ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1064 หุ่นกระดูก
เผ่ายมโลกร่างเตี้ยอีกตนหนึ่งก็เรียกกรงเล็บอสูรสีดำขนาดหนึ่งจั้งกว่าสองข้างออกมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ พวกมันพุ่งแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็ว
แสงสีดำยาวหลายฉื่อพุ่งพรวดออกมาจากกรงเล็บอสูรข้างหนึ่ง ฟึบ จุดที่แสงสีดำพุ่งผ่าน แสงกระบี่สีเทาหลายเส้นเบื้องหน้าพลันถูกตะปบกระจุยเป็นชิ้นๆ
กรงเล็บอสูรอีกข้างหนึ่งทอประกายอยู่ครู่หนึ่ง แสงกรงเล็บสีดำหลายเส้นพลันดีดออกมา ประกายเย็นเยียบพุ่งเข้าใส่ข้างลำตัวของหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว หมายจะปิดทางหนีทั้งหมดของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเผชิญหน้ากับฉาบสีดำแล้วยังมีแสงกรงเล็บกระหนาบโจมตี แต่เขาไม่เผยสีหน้าตื่นตระหนก มือข้างหนึ่งใช้เคล็ดวิชา ปราณดำบนร่างเพิ่มพรวด เงาบางอย่างผลุบโผล่อยู่ท่ามกลางปราณสีดำ
เสียงพยัคฆ์คำรามสะเทือนแก้วหูแทบดับดังขึ้น!
สายลมกรรโชกหอบพัด พยัคฆ์หมอกสีดำมหึมาสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งกระโจนออกมาจากหมอกสีดำ
เสียงฉึบดังสนั่น!
แสงกรงเล็บที่ดีดออกมาจากกรงเล็บอสูรพุ่งวูบเดียวตะปบลงบนร่างของพยัคฆ์หมอก ทว่าทิ่มลงไปเพียงครึ่งฉื่อก็ไม่อาจแทรกเข้าไปได้อีก
ผู้ฝึกฝนร่างเตี้ยเห็นเช่นนี้ ใบหน้าพลันปรากฏสีหน้าประหลาดใจน้อยๆ
หลิ่วหมิงกลับยกมือข้างหนึ่งตบลงบนอากาศ ประกายเย็นเยียบพุ่งออกจากฝ่ามือ กระบี่สีเทายาวสามฉื่อกว่าเล่มหนึ่งโผล่ออกมา บนผิวมีปราณสีเทาวนเวียน มันก็คืออาวุธยมโลกกระบี่วิญญาณมืดแม่ลูก!
ข้อมือสะบัดวูบหนึ่ง ปราณกระบี่สีเทาหนาเจ็ดแปดเส้นพลันพุ่งทแยงขึ้นด้านบน แทงลงบนฉาบสีดำที่อยู่เหนือศีรษะ ปราณกระบี่กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าส่งเสียงดังเคร้งๆ แหลมแสบแก้วหูทันที
ฉาบสีดำถูกปราณกระบี่โจมตีก็สั่นไหวอย่างรุนแรงกลางอากาศแล้วชะลอความเร็วลงทันที เหมือนจะถูกฟันร่วง
หลิ่วหมิงไม่มีเวลาคิดมาก เขาฉวยโอกาสนี้ขยับตัว ทั้งร่างพุ่งฉิวดุจลูกธนูไปด้านข้าง ฉาบสีดำเฉียดผ่านหัวไหล่ของเขาไป
ขณะที่หลิ่วหมิงลอยอยู่กลางอากาศ กระบี่วิญญาณมืดแม่ลูกในมือก็สั่นเบาๆ แล้วระเบิดปราณกระบี่สีเทาหลายสิบเส้นพาดตัดกันล้อมเข้าไปหาเผ่ายมโลกร่างสูงกับร่างเตี้ยสองตนนั้น
ดวงตาของเผ่ายมโลกร่างสูงใหญ่ฉายแววโกรธเกรี้ยว เขายกแขนเสื้อขึ้น แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านใน นั่นเป็นฉาบสีดำอีกใบหนึ่งที่เหมือนกับก่อนหน้านี้ทุกประการ เหมือนจะเป็นคู่กัน
