ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1051 การไล่ล่าและโอสถโลหิตยมโลก
ทั้งสองสบตากัน หลิ่วหมิงลอบร้องว่าแย่แล้วในใจ นี่มันผีระดับแม่ทัพใหญ่ตนหนึ่งชัดๆ!
“เจ้านั่นเอง!” ผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกชะงักไปชั่วครู่ก็จำหลิ่วหมิงได้ทันที เขาคำรามออกมาอย่างโกรธจัด
วันนั้นพวกหลิ่วหมิงสี่คนฝ่ามหาค่ายกลสุสานผีหนีออกจากป้อมปราการไท่เทียนไปได้ใต้หนังตาของเขา ทำให้เขาเสียหน้ายิ่งนัก
ร่างกายของผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกเปล่งแสงสีเขียววูบหนึ่ง ในมือพลันมีดาบกระดูกสีเขียวหยกรูปร่างประหลาดคล้ายพระจันทร์เสี้ยวขนาดหลายฉื่อเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา เขาสะบัดครั้งเดียวดาบก็ขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นหลายสิบจั้งในทันใดแล้วฟันลงมาที่ศีรษะของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงย่อมไม่ฝืนตั้งรับการโจมตีของผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ตรงๆ เท้ากระทืบหนักหน่วงครั้งหนึ่ง ร่างกายพลันเลือนหายหลบพ้นอันตรายได้อย่างหวุดหวิด ในเวลาเดียวกันทั้งร่างก็กลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งพุ่งพรวดไปใจกลางวงต่อสู้
เขาหัวเราะฝืดเฝื่อน ในใจ เมื่อครู่เพิ่งออกมาจากตรงนั้น ตอนนี้ก็ต้องกลับไปอีกแล้ว
แต่นี่ก็ช่วยไม่ได้ แม้เขาพอมีพลังอยู่บ้างแต่คงไม่อาจต้านผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์ตนหนึ่งไหว จึงได้แต่พุ่งทะลวงเข้าไปยังจุดที่การต่อสู้หนาแน่นที่สุด หมายจะกวนน้ำจับปลาหลบการไล่ล่าสังหารของผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูก
“เจ้าหนู จะหนีไปไหน!”
ผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกตวาดเย็นชา จากนั้นมือข้างนั้นก็ยกขึ้นขยุ้มอากาศ
ฉับพลันอากาศด้านหลังร่างของหลิ่วหมิงก็มีปราณหยินทะลักออกมาจากความว่างเปล่ากลายเป็นกระแสลมหมุนมหึมา เกิดแรงดูดมหาศาลขึ้นกะทันหัน
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้าน ร่างกายที่กำลังเหาะหนีหยุดชะงักไปชั่วครู่
ทว่าอึดใจต่อมาปราณสีดำก็ทะลักออกมาจากร่าง พร้อมกับที่ในร่างมีเสียงประหลาดดัง “หงับ” ทันใดนั้นทั้งร่างก็ลอยสูงขึ้นหลายฉื่อ พริบตาเดียวหลุดจากแรงดึงดูดของกระแสลมหมุน
แต่เวลาที่เสียไปชั่วครู่นี้ก็ทำให้ระยะห่างลดลงไปไม่น้อย
ผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกยกมือขึ้นเหวี่ยง ดาบกระดูกรูปทรงประหลาดในมือหลุดจากมือกลายเป็นแสงสีเขียวแถบหนึ่งบินรี่เข้ามาฟันศีรษะของหลิ่วหมิง พลังดาบดุดันราวกับจะผ่าหลิ่วหมิงเป็นสองเสี่ยงในดาบเดียว!
หลิ่วหมิงหน้าถอดสี แสงดาบนี้เร็วนัก ถึงจะใช้วิชาท่าร่างของเขาก็หลบไม่พ้น หลิ่วหมิงได้แต่กัดฟันกรอดพร้อมกับหมุนตัว สองมือใช้เคล็ดวิชาอย่างว่องไวแล้วอ้าปากพ่นมุกกลมสีเหลืองลูกหนึ่งออกมา มุกบรรพตธาราที่เสร็จสมบูรณ์ครึ่งเดียวนั่นเอง!
