกและดาบยาวสีดำสนิทในมือมันเข้าปากไปด้วยกันทันที
หลังเสียงกรีดร้องดังขึ้นครั้งหนึ่ง ปราณดำก็สลายไป ผีแม่ทัพตนนี้กลายเป็นท่อนๆ ร่วงหล่นจากกลางท้องฟ้า
เวลาเพียงชั่วลมหายใจเดียว ผีร้ายพลังระดับแก่นแท้ตนหนึ่งก็ถูกหลิ่วหมิงสังหารอย่างสบายๆ เช่นนี้ นี่ทำให้ผีร้ายระดับแก่นแท้ตนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ ตาโตอ้าปากค้างไปชั่วขณะ
แน่นอนนี่ก็เป็นเพราะผีร้ายหลายตนนี้เพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ พลังจึงไม่อาจเทียบเท่าผีร้ายที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเหล่านั้นได้
ยังไม่ทันที่พวกมันจะตอบสนอง เงาดำโฉบวูบเดียว หลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวด้านหลังผีแม่ทัพตนที่สอง กำปั้นยักษ์สีดำที่มีเส้นเลือดปูดนูนอยู่ทั่วข้างหนึ่งร่วงลงบนกระหม่อมของมันไม่เหลือช่องว่างแม้เท่าเส้นผม
บึ๊ม!
ศีรษะของผีแม่ทัพถูกโจมตีแหลกเหมือนแตงโม
ผีร้ายที่เหลือสองตนเห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงคิดจะหมุนตัวหนีจากไป ทว่าแสงเรืองรองสีทองแถบหนึ่งโถมมาถึงจากด้านข้างอย่างเร็วไว เซียเอ๋อร์ที่กลับคืนร่างเดิมนั่นเอง ไม่รู้ว่านางสังหารผีร้ายที่เป็นคู่ต่อสู้ตนก่อนสำเร็จแล้วเหาะเร็วไวมาถึงตั้งแต่เมื่อไร
ผีร้ายตนหนึ่งหลบไม่ทันถูกแสงสีทองสาดใส่จนสลายเป็นไอหมอกสีเทาท่ามกลางเสียงดังชี่ จากนั้นถูกแสงเรืองรองสูบลงไปในท้องของเซียเอ๋อร์ในทันใด
อีกตนหนึ่งหลบพ้นการโจมตีของแสงเรืองรองสีทองอย่างหวุดหวิด มันเหาะหนีไปได้ร้อยจั้ง
แต่ปรากฏว่ากลางท้องฟ้ามีแสงสีม่วงสว่างขึ้นวูบหนึ่ง เสียงเปรี้ยงปร้างดังสนั่น แสงกระบี่สีม่วงที่มีอสรพิษอสนีบาตรายล้อมสายหนึ่งพุ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตวัดรอบลำคอของผีรองแม่ทัพตนนี้ มันไม่ทันแม้แต่จะกรีดร้อง ศีรษะก็แยกจากตัวและล้มลงไป
หลิ่วหมิงสังหารผีร้ายระดับแก่นแท้สี่ตนในอึดใจเดียวแล้วจึงผ่อนลมหายใจแผ่วเบา เขากวาดสายตาวูบหนึ่งก็พบว่าตรงตีนกำแพงเมืองไม่ไกล เสี่ยวอู่กำลังถูกทหารผีสองกระบวนทัพล้อมอยู่ในวงล้อม ในนั้นเหมือนจะมีผีแม่ทัพระดับแก่นแท้ตนหนึ่งด้วย
เขาคิดอยากไปช่วยเสี่ยวอู่อีกแรง ทันใดนั้นเองเสียงเอะอะแสบแก้วหูก็ดังมาจากด้านหลัง แรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งหลายสายจู่โจมมาพร้อมกัน
เขาหันศีรษะไปมองแล้วสูดหายใจเสียงดังอย่างห้ามไม่ได้
จู่ๆ ทหารผีหลายกลุ่มก็ฝ่าแนวป้องกันของหุ่นนิกายเทียนกงประชิดเข้ามาใกล้กำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว
ด้านหน้าของทหารผีหลายกลุ่มนี้มีเงารูปร่างเหมือนมนุษย์ที่สวมชุดเกราะของสี่กองทัพใหญ่อยู่หลายร่าง เพียงแต่ชุดเกราะบนร่างขาดวิ่นดูไม่ได้ ใบหน้าไม่มีอารมณ์แม้แต่น้อย กล้ามเนื้อแข็งทื่อเป็นสีเทา พูดให้เจาะจงก็คือหน้าตาเหมือนผีดิบตัวหนึ่ง แต่พลังกลับล้วนเป็นระดับแก่นแท้ขั้นกลางหรือขั้นปลาย!