ฉาบสองใบสั่นรุนแรงกลางอากาศแล้วหมุนติ้ว คลื่นแสงสีดำรูปจันทร์เสี้ยวนับไม่ถ้วนถาโถมออกมา พวกมันปะทะกับปราณกระบี่สีเทาที่พุ่งเข้ามาเร็วจี๋ ยากจะตัดสินแพ้ชนะ
อีกด้านหนึ่ง เผ่ายมโลกร่างเตี้ยแค่นเสียงหยันขณะที่สองมือทำท่าเคล็ดวิชา กรงเล็บอสูรสีดำสองข้างหมุนวนกลางอากาศรอบหนึ่งก่อนจะกลายเป็นพายุปีศาจสีดำสองลูกประจันหน้าเข้าหาปราณกระบี่สีเทามากมาย
สายลมพัดหวีดหวิวเสียงดัง พายุปีศาจสีดำสองสายกับปราณกระบี่สีเทาเกี่ยวกระหวัดกันกลายเป็นสีดำผืนใหญ่ ปิดฟ้าบังตะวันทำให้คนไม่อาจมองเห็นสิ่งใด
แต่ไม่ว่าผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกร่างสูงกับร่างเตี้ยทั้งสองตนจะโจมตีรุนแรงอย่างไร หลิ่วหมิงกลับอาศัยเพียงวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกับกระบี่บินเล่มหนึ่งที่คอยวนเวียนอยู่รับมือทุกการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด
เมื่อผู้เฒ่าชุดดำกับชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินที่โรมรันอยู่กับปี้เหยียนไม่ไกลเห็นภาพนี้เข้า ดวงตาพลันทอแสงเจิดจ้าวูบหนึ่ง ไม่ทราบว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ระหว่างการต่อสู้อันดุเดือด ร่างกายของหลิ่วหมิงค่อยๆ ขยับทีละนิด เริ่มเคลื่อนออกไปไกลอย่างเชื่องช้า เหมือนจะเจตนาแต่ก็เหมือนไม่เจตนา เขาค่อยๆ ออกห่างจากใจกลางของสนามรบ
บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าจากเมืองหานสุ่ยยืนอยู่เพียงลำพังกลางท้องฟ้า เขามองการรบชุลมุนด้านล่างแล้วร้อนรนยิ่งนัก
นับตั้งแต่ลงมือจู่โจมขบวนบรรณาการของเมืองเหลิ่งเยวี่ยจนถึงตอนนี้เวลาผ่านไปไม่น้อยแล้ว เดิมคิดว่าจะเอาชนะศึกได้อย่างง่ายดาย แต่เหมือนจะไม่ราบรื่นเช่นนั้น
แม้ตอนนี้ดูเหมือนกองทัพใหญ่เผ่ายมโลกของเมืองหานสุ่ยกับเลี่ยเยี่ยนจะได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง แต่ในเมื่อเหลิ่งเหมิงยังคงรับมือสถานการณ์อย่างใจเย็นอยู่ย่อมไม่อาจถล่มกองทัพทั้งห้าที่ปกป้องเขาอยู่นี้ให้สิ้นซากได้
มีกองทัพเหล่านี้ติดพันอยู่ รวมกับพลังระดับแก่นแท้ขั้นสูงสุดของเหลิ่งเหมิงและไพ่ก้นหีบที่ยังไม่ได้ใช้ เห็นชัดว่าไม่อาจจัดการเขาอย่างแท้จริงได้
หลานซวี่เลื่อนสายตาไปมองท้องฟ้าฝั่งตรงข้ามแล้วแค่นเสียงหยันออกมาอย่างห้ามไม่ได้
หญิงสาวชุดเงินจากเมืองเลี่ยเยี่ยนกำลังก้มมองเบื้องล่างด้วยสีหน้าเฉยชา ข้างกายมีผู้คุ้มกันเผ่ายมโลกระดับแก่นแท้เจ็ดถึงแปดตนยังไม่ลงมือ