มุกบรรพตธาราหมุนติ้วรอบหนึ่งก็ขยายพรวดระหว่างที่โต้ลม เงาภูเขาน้อยสีเหลืองเข้มลูกหนึ่งปรากฏออกมาขวางเหนือศีรษะของหลิ่วหมิง
ทันทีที่ดาบกระดูกสีเขียวกับเงาภูเขาสัมผัสกันก็ระเบิดส่งเสียงดังสนั่นชวนตะลึง!
ผ่านไปเพียงหนึ่งลมหายใจ ภูเขาน้อยที่มุกบรรพตธาราสร้างขึ้นก็ปริแตกเป็นรอยร้าวนับไม่ถ้วนก่อนจะพังทลายกลับกลายเป็นมุกกลมสีเหลืองลูกหนึ่งพุ่งย้อนกลับมา
หลิ่วหมิงสะท้านไปทั้งร่าง เขาถูกพลังที่เหลือกระแทกปลิวออกไปและกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ
“เอ๋!”
ผีแม่ทัพใหญ่เกรากระดูกเผยสีหน้าตกใจออกมาเล็กน้อย สายตาจับจ้องอยู่บนมุกบรรพตธาราขณะที่ใบหน้าฉายแววแปลกใจแวบหนึ่ง จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นคว้าอากาศตรงหน้า ฝ่ามือสีดำใหญ่หนึ่งหมู่ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วคว้าไปจับหลิ่วหมิง
วิ้ง!
ลำแสงสีทองแสบตาสายหนึ่งพุ่งพรวดออกจากหัวไหล่ของหลิ่วหมิงตรงมาหาผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูก
เมื่อผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกสัมผัสได้ถึงลมปราณที่แฝงอยู่ในแสงสีทอง สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้พลังของเขาอยู่ในระดับดาราพยากรณ์ก็ไม่ยินดีแตะต้องมันแม้แต่นิด
มือยักษ์สีดำเปลี่ยนทิศทางมาขวางเบื้องหน้าทันที ทันทีที่ลำแสงสีทองสาดลงบนนั้น ปราณสีดำพลันสลายตัว แต่เมื่อนิ้วทั้งห้าของมือยักษ์กำเบาๆ ก็บดขยี้ลำแสงสีทองสำเร็จ
เวลาหนึ่งลมหายใจที่เซียเอ๋อร์แย่งชิงมานี้ทำให้หลิ่วหมิงได้พักหายใจ เขากวักมือเรียกมุกบรรพตธารากลับมา ขณะที่ร่างกายขยับวูบเดียวถอยห่างไปสิบกว่าจั้ง เขาสะบัดเคล็ดวิชากระบี่ที่มือ ทันใดนั้นแสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งพลันม้วนรอบร่างเขาแล้วพุ่งเร็วจี๋ไปทางช่องว่างทิศเหนือของสนามรบโดยไม่หยุดแม้แต่น้อย
ในเมื่อไม่อาจปะปนเข้าไปในกลุ่มคนได้ เขาคงต้องผละจากสนามรบไปเลย!
ผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงเผยสีหน้าลังเลออกมาเล็กน้อย เขาหันไปมองท้องฟ้าเหนือสนามรบ พวกผู้เฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินห้าตนกำลังต่อสู้ดุเดือดอยู่กับผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์สี่คนของเผ่ามนุษย์
แม้เผ่ามนุษย์จะน้อยกว่าอยู่หนึ่งคน แต่พวกผู้เฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินเพิ่งต่อสู้กับพลทหารสวรรค์แสงทองของนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างดุเดือดมายกหนึ่งเมื่อครู่จึงสูญเสียพลังปราณไปมาก
เวลานี้แม้สู้ห้าต่อสี่แต่ดูแล้วสูสีคู่คี่
เพียงชั่วจังหวะที่ผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกลังเล หลิ่วหมิงก็กลายเป็นแสงสีม่วงจุดหนึ่งกำลังจะหายลับไปที่ขอบฟ้าแล้ว
ผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกดวงตาวาวโรจน์ ในที่สุดความเคียดแค้นในใจก็เหนือกว่า แสงสีเขียวดวงหนึ่งล้อมรอบร่างเขาก่อนจะไล่ตามหลิ่วหมิงไป
ผู้เฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินที่อยู่บนท้องฟ้าเห็นผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกทิ้งสนามรบเพื่อไล่ตามผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เพียงคนเดียว สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที เขากำลังจะส่งกระแสจิตเรียก
บึ๊ม!
