ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1046 หงายไพ่ก้นหีบ
นอกเมืองเฮ่าชี่ที่สำนักเฮ่าหรานตั้งอยู่ เมฆดำผืนหนึ่งลอยเร็วรี่มาแต่ไกล จากนั้นหมุนวนกลางอากาศเป็นวงแล้วร่วงลงมา เผยให้เห็นร่างผู้ฝึกฝนผีร้ายใบหน้าอสูรตนหนึ่ง
เขาผู้นี้ก็คือผีแม่ทัพใหญ่ที่พลังบรรลุระดับดาราพยากรณ์แล้วตนหนึ่ง เวลานี้มือข้างหนึ่งของเขากำลังถือก้อนเนื้อโชกเลือดที่ยังมีเลือดหยดติ๋งๆ ร่างหนึ่งอยู่
ผีร้ายที่อยู่รอบด้านเหมือนหวาดกลัวเขายิ่งนัก เมื่อเห็นผีแม่ทัพใหญ่ผู้มีใบหน้าอสูรร่อนลงมาก็ไม่กล้าแม้แต่หายใจแรง
ผีแม่ทัพใหญ่หน้าอสูรเดินตรงเข้าไปในอาคารชั่วคราวที่สร้างจากศิลาดำหลังหนึ่ง
“พี่เสวี่ยหมัวดูอารมณ์ดีไม่เลว!” ในห้องโถงบุรุษผู้สวมอาภรณ์ตัวยาวลวดลายสีดำผู้หนึ่งกำลังหลับตาทำสมาธิอยู่ หลังจากได้ยินเสียงก็ลุกขึ้นมาทันที
ตุ๊บ ศพที่แหว่งวิ่นไม่ครบร่างถูกโยนลงบนพื้น ดูจากเค้าโครงยังพอมองออกว่าตอนมีชีวิตเขาเป็นบุรุษร่างกำยำที่มีหนวดเคราคนหนึ่ง
“เจ้าเด็กเผ่ามนุษย์คนนี้…หรือจะเป็นคนนั้นที่ผีเฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินนั่นส่งข่าวมาให้พวกเราจับตา?” บุรุษชุดยาวมองศพบนพื้นแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเอื่อยเฉื่อย
“แม้ไม่รู้ว่าเผ่ามนุษย์เหล่านั้นกำลังวางแผนอันใดอยู่ แต่คนผู้นี้ก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง ทำให้ข้าสนุกได้พักหนึ่ง” ผีแม่ทัพใหญ่หน้าอสูรเผยสีหน้ากระหายเลือดออกมาเล็กน้อย
บุรุษผู้สวมเสื้อตัวยาวส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจ ดูท่าจะไม่ค่อยชินกับจุดนี้ของสหาย
“หลายวันนี้ล้อมเมืองไว้อย่างเดียวตามคำสั่งของนายท่านจนร่างกายจะขึ้นสนิมอยู่แล้ว เมื่อใดจะออกคำสั่งให้โจมตีเมือง นายท่านได้บอกไว้หรือไม่?” ผีแม่ทัพใหญ่หน้าอสูรถามขึ้นอย่างงุ่นง่านนิดๆ
“พี่เสวี่ยหมัวไยต้องร้อนรน ยามนี้ลี่เสวียนรับคำสั่งของนายท่านเดินทางไปคลายผนึกสิบสองรากษสที่อารามต้องห้าม ขอเพียงสิบสองรากษสตื่นขึ้นมา ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์กระจอกงอกง่อยเหล่านี้ แค่ดีดนิ้วก็กำจัดได้” บุรุษผู้สวมเสื้อตัวยาวหัวเราะแผ่วเบา
ผีแม่ทัพใหญ่หน้าอสูรได้ยิน สีหน้าก็ผ่อนคลายลง เดินมานั่งขัดสมาธิด้านข้าง
……
ครึ่งวันหลังจากนั้น รอบเมืองจินกวังที่ทอแสงสีทองระยิบระยับ ปราณหยินสีดำสนิทดุจหมึกถาโถม เสียงตะโกนโหวกเหวกของกองทัพผีร้ายยังดังขึ้นไม่ขาดหู
กองทัพทั้งหมดที่ประจำการอยู่ในเมืองป้องกันอย่างแน่นหนาดุจปราการเหล็ก หลังจากผ่านการล้อมโจมตีอย่างต่อเนื่องหลายวันนี้ ศพของทหารผีและอสูรแห่งความมืดนอกเมืองกองพะเนินมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่าบาดเจ็บล้มตายสาหัสสากรรจ์