เป้าหมายของหญิงสาวอาภรณ์สีเงินผู้นี้ หลานซวี่รู้ดีแก่ใจ แต่ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้แล้วว่าอีกฝ่ายจะรับผิดชอบช่วยเหลือเท่านั้น อีกทั้งหลังเสร็จศึกก็ต้องการเพียงรถภูตค้างคาวห้าลำของเมืองเหลิ่งเยวี่ย นี่จึงทำให้เขาไม่อาจทำอันใดได้
ของบรรณาการที่เมืองเหลิ่งเยวี่ยจะมอบให้ราชายมโลกครั้งนี้ มีสมบัติชิ้นหนึ่งที่เจ้าเมืองหานสุ่ยต้องเอามาให้ได้ มิเช่นนั้นเขาไยต้องเสี่ยงบุกมาเช่นนี้ สมบัติชิ้นนี้จะต้องอยู่ที่ตัวเหลิ่งเหมิงแน่ ส่วนผู้คุ้มกันเผ่ายมโลกธรรมดาเหล่านี้รอบตัวเขา ฆ่าได้มาก ฆ่าได้น้อย เขาไม่สนใจแม้แต่นิด
“ยืดเยื้อนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว…”
ในใจบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าตัดสินใจทันที มือข้างหนึ่งล้วงในอกเสื้อ เมื่อดึงมือออกมา ในมือก็มีแผ่นเหล็กขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่ง บนนั้นมีหมอกสีดำลอยวนเวียน มองหน้าตาที่แท้จริงไม่ชัด
เขายกมือขึ้นโยนแผ่นเหล็กออกไป หลังจากนั้นจึงทำท่าเคล็ดวิชา พร้อมกับท่องมนตร์
แผ่นเหล็กสีดำส่งเสียงครวญครั้งหนึ่งกลางอากาศ ต่อจากนั้นมันก็โต้ลมขยายขึ้นจนมีขนาดหลายสิบจั้ง ปราณสีดำด้านบนสลายไปเผยให้เห็นผิวของแผ่นเหล็กที่สลักรูปหุ่นกระดูกยักษ์ตัวหนึ่งที่แวววาวทั้งตัวและดูราวกับมีชีวิตเอาไว้
หุ่นกระดูกตัวนี้แม้หน้าตาเหมือนโครงกระดูกมนุษย์ แต่บนหัวมีเขาโค้งงอกอยู่คู่หนึ่งจนเหมือนผีร้าย ดูแล้วโหดเหี้ยมน่าหวาดกลัว สองมือว่างเปล่าไม่ได้ถืออาวุธใดไว้
อึดใจต่อมาหุ่นกระดูกตัวนี้ก็คำรามแผ่วเบาเดินออกมาจากแผ่นเหล็ก
ทันทีที่มันปรากฏตัว คลื่นแรงกดดันจิตวิญญาณอันรุนแรงพลันแผ่ออกมาจากร่าง อากาศรอบด้านเกิดคลื่นจางๆ วงแล้ววงเล่าขึ้นในทันใด
บุรุษร่างยักษ์ชุดสีฟ้าสีหน้าเคร่งขรึม สิบนิ้วที่สองมือแปรเปลี่ยนไม่หยุดยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าลงบนหัวของหุ่น
ดวงตาของโครงกระดูกหัวผีค่อยๆ เปล่งแสงสีเลือดออกมาสองจุด ร่างกายขยับยกเท้าวิ่งตรงมายังสนามรบเบื้องล่าง แต่ละก้าวที่เหยียบย่าง รอบตัวหุ่นหัวผีก็มีอักขระโบราณนับไม่ถ้วนลอยออกมา หมุนวนเวียน ทันใดนั้นร่างกายก็ใหญ่ขึ้นอีกหลายส่วน
เมื่อโครงกระดูกหัวผีมาใกล้สนามรบ ร่างกายก็ใหญ่จนเกือบสองร้อยจั้งประหนึ่งภูเขายักษ์ลูกหนึ่ง บนร่างแผ่แรงกดดันจิตวิญญาณระดับดาราพยากรณ์ออกมา ร่างกายมโหฬารทอดเงาดำผืนใหญ่ ทับผู้ฝึกฝนเมืองเหลิ่งเยวี่ยกับเมืองหานสุ่ยที่กำลังรบกันชุลมุนด้านล่าง
“นำโครงกระดูกราชาผีจวี้หลิงมาทำเป็นหุ่นกระดูกระดับดาราพยากรณ์ ฮ่าๆ ….เจ้าเมืองหานสุ่ยตัดใจลงเสียด้วย!”