ทันใดนั้นมังกรอัคคีร้อนระอุขนาดร้อยจั้งตัวหนึ่งก็แยกเขี้ยวกางกรงเล็บโถมเข้ามา มังกรอัคคี อสรพิษอัคคี สัตว์ร้ายนานาชนิดพุ่งออกมาจากลูกแก้วกลมสีเพลิงที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของผู้เฒ่าจมูกแดงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ฝั่งตรงข้ามไม่หยุด
ผู้เฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินได้แต่เก็บความคิดที่จะส่งกระแสจิตไปแล้วจดจ่อสมาธิรับมือ
สองมือของผู้เฒ่าจมูกแดงสะบัดส่งเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าออกมา ขณะที่สายตาจับจ้องลำแสงสองสายที่ผละห่างไปจากสนามรบ
“ผีแม่ทัพใหญ่ตนนั้นเหตุใดจึงไล่ตามหลิ่วหมิง? แต่เป็นเช่นนี้ย่อมมีผีแม่ทัพใหญ่น้อยลงหนึ่งตน เสียดายก็แต่หลิ่วหมิงเจ้าหนูผู้นี้…” ผู้เฒ่าจมูกแดงครุ่นคิดในใจจากนั้นก็เก็บงำอารมณ์เอาไว้
……
สองวันหลังจากนั้น บนทุ่งราบที่แลดูรกร้างแห่งหนึ่งห่างจากป้อมปราการไท่เทียนมาทางทิศเหนือไม่รู้กี่หมื่นลี้ ภูตสีเทาหน้าตาคล้ายพังพอนตัวหนึ่งกำลังยื่นหัวออกมาจากรู ทันใดนั้นแสงกระบี่สีม่วงแสบตาสายหนึ่งก็แล่นเร็วจี๋ผ่านท้องฟ้าเหนือหัวมันไปทางด้านหน้า
สิ่งที่ค่อนข้างแปลกก็คือมีปีกสีเงินสองข้างยื่นออกมาจากในแสงกระบี่สีม่วง ทำให้แสงกระบี่สีม่วงถูกรัศมีสีเงินคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง เมื่อปีกกระพือแผ่วเบาก็เกิดเสียงกระบี่ดังหวีดหวิวกังวาน ทำให้ภูตชั้นต่ำตัวนี้ตกใจมุดหายกลับเข้าไปในรูทันที
แสงกระบี่สีม่วงหายลับขอบฟ้า ทุกสิ่งกลับมาเงียบสงบอีกครั้งอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
ภูตพังพอนทำใจกล้ายื่นหัวออกมาอีกครั้ง ทว่าตอนนี้เองบนท้องฟ้าก็มีแสงสีเขียวสายหนึ่งเหาะเร็วจี๋ผ่านไปอีกหน
ภูตพังพอนร้องเสียงหลงมุดกลับเข้าไปในรัง ไม่กล้าโผล่หัวออกมาอีกต่อไป
แสงสีเขียวเร็วยิ่งนัก พริบตาเดียวก็หายลับไปไกลแล้ว
สองคนนี้ย่อมเป็นหลิ่วหมิงกับผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกที่ผละออกมาจากสนามรบป้อมปราการไท่เทียน
ทั้งสองคน ตนหนึ่งไล่ตาม คนหนึ่งเหาะหนีมายาวนานจนสลัดป้อมปราการไท่เทียนทิ้งไว้ที่ไหนแล้วก็ไม่อาจทราบได้
ไม่รู้ว่าผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกนิสัยดื้อดึงเกินไปหรืออย่างไร เขาถึงไล่สังหารหลิ่วหมิงมาสองวันสองคืนไม่ยอมเลิกรา
ด้านในลำแสงสีเขียว ผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกสีหน้าย่ำแย่ยิ่งนัก
เดิมทีเขาคิดจะสังหารผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์คนนี้อย่างรวดเร็วให้ได้ระบายความแค้นในใจสักหน่อย แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กเผ่ามนุษย์คนนี้แม้พลังต่ำต้อย แต่พลังเวทมากมาย ความเร็วก็เหนือกว่าที่เขาคาดเอาไว้มาก
