ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1089 ภูตแดง
ห้องขนาดเพียงสิบกว่าจั้ง ด้านในมีค่ายกลเคลื่อนย้ายรูปวงกลมที่จุได้ราวสิบคนอยู่ค่ายกลหนึ่ง เบื้องหน้าค่ายกลมีเผ่ายมโลกวัยกลางคนหัวโล้นที่สวมชุดเกราะสีเขียวหยกนั่งขัดสมาธิอยู่ตนหนึ่ง
เมื่อเขาเห็นปี้เหยียนก็สะดุ้งลุกขึ้นทันที สองมือประสานกันอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
ทว่ายังไม่ทันที่เผ่ายมโลกวัยกลางคนหัวโล้นจะเอ่ยปาก ปี้เหยียนก็ล้วงป้ายสีเขียวอมฟ้าแผ่นหนึ่งออกมาแกว่งตรงหน้าเขา
“ที่แท้ท่านปี้เหยียนนี่เอง!”
เผ่ายมโลกวัยกลางคนหัวโล้นเห็นเช่นนี้จึงคำนับปี้เหยียนครั้งหนึ่ง แล้วไม่ถามตัวตนของพวกหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหลังอีก เขาหมุนตัวไปโบกมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งใส่ค่ายกลเคลื่อนย้าย
แสงสีขาวส่องสว่าง ค่ายกลเคลื่อนย้ายทำงานทันที
“ไปเถอะ”
ปี้เหยียนไม่พูดมากพาพวกหลิ่วหมิงไปยืนในค่ายกลเคลื่อนย้าย
ท่ามกลางแสงสีขาว ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนไปวูบหนึ่ง หลังจากนั้นทุกคนก็ปรากฏตัวบนแท่นศิลากลางแจ้งแท่นหนึ่ง
ต่อจากนั้นปี้เหยียนก็นำพวกหลิ่วหมิงไปใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายอีกหลายต่อหลายค่ายกล
หนึ่งวันเต็มๆ คณะเดินทางก็มาอยู่ที่เทือกเขาเตี้ยแห่งหนึ่งห่างจากเมืองปี้โยวไม่รู้กี่หมื่นลี้
“หลังจากซวีหลิงผู้นั้นหลบหนีไป เผ่าภูตสูญทั้งหมดก็ทรยศหนีไปด้วย จากข่าวที่ได้มาตอนนี้ ลูกหลานที่เหลืออยู่ของเผ่าภูตสูญซ่อนตัวอยู่ใน ‘เผ่าภูตแดง’ ที่อยู่ในเทือกเขาแถบนี้ ห่างจากที่นี่อีกหมื่นกว่าลี้ พลังแฝงกายชนิดนั้นของเผ่าภูตสูญพิสดารหยั่งไม่ถึง ไม่เพียงแฝงกายบนร่างสิ่งมีชีวิตโดยไม่ถูกจับได้ ภูตสูญระดับแก่นแท้ยังแฝงกายไปกับสิ่งต่างๆ เช่นก้อนหิน ต้นไม้ใหญ่ได้อีกด้วย ทำให้คนป้องกันไม่ทัน ดังนั้นหนทางต่อจากนี้พวกเราต้องระวังให้มาก” ปี้เหยียนเอ่ยกับพวกหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
พวกหลิ่วหมิงฟังจบก็มองหน้ากันแล้วทยอยพยักหน้า เผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหัวพยัคฆ์เวลานี้เก็บสีหน้าหยิ่งทะนงไปแล้ว
“ข้ามีเรือหมอกภูตลำหนึ่ง มีความสามารถในการเปลี่ยนรูปร่างและซ่อนตัว ต่อจากนี้พวกเรานั่งของสิ่งนี้เดินทางเถิด” ปี้เหยียนน้ำเสียงผ่อนคลายลงแล้วโบกมือ แสงสีเทาเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากร่างของเขาแล้วกลายเป็นเรือเหาะทรงกลมแบนที่ยาวหลายจั้งลำหนึ่ง
เรือเหาะลำนี้ตลอดทั้งลำเป็นสีขาวอมเทา ด้านข้างลำเรือสลักลวดลายจิตวิญญาณโบราณรูปร่างคล้ายเมฆหมอกไว้หลายต่อหลายดวง พวกมันส่องแสงสีเทาออกมาเรืองๆ
ปี้เหยียนท่องมนตร์แล้วโบกมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกไป ลวดลายจิตวิญญาณเมฆหมอกเหล่านั้นฉับพลันทอแสงสว่าง เมฆหมอกสีเทาผืนใหญ่ผุดออกมาล้อมเรือเหาะเอาไว้ด้านใน มองจากด้านนอกเหมือนเมฆสีเทาทั่วไปบนท้องฟ้า เพียงแต่มีคลื่นพลังเวทเบาบางอย่างยิ่งแผ่ออกมาจากด้านในเท่านั้น
หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย เห็นชัดว่าเรือเหาะลำนี้เป็นระดับต้นแบบอาวุธเวท พูดถึงความสามารถในการซ่อนตัวเหนือกว่าเรือหยกจันทราของเขาอย่างที่เทียบไม่ติด
“ไปเถอะ!” ปี้เหยียนทะยานร่างขึ้นไปบนเรือเหาะ เผ่ายมโลกตนอื่นก็เหาะตามขึ้นไปด้วย
เมฆสีเทาบนท้องฟ้าลอยวนเป็นวงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเหาะเร็วรี่ไปทางทิศหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ความเร็วค่อนข้างเร็วทีเดียว ไม่ต่างกับลำแสงของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั่วไปเท่าไร
ท้องนภาของยมโลกเป็นหมอกสีเทาขมุกขมัวเสมออยู่แล้ว หลังจากก้อนเมฆสีเทาลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ระดับหนึ่งจึงซ่อนร่องรอยได้แทบจะสมบูรณ์แบบ
ทั้งเจ็ดตนบนนั้นนั่งพิงกราบเรือกลับแลดูไม่เบียดเสียดนัก
“พี่ปี้เหยียนไม่เสียทีเป็นคนสนิทของท่านปี้โยว ถึงขั้นมีเรือเหาะที่เหมาะแก่การเดินทางอย่างลับๆ เช่นนี้อยู่ด้วย” สายตาของเผ่ายมโลกครึ่งแมลงมองสำรวจเรือเหาะเล็กน้อยแล้วเอ่ยชื่นชม
“พี่ชื่อหูชมเกินไปแล้ว เผ่าตัวริ้นของพวกท่านทรัพย์สมบัติมหาศาล สมบัติเช่นไรไม่เคยเห็นบ้าง เรือเหาะลำน้อยนี่ของข้านับเป็นอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น” ปี้เหยียนหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างเกรงใจ
เผ่ายมโลกครึ่งแมลงหัวเราะหึๆ แล้วไม่พูดสิ่งใดอีก
“ตอนนี้มีเวลานิดหน่อย ข้าจะบอกลำดับแผนการในการจับกุมซวีหลิงผู้นั้นให้ฟัง…” ปี้เยียนบังคับเรือเหาะให้เคลื่อนไปข้างหน้าแล้วเอ่ยกับพวกหลิ่วหมิงไปด้วย
พวกหลิ่วหมิงได้ยินก็พากันจดจ่อสมาธิตั้งใจฟัง
ด้วยความเร็วของเรือเหาะ พวกเขาจึงเหาะผ่านระยะทางหมื่นกว่าลี้ได้รวดเร็วยิ่งนัก
เกือบครึ่งชั่วยามให้หลัง ก้อนเมฆสีเทาก็หยุดอยู่หลังเทือกเขามหึมาลูกหนึ่ง
“เผ่า ‘ภูตแดง’ นั่นซ่อนตัวอยู่อีกด้านหนึ่งของเทือกเขาแห่งนี้ ทุกท่านอย่าใช้จิตสัมผัสค้นหา เผ่าภูตสูญไวต่อการใช้จิตสัมผัสค้นหาเป็นพิเศษ” ปี้เหยียนกวาดสายตามองเบื้องหน้าแล้วเอ่ยเสียงเบา
พวกหลิ่วหมิงพยักหน้า ผู้ฝึกฝนอิสระเผ่ายมโลกสามตนในกลุ่มเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมาเล็กน้อย เมื่อครู่ทั้งสามตนกำลังจะปล่อยจิตสัมผัสออกไปสำรวจรอบด้านอยู่พอดี
ปี้เหยียนโบกมือ ก้อนเมฆสีเทาลอยลงไปด้านล่างอย่างเงียบเชียบแล้วเหาะไปยังที่ราบระหว่างภูเขาที่ซ่อนอยู่มิดชิดแห่งหนึ่ง ในตอนที่ใกล้จะถึงก้นหุบเขานั่นเอง อากาศรอบบด้านพลันไหวกระเพื่อมเป็นระลอก จากนั้นเมฆสีเทาก็ผลุบเข้าไปด้านในแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ภายในที่ราบระหว่างภูเขาแห่งนี้มีชั้นจำกัดซ่อนเอาไว้!