เครื่องยิงศรขนาดยักษ์ ไอปีศาจหรือลำแสงที่ยิงลงมาจากบนกำแพงเมือง เมื่อโจมตีบนร่างผีดิบเหล่านี้ นอกจากทำให้ร่างมันหยุดชะงักไปเล็กน้อยก็ไม่อาจทำอันตรายมันได้แม้แต่น้อย
“ภูตคนตาย!”
หลิ่วหมิงพึมพำกับตนเอง
ครั้งนั้นตอนที่เขากับเสี่ยวอู่เห็นสิ่งนี้ที่เนินหลิงจิ้ว ในใจก็นึกสงสัยอยู่แล้ว ครั้งนี้พบอีกครั้ง ในดวงตาจึงอดไม่ได้ฉายแววเข้าใจ เห็นชัดว่ากองทัพผีร้ายเหล่านี้มุ่งเป้ามาที่ป้อมปราการไท่เทียนแห่งนี้ตั้งแต่แรก
ต่อมาหุ่นยักษ์อีกตัวหนึ่งที่อยู่อีกฝั่งก็ถูกกองทัพผีล้ม ภูตคนตายอีกตนหนึ่งนำกองทัพทหารผีหลายกองแห่เข้ามาจากช่องว่างทันที
พริบตาเดียวประตูเมืองฝั่งเหนือตรงนี้ก็มีภูตคนตายระดับแก่นแท้ที่หอกดาบฟันแทงไม่เข้าเจ็ดถึงแปดตนนำทหารผีหลายกลุ่มบุกเข้าประชิดประตูเมืองอย่างต่อเนื่อง
“ทุกท่านระวังด้วย ผู้ฝึกฝนผีดิบเหล่านี้คือศิษย์หัวกะทิของกองทัพทั้งสี่ที่หายตัวไปในช่วงหลายปีนี้ พวกเขาถูกกองทัพผีร้ายใช้วิธีการพิเศษเปลี่ยนสภาพจนกลายเป็นเช่นนี้ พวกเขาสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว ไม่เพียงพลังเพิ่มพูน อีกทั้งหอกดาบยังแทงไม่เข้า จัดการยากอย่างยิ่ง อย่าให้พวกเขาเข้าใกล้กำแพงเมืองเด็ดขาด!” ความคิดของหลิ่วหมิงวิ่งเร็วจี๋แล้วส่งกระแสจิตบอกทุกคนอย่างเร็วไวทันที
อีกด้านหนึ่งเสี่ยวอู่ที่กำลังป้องกันการโจมตีจากทหารผีรอบด้านอยู่ก็ขยับริมฝีปากขมุบขมิบเห็นชัดว่ากำลังอธิบายความเป็นมาของผู้ฝึกฝนผีดิบเหล่านี้ให้ศิษย์รอบด้านฟังเช่นกัน
ครู่ต่อมาก็มีศิษย์หัวกะทิระดับแก่นเสมือนกับระดับแก่นแท้สิบกว่าคนจากกองทัพแสงทองกัดฟันพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกฝนผีดิบเหล่านี้อย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงขยับร่างไม่กี่หนก็เหาะเร็วรี่ไปทางกองทัพทหารผีที่ภูตคนตายชุดเกราะสีเหลืองตนหนึ่งนำหน้าอยู่
ขณะที่ร่างของเขายังอยู่กลางอากาศ ปราณสีดำรอบร่างก็ทะลักออกมารวมตัวกัน มังกรหมอกพยัคฆ์หมอกวนเวียน สองแขนฉับพลันหนาขึ้นหนึ่งเท่า เส้นเลือดสีเขียวปูดนูนออกมาเส้นแล้วเส้นเล่า ร่างกายสูงขึ้นสามส่วนในพริบตา
ต่อจากนั้นสองแขนก็ขยับ เงาหมัดสีดำมากมายพุ่งเร็วรี่เข้าใส่กองทัพทหารผีเบื้องล่างดุจสายฝนกระหน่ำทันที
เปรี้ยง! เสียงดังสนั่น
ไอปีศาจสายแล้วสายเล่าที่เกิดจากกำปั้นยักษ์สีดำระเบิดกลางกองทัพทหารผีแล้วกลายเป็นหมอกสีดำเส้นน้อยสลายไป ทหารผีหลายสิบตนที่เดินทีวนเวียนอยู่รอบตัวผู้ฝึกฝนผีดิบถูกกวาดหายเกลี้ยงกลายเป็นปราณวิญญาณสีเทาพลุ่งพล่าน!