อีกฝ่ายขี่กระบี่เหาะเหินเสริมด้วยปีกเนื้อสีเงินคู่นั้น แม้ผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์เช่นเขาทุ่มเต็มกำลังไล่ล่ามายาวนานเช่นนี้ก็ยังไม่อาจไล่ตามทัน ถึงขนาดที่มีหลายครั้งหวิดจะถูกอีกฝ่ายใช้สารพัดวิธีสลัดหลุด
แน่นอนสาเหตุหนึ่งก็เพราะก่อนหน้านี้เขารบศึกใหญ่กับพลทหารสวรรค์แสงทองมา พลังเวทและร่างกายจึงเสียหายอย่างมาก สำแดงพลังที่แท้จริงออกมาไม่ได้
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ในใจเขาก็บันดาลโทสะอย่างยิ่ง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยากจะฉีกศพหลิ่วหมิงเป็นหมื่นชิ้นระบายความแค้นในหัวใจ
ในเวลาเดียวกันเขาก็สนใจแมงป่องกระดูกที่เป็นอสูรเลี้ยงของหลิ่วหมิงยิ่งนัก แสงสีทองที่มันปล่อยออกมา แม้แต่เขาเองก็ยังหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ เขารู้สึกได้เลือนรางว่ามีพลังหยินหยางประหลาดอันเข้มข้นบางอย่างอยู่ในนั้น
นี่ทำให้เขาเกิดความละโมบในใจ จึงยิ่งไม่ยอมปล่อยเจ้าเด็กเผ่ามนุษย์ตรงหน้าไปง่ายๆ
ด้านในแสงกระบี่สีม่วงด้านหน้า สีหน้าของหลิ่วหมิงก็ไม่ค่อยดีนักเช่นกัน
ตลอดทางที่เขาหนีมาจนถึงที่นี่ เขาเปลี่ยนทิศทางไปหลายครั้ง บางครั้งก็ฝืนเร่งความเร็ว แต่ก็ยังไม่อาจสลัดผีด้านหลังพ้น พลังเวทในร่างเกือบแห้งเหือดไปหลายครั้งแล้ว
ยามนี้หลิ่วหมิงพลิกมือเรียกโอสถจิตวิญญาณเม็ดหนึ่งออกมากินอย่างจนปัญญาอีกหน ปีกเนื้อสีเงินบนแผ่นหลังกระพือติดกันหลายครั้ง รัศมีสีเงินส่องสว่าง แหวกท้องฟ้ามุ่งไปด้านหน้าต่อ
ทั้งสองคนไล่ตามกันมาไกลหลายหมื่นลี้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เวลานี้ผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกสีหน้าถมึงทึงยิ่งกว่าเดิม
เขาผละจากสนามรบมาโดยพลการเพราะความแค้นส่วนตัว หลังจากนี้หากนายท่านทราบเรื่องย่อมไม่อาจละเว้นโทษหนัก วิชาหลบหนีของเจ้าเด็กเผ่ามนุษย์ด้านหน้าก็ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ทำให้เขาที่ไม่ถนัดวิชาหลบหนีไล่ตามไม่ทันชั่วขณะ
ผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกลอบขบคิดอยู่หลายครั้ง หลังจากลังเลอยู่ในใจพักหนึ่ง ในที่สุดก็กัดฟันพลิกมือเรียกโอสถสีแดงหม่นเม็ดหนึ่งออกมาแล้วแหงนหน้ากินลงไป ชั่วพริบตาใบหน้าก็บิดเบี้ยว
หลิ่วหมิงที่อยู่ห่างไปหลายลี้ด้านหน้าขี่กระบี่อ้อมยอดเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่งตรงหน้า ทันใดนั้นหุบเขาสูงต่ำทอดยาวก็ปรากฏเบื้องหน้า
เขากวาดสายตามองรอบด้าน บนใบหน้าพลันปรากฏสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
เมฆสีดำก้อนแล้วก้อนเล่าลอยล่องอยู่ใกล้หุบเขา แผ่ปราณหยินเสียดแทงกระดูกออกมา ที่นี่ไม่ใช่เนินหลิงจิ้วที่เขาเคยมาหรอกหรือ
เขาใช้วิชาลับอย่างไม่เลือก หนีเอาชีวิตรอดมาตลอดทางจนเหาะมาถึงที่นี่อย่างคิดไม่ถึง!