ด้วยเหตุนี้ตอนนี้กองทัพผีร้ายทั้งหมดจึงถอยห่างไปเก้าสิบลี้ ล้อมเมืองจินกวังไว้เป็นเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ทำให้เมืองจินกวังได้ความสงบอันหาได้ยากมาช่วงหนึ่ง
เวลานี้บนแท่นทรงกลมราบเรียบบนยอดหอสูงขนาดยักษ์ใจกลางเมืองจินกวัง เงาสามร่างยืนโต้ลมอยู่
บนท้องฟ้าเหนือหอยักษ์ บาตรแห่งการสร้างขนาดมหึมายังคงหมุนอย่างเชื่องช้าอยู่กลางอากาศ แสงเรืองรองสีทองวงแล้ววงเล่าสาดลงมาส่องรอบร่างทั้งสามคนจนเป็นประกายสีทองระยิบระยับราวกับพลทหารสวรรค์ลงมาเยือนโลกมนุษย์
เมื่อมองทะลุผ่านแสงสีทองจะเห็นอยู่เลือนรางว่าผู้เฒ่าคนหนึ่งในนั้นเส้นผมสีขาวยุ่งเหยิง สองตาเป็นสีฟ้าอ่อน เขาก็คือเหยาฟู่เหวิน
อีกคนหนึ่งสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน เส้นผมสีเทาอ่อนทั้งศีรษะ เขาก็คือผู้อาวุโสแซ่เว่ยยอดฝีมือระดับดาราพยากรณ์อีกคนหนึ่งของกองทัพแสงทองนั่นเอง
คนสุดท้ายคือชายหนุ่มสวมชุดเกราะสีน้ำเงิน ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือหลิ่วหมิงผู้ที่ฝ่าวงล้อมแน่นหนากลับมายังเมืองจินกวังได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามนั่นเอง
ทั้งสามคนยืนเป็นมุม ล้อมพื้นที่ว่างขนาดหลายจั้งผืนหนึ่งไว้ตรงกลาง มือขวาของแต่ละคนล้วนถือแผ่นกลมที่ทอแสงสีเงินขมุกขมัวขนาดหนึ่งฝ่ามืออยู่
“เริ่มเถอะ” ผู้เฒ่าแซ่เหยาฉับพลันเอ่ยปากอย่างนิ่งสงบ
สิ้นเสียงก็เห็นเขาท่องมนตร์แผ่วเบาออกมาปลายประโยค มือซ้ายพลันยกขึ้น
“เปรี้ยง” เสียงดังสนั่นดุจอสนีบาตฟาดกลางฟ้าแจ้งดังมาจากพื้นดิน!
พื้นดินระหว่างกลางของทั้งสามคนฉับพลันมีแสงสีทองเจิดจ้าส่องสว่าง เส้นสีทองเรียวเล็กมากมายดีดออกมาจากด้านใน เสาศิลากลมสูงครึ่งจั้งผุดออกมาจากตรงกลาง
ผิวของเสาศิลานี้มีแสงสีทองไหลเคลื่อนอยู่ สลักลวดลายจิตวิญญาณลึกลับไว้มากมาย สามด้านของเสาที่หันประจันหน้ากับคนมีค่ายกลขนาดเล็กสีเงินอ่อนอยู่ค่ายกลหนึ่ง ใจกลางค่ายกลต่างมีช่องเว้ารูปวงกลมขนาดเท่าฝ่ามือช่องหนึ่ง
ทั้งสามคนเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดพร่ำยกแขนข้างขวาขึ้นพร้อมกัน พร้อมกับที่เสียงท่องมนตร์ดังออกมาจากปาก แสงสีเงินดวงกลมที่ทอแสงสีเงินสว่างจ้าอยู่กลางฝ่ามือก็หลุดจากมือจมเข้าไปในช่องบนเสาศิลาเบื้องหน้าด้วยตนเอง
อึดใจต่อมา ทั้งสามคนก็ใช้นิ้วมือขวาจี้ดัชนีหนักหน่วงไปด้านหน้า
แผ่นกลมสีเงินที่ฝังเข้าไปในเสาศิลาทั้งสามชิ้นสั่นไหวเบาๆ กลายเป็นแสงสีเงินดวงหนึ่งหมุนเร็วไว
บาตรแห่งการสร้างขนาดยักษ์เหนือศีรษะของทั้งสามคนหมุนอย่างบ้าคลั่งตาม แสงเรืองรองสีทองที่เดิมทีสาดส่องไปสี่ด้านแปดทิศค่อยๆ เอนเข้าหาตรงกลาง กลายเป็นเสาแสงสีทองหนาเท่าถังน้ำเส้นหนึ่งอย่างเชื่องช้า ก่อนจะร่วงลงมาล้อมเสาศิลาสีทองไว้ด้านใน
“ไป!”