สายตาของหญิงสาวอาภรณ์สีเงินที่อยู่บนท้องฟ้าอีกด้านหนึ่งของสงครามจับอยู่บนร่างหุ่นกระดูกหัวผีขนาดยักษ์ แล้วเบ้ปากเอ่ยขึ้นมา
เหลิ่งเหมิงที่เมื่อครู่เพิ่งส่งผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้อีกสามตนออกไป เวลานี้อยู่ตรงกลางกองทัพทั้งห้าของเมืองเหลิ่งเยวี่ยตามลำพัง เมื่อเห็นหุ่นกระดูกหัวผีขนาดยักษ์ปรากฏตัวขึ้น สีหน้าพลันบึ้งตึง ในดวงตาทอประกายเย็นเยียบอย่างประหลาด
……
บนท้องฟ้าห่างจากพวกเหลิ่งเหมิงไปร้อยจั้ง ที่ตรงนี้เป็นขอบนอกสุดของการรบ
เวลานี้หลิ่วหมิงกำลังประจันหน้ากับเผ่ายมโลกระดับแก่นแท้ร่างสูงกับร่างเตี้ยจากเมืองเลี่ยเยี่ยนอยู่ไกลๆ สองตนฝั่งตรงข้ามควบคุมอาวุธยมโลกในมือส่งการโจมตีนานาชนิดใส่หลิ่วหมิงไม่หยุดหย่อน
แต่หลิ่วหมิงอาศัยเพียงกระบี่วิญญาณมืดเล่มแม้เพียงเล่มเดียวสร้างเงากระบี่สีเทาสายแล้วสายเล่า พร้อมกับที่ร่างกายร่อนไปมารอบด้านไม่หยุดก็ป้องกันได้อย่างหมดจด แล้วยังปล่อยพยัคฆ์หมอกกับมังกรหมอกตัวสองตัวโจมตีเสียงดังสนั่นได้เป็นระยะ
แม้ดูจากสถานการณ์แล้ว เผ่ายมโลกระดับแก่นแท้ทั้งสองตนจะเป็นฝ่ายเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ว่าทั้งสองจะโจมตีต่อเนื่องอย่างไร หลิ่วหมิงก็ยังรับได้ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่สับสนสักนิด
นี่ทำให้ผู้ฝึกฝนร่างสูงกับร่างเตี้ยทั้งตกตะลึงทั้งเกรี้ยวกราด ชั่วขณะหนึ่งทำอันใดไม่ได้
ทว่าเวลานี้เองร่างของหุ่นกระดูกหัวผีขนาดยักษ์ก็สาดแรงกดดันจิตวิญญาณระดับดาราพยากรณ์ออกมาจากไกลๆ หลังจากหลิ่วหมิงสัมผัสได้ ในที่สุดก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
“นี่มันหุ่นกระดูก!”
หลิ่วหมิงเหลือบมองไวๆ ไปทางโครงกระดูกยักษ์ที่อยู่ไกลๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหุ่นกระดูกกับตาตนเองนับตั้งแต่เขามาถึงยมโลกแห่งนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นตัวที่พลังระดับดาราพยากรณ์
ผู้ฝึกฝนร่างสูงกับร่างเตี้ยสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน พวกเขาชะลอการโจมตีที่พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงแล้วหันศีรษะไปมองอย่างตระหนกระคนสงสัย
บนท้องฟ้าอีกด้านหนึ่ง ปี้เหยียนที่กำลังควบคุมเส้นไหมสีเขียวซึ่งกระจายออกมาจากทั่วร่างป้องกันการโจมตีของผู้เฒ่าชุดดำกับชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินอยู่ก็มองไปยังหุ่นกระดูกหัวผีขนาดยักษ์ที่อยู่ไกลๆ เช่นเดียวกัน บนใบหน้าเหมือนจะปรากฏสีหน้าสนุกอยู่นิดๆ
บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าใช้วิชาเสร็จ ใบหน้าก็เผยสีหน้าเหนื่อยล้า แต่อารมณ์ที่มีมากกว่าคือความตื่นเต้นยินดี ดวงตาทอประกายเย็นเยียบวูบหนึ่งพลันโบกมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกไปไกล
หุ่นกระดูกหัวผีขนาดยักษ์สองตาเจิดจ้าดุจเปลวเพลิง ทันใดนั้นมันก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ห้านิ้วกางออก ฝ่ามือยักษ์ขนาดเท่าตึกตบลงบนกระบวนทัพรูปวงกลมทัพหนึ่งที่ผู้ฝึกฝนจากเมืองเหลิ่งเยวี่ยรวมตัวกันอยู่
หัวหน้าระดับแก่นแท้ที่อยู่ตรงดวงตาค่ายกลด้านในกระบวนทัพเห็นเช่นนี้ สีหน้าพลันซีดเผือด เมื่อเห็นฝ่ามือยักษ์กำลังจะร่วงลงมา เขาได้แต่กัดฟันคำรามเสียงดัง รวบรวมพลังเวททั้งหมดของกองทัพส่งลำแสงสีดำมหึมาหนาเท่าถังน้ำสิบกว่าเส้นออกไปโจมตีฝ่ามือยักษ์ที่ร่วงลงมาของหุ่นผียักษ์
บึ๊ม!