ทว่าภูตคนตายตนนั้น นอกจากชุดเกราะสีเหลืองของนิกายเทียนกงหายไปและผิวหนังสีเขียวคล้ำทั่วร่างเผยออกมาข้างนอกก็ไม่มีอาการบาดเจ็บอื่นใดสักนิด!
เมื่อมันแหงนหน้าคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวก็พบว่าหลิ่วหมิงที่อยู่บนท้องฟ้าหายไปนานแล้ว!
ในตอนนี้เองอากาศด้านหลังมันก็สั่นสะเทือน เงาของคนผู้หนึ่งปรากฏ เสียงมังกรกู่ร้องพยัคฆ์คำรามดังก้องท้องฟ้า มังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกสีดำยาวสิบจั้งห้าตัวพุ่งออกมา พร้อมกับที่เสียงเย็นชาเอ่ยว่า “ระเบิด”
“บึ๊ม!”
มังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกสีดำฉับพลันกลายเป็นแสงสีดำเต็มผืนฟ้ากลืนภูตคนตายเข้าไปด้านในทันที
เมื่อปราณดำรอบร่างเงาคนม้วนตัวลงมา มันก็กลายเป็นหลิ่วหมิงใหม่อีกครั้ง เขาสะบัดแขนเสื้อ เสียงใสกังวานดังขึ้น แสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนเสื้อดุจสายฟ้าแลบ มันวนกลางอากาศรอบหนึ่งจนยาวขึ้นสิบกว่าจั้ง
บนผิวของแสงกระบี่สีม่วงมีอสรพิษอสนีบาตตัวแล้วตัวเล่าพุ่งสะเปะสะปะส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ ปราณกระบี่ชั้นแล้วชั้นเล่าพุ่งขึ้นฟ้า พลังค่อนข้างน่าตะลึง
ในตอนนี้เองเสียงคำรามแผ่วเบาก็ดังออกมาจากในแสงสีดำ หมอกภูตสีเทาผืนใหญ่ซึมออกมาจากด้านในไม่หยุด ทั่วทั้งคุกมืดทำท่าเหมือนจะปริแตก ภูตคนตายตนนั้นกำลังจะแหกคุกออกมา
“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!”
มือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงทำท่าเคล็ดกระบี่อย่างไม่รีรอแล้วชี้ไปยังกระบี่บินสีม่วงเบื้องหน้า จิตกระบี่สายหนึ่งปะทุออกมาจากร่าง ทั้งร่างกลายเป็นรุ้งน่าตะลึงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วในพริบตา
“ฟึบ!”
รุ้งน่าตะลึงทะลวงผ่านคุกมืด แสงสีดำสลายกระจายไปรอบด้าน
ลำคอของภูตคนตายตนนั้นมีรอยกระบี่แคบยาวเห็นเด่นชัดเส้นหนึ่งกำลังสมานเข้าหากันอย่างเชื่องช้า ขณะที่มันแผดเสียงคำรามเอนร่างมาข้างหน้าหมายจะโผเข้าใส่แสงกระบี่ เงาคนสีเขียวเก้าร่างก็โผล่ออกมาสี่ด้านแปดทิศรอบตัวภูตคนตาย เฟยเอ๋อร์ที่กำจัดภูตผีระดับต่ำหมดแล้วรีบเร่งมานั่นเอง
เฟยเอ๋อร์ทั้งเก้าตนต่างอ้าปากพ่นเปลวเพลิงลูกแล้วลูกเล่าออกมา ปราณกัดกร่อนบนผืนอัคคีทำให้ภูตคนตายจำต้องหยุดชะงัก
ในเวลาเดียวกันนี้เส้นผมสีเขียวมากมายบนศีรษะของเด็กน้อยเก้าตนก็พุ่งพรวดออกมารัดแขน ขากับเอวของภูตผีดิบเอาไว้