อาจเพราะสงคราม เวลานี้กำลังพลที่เฝ้าเนินหลิงจิ้วจึงผละจากไปทั้งหมด เหมือนจะเหลืออยู่แต่ชั้นจำกัดด้านล่าง
ดวงตาของหลิ่วหมิงเปล่งประกาย ขณะที่กำลังจะเหาะเร็วไวผ่านที่แห่งนี้ไป ทันใดนั้นเขาก็หน้าถอดสี เขาหันหลังกลับไปเห็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งที่มีประกายแสงสีแดงแทรกอยู่กำลังย่นระยะห่างระหว่างทั้งสองเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจ ลำแสงสีเขียวก็มาอยู่ห่างด้านหลังเขาไม่กี่ร้อยจั้งแล้ว
จากนั้นแถบแสงสีเขียวสายหนึ่งก็พุ่งพรวดมาพร้อมเสียงกึกก้องดั่งจะฉีกผืนนภา ฟันลงมาที่ศีรษะของเขา
หลิ่วหมิงหน้าถอดสี ปีกเนื้อบนแผ่นหลังกระพืออย่างแรงครั้งหนึ่ง ทั้งร่างพลันกลายเป็นประกายแสงสีเงินสายหนึ่งโฉบหลบไปด้านข้าง
ฉึบ!
แม้หลิ่วหมิงจะหลบได้เร็ว แต่ปีกข้างหนึ่งก็ยังถูกแถบแสงสีเขียวกรีดเป็นแผลใหญ่เส้นหนึ่ง โลหิตสีฟ้าทะลักออกมา
หลิ่วหมิงเคร่งเครียด พลังเวทในร่างไหลรุมไปในปีกเนื้อ บาดแผลที่ฉีกขาดเริ่มสมาน ทว่าตอนนี้เขาไม่อาจใช้เคล็ดวิชาเกราะอสูรเพิ่มความเร็วได้แล้ว
“ทำให้ข้าเสียเวลามากมายเช่นนี้แล้วยังต้องเสียโอสถโลหิตยมโลกอันล้ำค่าไปเม็ดหนึ่ง! เจ้าหนู มอบอสูรเลี้ยงของเจ้าให้ข้าแล้วข้าจะให้เจ้าเหลือศพครบร่าง!” เงาร่างหนึ่งโผล่มา ผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกปรากฏตัวด้านหลังหลิ่วหมิงห่างไปไม่กี่สิบจั้ง เวลานี้บนร่างของเขามีประกายสีเลือดจางๆ วนเวียนอยู่ ดวงตาทอแสงสีแดงเลือนรางแลดูประหลาดยิ่งนัก
หลิ่วหมิงสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุด หลังจากแน่ใจว่าตนไม่อาจใช้วิชาหลบหนีสลัดอีกฝ่ายได้แล้ว เขาจึงแค่นเสียงหยันออกมาคำหนึ่ง แสงจิตวิญญาณส่องสว่างในมือ ธงสีฟ้าผืนหนึ่งปรากฏออกมา
“รนหาที่ตาย!”
ผีแม่ทัพใหญ่เกราะกระดูกเห็นการกระทำในยามนี้ของหลิ่วหมิง ดวงตาพลันเปล่งแสงสีแดง แขนยกขึ้นตบอากาศ มือยักษ์สีดำขนาดหนึ่งหมู่กว่าข้างหนึ่งปรากฏเหนือศีรษะของหลิ่วหมิงพร้อมพลังมหาศาล แล้วตบลงมาอย่างรวดเร็ว