ในตอนนี้เอง มนตร์จากปากทั้งสามคนก็หยุดพร้อมกันโดยไม่ได้นัด เสียงตวาดแผ่วเบาดังขึ้นครั้งหนึ่ง จากนั้นทั้งสามคนพลันกระทืบเท้าพุ่งไปด้านหลังพร้อมกัน
ภาพอันน่าเหลือเชื่อปรากฏขึ้นแล้ว
ทั้งสามคนเพิ่งเหาะออกมาหลายสิบจั้ง หอสูงขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงกลางทั้งหลังก็ส่งเสียงดังน่าตะลึงสะเทือนแก้วหูแทบดับแล้วลอยขึ้นจากพื้น
ชั่วพริบตาหอยักษ์ทั้งหลังพลันกลายเป็นดวงแสงสีทองทรงยาวมหึมา ขนาดใหญ่ราวกับเสายักษ์ค้ำนภาต้นหนึ่ง!
ในเวลาเดียวกันนี้ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของกองทัพแสงทองบนกำแพงเมืองหรือกองทัพผีสี่ด้านแปดทิศนอกเมืองล้วนมองภาพมหัศจรรย์เหนือกำแพงเมืองจินกวังแห่งนี้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง!
ดวงแสงสีทองขนาดยักษ์ลอยสูงขึ้นไปด้านบนไม่หยุดและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางสายตาของทุกคน
ขณะที่มันลอยสูงจนห่างจากเมืองจินกวังร้อยจั้งนั่นเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง!
แสงสีทองทั้งหมดกลายเป็นวงแหวนสีทองวงหนึ่งแผ่ไปรอบด้านด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบ!
ทันทีที่ปราณหยินหนาทึบรอบด้านสัมผัสถูกวงแหวนสีทองก็ทยอยแตกสลาย แทบจะในชั่วพริบตาปราณหยินทั้งหมดในอากาศก็ถูกวงแหวนสีทองขับไล่ไปถึงเจ็ดแปดส่วน!
“แย่แล้ว รีบถอย…”
ผีแม่ทัพใหญ่ชุดเกราะสีเงินที่เป็นผู้นำกองทัพผีเห็นสถานการณ์พลันหน้าถอดสี รีบตะโกนสั่งกองทัพผีทั้งหมดให้ถอยทัพ พร้อมกันนั้นแสงสีเท้าก็ม้วนรอบร่างแล้วพุ่งถอยไปด้านหลัง
แต่คำสั่งนี้เห็นชัดว่าสายไปแล้ว
พริบตาเดียววงแหวนสีทองก็มาถึงกองทัพผีที่อยู่รอบด้าน!
กองทัพผีแทบทั้งหมดสลายกลายเป็นละอองสีดำท่ามกลางแสงสีทองมหึมา กองทัพหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งร้องครวญครางยังไม่ทันได้ร้องก็หายไปอย่างเงียบงัน!
เวลานี้ผู้ฝึกฝนแห่งกองทัพแสงทองด้านในเมืองจินกวังต่างแหงนหน้ามองบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าตกตะลึง
ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นว่าดวงแสงสีทองมหึมาดวงนั้นที่เดิมทีอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองจินกวังหายไปไร้ร่องรอยแล้ว สิ่งที่มาแทนที่ก็คือมนุษย์ร่างยักษ์สูงร้อยจั้งที่เปล่งแสงสีทอง มีปีกคู่หนึ่งงอกอยู่บนแผ่นหลัง และมีลวดลายจิตวิญญาณสีทองและเงินสลักอยู่ทั่วร่างตนหนึ่ง!