บนท้องฟ้าราวกับมีอสนีบาตฟาดลงมา แสงแสบตาระเบิดดวงแล้วดวงเล่า พร้อมกับคลื่นพลังเวทรุนแรงแผ่กว้าง กระแทกผู้ฝึกฝนเมืองหานสุ่ยรอบด้านจนร่างกายโงนเงน หน้าถอดสีพากันถอยหลังไปชั่วคราว ทว่าฝ่ามือใหญ่โตของหุ่นผียักษ์สั่นไหวเพียงเบาๆ ก็โจมตีลำแสงสีดำสิบกว่าสายพังทลายแล้วตบลงใจกลางกระบวนทัพของเมืองเหลิ่งเยวี่ยอย่างรุนแรงประหนึ่งตบแมลงวัน
กระบวนทัพที่ประกอบด้วยผู้ฝึกฝนของเมืองเหลิ่งเยวี่ยร้อยกว่าตนแตกกระจาย เผ่ายมโลกที่พลังค่อนข้างต่ำไม่น้อยอ้าปากกระอักเลือดคำแล้วคำเล่า ร่างกายถูกกระแทกปลิวไปไกลทันทีจากนั้นก็ถูกแรงล่องหนอันมหาศาลอัดจนร่างฉีกเป็นชิ้นๆ กลางอากาศ
ชั่วขณะหนึ่งเสียงครวญครางดังระงม!
หุ่นกระดูกระดับดาราพยากรณ์ตัวนี้โจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทำลายกองทัพของเมืองเหลิ่งเยวี่ยไปได้หนึ่งกองทัพ
การโจมตีนี้ทำลายความมุ่งมั่นที่จะต่อต้านของเผ่ายมโลกเมืองเหลิ่งเยวี่ยแตกยับเยิน ผู้คุ้มกันเผ่ายมโลกสี่กองทัพที่เหลือมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก พวกเขาล้วนมองเห็นแววตาหวาดกลัวในดวงตาของอีกฝ่าย
แม้พวกเขาลำบากนักกว่าจะต้านมาได้จนถึงตอนนี้ แต่ยามนี้เผชิญหน้ากับหุ่นกระดูกยักษ์ที่พลังเหนือกว่าจินตนาการมหาศาล พวกเขาแทบมองไม่เห็นความหวังอย่างสิ้นเชิง
ในดวงตาของหัวหน้าทั้งสี่ตนมีความคิดอยากถอยหนีปรากฏขึ้นดุจเดียวกัน พวกเขาหันหน้าไปมองเหลิ่งเหมิงที่ยืนอยู่ตรงกลางพร้อมกันโดยไม่ได้นัด
เหลิ่งเหมิงมองโครงกระดูกยักษ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขายังไม่มีท่าทีจะลงมือ
“หนีเร็ว!”
เมื่อเห็นสีหน้าเช่นนี้ของเหลิ่งเหมิง ไม่รู้ว่าใครตะโกนลั่นออกมาคำหนึ่ง ทันใดนั้นเผ่ายมโลกหลายร้อยตนของเมืองเหลิ่งเยวี่ยก็หนีไปทุกทิศทุกทางราวกับรังแตก