แสงสีม่วงดับลงไม่ไกล เผยเงาร่างของหลิ่วหมิงออกมา เมื่อดวงตาของเขาประจักษ์ภาพนี้ ในดวงตาจึงเผยแววตาเหี้ยมเกรียม มือข้างหนึ่งทำท่าเคล็ดวิชา กระบี่ขู่หลุนในมือบินวนบนท้องฟ้าอีกครั้งก่อนจะกลายเป็นรุ้งน่าตะลึงสีม่วงสายหนึ่ง จากนั้นขยายพรวดจากเดิมสิบกว่าจั้งกลายเป็นสามสิบถึงสี่สิบจั้ง
เวลานี้ในหูเขาก็ได้ยินเสียงกระแสจิตรีบเร่งของเฟยเอ๋อร์
“นายท่าน รีบลงมือ ข้า…ข้าใกล้จะคุมเขาไว้ไม่อยู่แล้ว”
เวลานี้ภูตคนตายกำลังกรีดร้องโหยหวน สองแขนสะบัดไปมาไม่หยุด เพลิงภูตสีเทาลุกโชนทั่วร่าง เส้นผมที่รัดบนร่างถูกเผาเหี้ยนไปทีละเส้นๆ ทั้งร่างใกล้จะหลุดออกมาได้แล้ว
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว เขากำลังคิดจะลงมือ ทันใดนั้นโคลนทรายใต้เท้าภูตคนตายพลันระเบิด แสงสีทองสว่างวาบตามมาติดๆ แมงป่องกระดูกโผล่ออกมาจากดิน ก้ามยักษ์หนีบสองเท้าของภูตคนตายเอาไว้ หางสีทองอร่ามสะบัดพร้อมกัน
“ฉึกๆ” เส้นสีทองสิบกว่าสายพุ่งเร็วรี่ออกมามากมาย
ภูตคนตายตนนี้คิดไม่ถึงว่าจะถูกโจมตีกะทันหัน สองขาเกิดรูสีทองเล็กจิ๋วรูแล้วรูเล่าในพริบตา มันกรีดร้องแล้วกวาดสองแขนโจมตีแมงป่องกระดูกปลิวไปทันที
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้พลันยินดี เขาอ้าปากกู่ร้องยาวครั้งหนึ่งแล้วทะยานร่างวูบเดียวจมหายเข้าไปในแสงกระบี่
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น รุ้งกระบี่สีม่วงพุ่งมาถึงแล้วฟันผ่านลำคอของภูตคนตายในทันใด
ใบหน้าเขียวคล้ำที่เดิมทีไร้อารมณ์ของภูตคนตายฉับพลันเผยสีหน้าหวาดผวาเล็กน้อย แต่จากนั้นสีหน้าก็ชะงักค้าง ร่างกายกับศีรษะแยกจากกันกลายเป็นสองท่อนร่วงลงพื้นอย่างหนักหน่วง
แสงกระบี่สีม่วงดับลงกลายเป็นกระบี่น้อยสีม่วงใหม่อีกครั้ง ร่างของหลิ่วหมิงปรากฏออกมาอีกหน มือข้างหนึ่งของเขากวักอากาศ กระบี่ขู่หลุนสั่นเบาๆ กลางอากาศหนหนึ่งแล้วกลับเข้าไปในแขนเสื้อของเขา ในขณะที่สายตาของเขากวาดมองไปรอบด้าน
แล้วเขาก็เห็นว่าขณะที่เขาทุ่มเทความคิดสังหารผู้ฝึกฝนผีดิบตนหนึ่งอยู่ ผู้คนมากมายรอบข้างก็ตกอยู่ในศึกหนักเช่นกัน การโจมตีทั่วไปไม่ได้ผลอย่างใดกับภูตคนตายเหล่านี้ ยิ่งแนวป้องกันของหุ่นเกิดช่องโหว่ขึ้นเรื่อยๆ ภูตคนตายที่รุมล้อมด้วยกองทัพทหารผีก็ยิ่งแห่เข้ามามากขึ้นทุกที
ม่านแสงสีเงินที่ปกป้องป้อมปราการทั้งหลังเอาไว้จางลงทุกที เห็นชัดว่าสถานการณ์ของกำแพงเมืองอีกสามด้านที่เหลือก็คงไม่อาจมองในแง่ดีได้
สถานการณ์ในสนามรบพลิกผันรวดเร็วอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่าสถานการณ์ตกอยู่ในห้วงวิกฤติ!