ศีรษะของเขามีแสงสีทองส่องกลบจนมองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่เห็นเลือนรางว่าตรงหน้าผากมีดวงแสงสีทองจุดหนึ่งขยับอยู่ไหวๆ เวลานี้สองแขนของเขายกขึ้นกอดอกมองไปด้านหน้า
“พี่เหยา ท่านนำคนครึ่งหนึ่งเฝ้าเมืองจินกวังไว้ต่อ ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน คนที่เหลือตามข้าไป เป้าหมายป้อมปราการไท่เทียน!” อีกด้านหนึ่ง บุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาเอ่ยกับผู้อาวุโสแซ่เหยาเรียบๆ หลังจากเอ่ยประโยคสุดท้าย เสียงก็เย็นชาขึ้นอีกหลายส่วน!
เสียงของเขาไม่ดัง แต่ประโยคสุดท้ายสองสามประโยคกลับส่งมาถึงในหูของศิษย์ทั้งหลายด้านล่างชัดเจนอย่างยิ่ง
ผู้คนด้านล่างเดิมทีกำลังจมอยู่ในความตกตะลึง เมื่อได้ยินคำพูดของบุรุษวัยกลางคนเส้นผมสีเทาจึงทยอยได้สติกลับมา
“รับทราบ!” คนทั้งหมดตอบดังลั่นเป็นเสียงเดียว
……
ในเวลาเดียวกันนี้ ยกเว้นนอกเมืองเฮ่าชี่เมืองหลักของกองทัพคุณธรรม ภาพที่คล้ายกันนี้ล้วนเกิดขึ้นพร้อมกันที่เมืองขุ่ยเหลี่ยกับเมืองฝูหมัว
รอบเมืองขุ่ยเหลี่ย ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เงาร่างของกองทัพผีทั้งหมดที่เดิมเคยล้อมอยู่หลายชั้นหายไปจนเกลี้ยง บนดินโคลนสีดำสนิทเต็มไปด้วยกลิ่นไหม้แสบจมูก ปราณหยินสีดำลอยวนเวียน
รอบลานกว้างรวมถึงบนกำแพงเมือง ศิษย์ของกองทัพหุ่นยืนเรียงรายอยู่มากมาย สายตาของพวกเขาล้วนมองไปที่ลานกว้างใจกลางเมือง
บนลานกว้างหุ่นมนุษย์สูงราวหนึ่งร้อยกว่าจั้งที่สองตาทอแสงสีแดงเลือนรางตัวหนึ่งยืนตระหง่านอยู่
หุ่นยักษ์ตัวนี้สวมชุดเกราะหนักสีน้ำตาลอ่อนปกป้องกาย คุ้มครองร่างกายมโหฬารให้สายลมสายฝนไม่อาจเล็ดลอดเข้าไป แขนใหญ่ยักษ์ทั้งสองข้างแต่ละข้างถือดาบยักษ์ยาวยี่สิบถึงสามสิบจั้งอยู่เล่มหนึ่ง บนร่างมีหมอกควันสีน้ำตาลอ่อนหนาทึบสายแล้วสายเล่าเวียนวนไม่หยุด กลางหว่างคิ้วบนใบหน้าเรียบเฉยฝังผลึกหินสีน้ำตาลอ่อนขนาดมหึมาอย่างยิ่งลูกหนึ่งไว้
กลางอากาศข้างตัวหุ่น บุรุษวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงเส้นผมขาวทั้งศีรษะกับผู้เฒ่าร่างแคระผู้มีใบหน้าอ่อนโยนลอยอยู่กลางท้องฟ้า
“พี่เก๋อ ยกเมืองให้ท่าน!” บุรุษวัยกลางคนเส้นผมขาวเอ่ยกับผู้เฒ่าร่างแคระ
ผู้เฒ่าร่างแคระไม่ตอบ เพียงพยักหน้าน้อยๆ
“หน่วยที่หนึ่ง หน่วยที่สอง หน่วยที่สามฟังคำสั่ง ออกเดินทาง!”
“รับทราบ!”
……
นอกเมืองฝูหมัวที่มีปราณดำหนาทึบ เวลานี้เวลานี้แลดูเงียบสงัดยิ่งนัก
บนกำแพงเมืองเงาร่างสีดำสนิทมากมายยืนกันอยู่เต็มไปหมด เหนือตัวเมืองชายหนุ่มคิ้วยาวผู้สวมอาภรณ์สีดำผู้หนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ เวลานี้คนทั้งหมดมองไปยังที่ราบหน้าเมืองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เวลานี้ศิษย์ของกองทัพซ่อนมารที่สวมชุดเกราะสีดำสองร้อยกว่านายตั้งกระบวนทัพสี่เหลี่ยมแปดทัพอยู่บนที่ราบอย่างพร้อมเพรียง ยืนต้านลมอย่างองอาจน่าเกรงขาม
ตรงกลางกระบวนทัพสี่เหลี่ยมทั้งแปดกองล้อมสิ่งมีชีวิตมโหฬารสีดำสนิทขนาดเจ็ดแปดสิบจั้งตัวหนึ่งอยู่
สิ่งมีชีวิตขนาดมโหฬารตัวนี้มองดูเหมือนกิ้งก่ายักษ์ที่ขยายขนาดขึ้นไม่รู้กี่เท่าตัวหนึ่ง บนแผ่นหลังมีเกล็ดขนาดเท่าตึกสีดำมันวาวปกคลุมอยู่ทั่ว แต่ละเกล็ดมีลวดลายจิตวิญญาณดวงแล้วดวงเล่ามากมายถี่ยิบ ใต้ท้องก็มีขาสี่ข้างที่หนาราวกับเสายักษ์ค้ำนภา บนหัวมหึมามีเขาสีแดงที่คล้ายเขามังกรอีกคู่หนึ่ง
สิ่งมีชีวิตตัวนี้ก็คือกิ้งก่ามารคลั่งซึ่งเป็นวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของสัตว์มารระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์จากยุคโบราณที่ถูกผนึกไว้ด้วยวิชาลับและเป็นไพ่ก้นหีบของกองทัพซ่อนมารในทางปีศาจร้าย!
ระหว่างเขาสีแดงคู่นั้นของกิ้งก่ามารคลั่ง หญิงงามวัยกลางคนหน้าตาดูอายุราวสี่สิบกว่าปีผู้สวมอาภรณ์ตัวยาวสีดำคนหนึ่งยืนอยู่ นางเอามือไพล่หลังทอดสายตามองออกไปไกล
ทันใดนั้นนางก็รั้งสายตากลับมา หลังจากกวาดสายตามองรอบด้านก็หันกายกลับไปมองทางเมืองฝูหมัวที่อยู่ด้านหลัง ดวงตาส่องสว่างดุจคบไฟ
“ศิษย์พี่ฉี โปรดวางใจ ทุกสิ่งที่นี่ยกให้ข้าจัดการเอง” ไม่ทันที่หญิงงามวัยกลางคนจะเอ่ยปาก ชายหนุ่มคิ้วยาวที่อยู่เหนือเมืองฝูหมัวก็เอ่ยปากขึ้น
หญิงงามวัยกลางคนพยักหน้านิดๆ แล้วจึงหันกลับไปท่องมนตร์สองสามประโยคอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นเสียงคำรามแหลมสูงก็ดังออกมาจากปากของสัตว์มารร่างยักษ์ข้างใต้!
กิ้งก่ามารคลั่งสองตาแดงก่ำเป็นสีเลือดทันที หลังจากคำรามเสียงแหลม บนแผ่นหลังพลันมีแสงสีดำส่องสว่าง ปีกสีดำสนิทสองข้างโผล่ออกมาจากในร่าง
“ตะลึงทำอะไร?” หญิงงามวัยกลางคนกวาดมองรอบด้านดุจสายฟ้าแลบ
“ขึ้นมา!” เมื่อหัวหน้าหน่วยระดับแก่นแท้แปดคนตวาดดุดัน ศิษย์กองทัพซ่อนมารสองร้อยคนก็ทยอยเหาะขึ้นไปบนแผ่นหลังของกิ้งก่ามารคลั่ง
กิ้งก่ามารคลั่งคำรามเสียงแหลมอีกครั้ง จากนั้นสะบัดหางใหญ่ยักษ์ ปีกสีดำสนิทกระพืออย่างแรงครั้งหนึ่งจนลมพายุพัดไปรอบด้าน เสียงอสนีบาตดังขึ้นไม่ขาดสาย
สัตว์มารขนาดยักษ์ฉับพลันกลายเป็นแสงสีดำดวงใหญ่ลอยขึ้นฟ้าเหาะเร็วจี๋ไปด้านหน้า ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องอยู่ของทุกคนในเมืองฝูหมัว