ด้านในที่ราบระหว่างภูเขา เมฆหมอกสีเทากระจายออกเผยให้เห็นร่างคณะเดินทางของปี้เหยียน
ต่อจากนั้นปี้เหยียนก็ยกมือกวัก เรือเหาะกลายเป็นเงาสีเทาสายหนึ่งลอยเข้าไปในแขนเสื้อของปี้เหยียนแล้วหายไปทันที
หลิ่วหมิงเงยหน้ามองสำรวจแล้วพบว่ารอบด้านค่อนข้างวังเวง สิ่งที่เห็นในสายตาล้วนเป็นก้อนหินใหญ่ยักษ์ที่วางกองระเกะระกะ
บนหน้าผาไม่ไกลมีถ้ำสูงกว่าตัวคนเล็กน้อยอยู่ถ้ำหนึ่ง เหนือศีรษะมีม่านแสงสีน้ำเงินอ่อนชั้นหนึ่งกางอยู่
ในตอนนี้เองลำแสงสีขาวสายหนึ่งก็เหาะออกมาจากถ้ำภูเขา มันกะพริบวูบเดียวก็มาโผล่ตรงหน้าพวกหลิ่วหมิง เมื่อแสงดับลงก็กลายเป็นผู้เฒ่าผมขาวผู้หนึ่ง
“พี่ปี้ ในที่สุดพวกท่านก็มาแล้ว!” ผู้เฒ่าผมขาวเห็นพวกปี้เหยียนก็ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นสายตาก็จับอยู่บนร่างของพวกหลิ่วหมิง
“ผู้นี้คือ ‘ฉีซาน’ สหายในกองทัพวารีมืดของข้า เขารับผิดชอบจับตาการเคลื่อนไหวของเผ่าภูตสูญอยู่ที่นี่” ปี้เหยียนแนะนำกับพวกหลิ่วหมิงสั้นๆ ประโยคหนึ่ง
พวกเผ่ายมโลกครึ่งแมลงประสานมือคำนับผู้เฒ่าผมขาว เมื่อหลิ่วหมิงมองมาทางผู้เฒ่าผมขาว ในดวงตาก็มีแววตาประหลาดใจพาดผ่าน
หากเขาเดาไม่ผิด ตอนนั้นในหอแขกพิเศษของหอรุ่ยโยว คนผู้นี้ก็คงอยู่ในห้องด้วย
“พี่ฉี ฟังจากน้ำเสียงของท่านเมื่อครู่ เหมือนที่นี่จะเกิดอะไรขึ้นสินะ?” หลังจากทั้งสองฝ่ายแนะนำตัวเสร็จ ปี้เหยียนก็เอ่ยถามทันที
“อืม หลายวันนี้ข้าสังเกตเผ่าภูตอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าซวีหลิงจับสังเกตอันใดได้หรือไม่ สองวันมานี้เผ่าภูตแดงจึงเรียกคนในเผ่าที่อยู่ข้างนอกทั้งหมดกลับมา ข้าเกรงจะแหวกหญ้าให้งูตื่นจึงไม่กล้าสืบมากเกินไป โชคดีที่พวกท่านมาทันเวลา ซวีหลิงผู้นั้นน่าจะยังอยู่ที่นี่” ผู้เฒ่าผมขาวขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเคร่งขรึม
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี!”
ปี้เหยียนผ่อนลมหายใจ จากนั้นหมุนตัวไปเอ่ยกับพวกหลิ่วหมิง
“ซวีหลิงผู้นี้เจ้าเล่ห์เกินไปแล้วจริงๆ งานไม่สมควรชักช้า พวกเราลงมือตามแผนตอนนี้เลยเถิด”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวกลายเป็นแสงสีเขียวเส้นหนึ่งเหาะออกไปนอกที่ราบระหว่างภูเขาอย่างรวดเร็ว ผู้เฒ่าผมขาวตามหลังไปติดๆ พวกหลิ่วหมิงย่อมรีบเร่งติดตามไปเช่นกัน
มาถึงขั้นนี้ไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนร่องรอยอีกแล้ว คนทั้งกลุ่มเหาะเร็วไวเต็มกำลัง บินข้ามเทือกเขาอย่างรวดเร็วแล้วหยุดอยู่บนท้องฟ้าเหนือพื้นที่แอ่งกระทะระหว่างภูเขาแห่งหนึ่ง
แอ่งกระทะกว้างขวางอย่างยิ่ง รอบด้านล้วนเป็นภูเขาสูงทอดเป็นแนว ใจกลางเว้าเป็นแอ่ง มีสิ่งก่อสร้างทรงรีหยาบๆ อยู่แถบใหญ่ สิ่งก่อสร้างไม่น้อยในนั้นมีปราณดำสายแล้วสายเล่าผุดออกมาไม่หยุด ทำให้ท้องฟ้าเหนือแอ่งกระทะทั้งหมดถูกปราณสีดำหนาทึบชั้นหนึ่งปกคลุมเอาไว้ แลดูไร้ชีวิตชีวา
คลื่นพลังเวทอันแข็งแกร่งยามพวกหลิ่วหมิงเหาะมาอย่างรวดเร็วแผ่กระจายออกไปทันที เสียงร้องเตือนภัยดังขึ้นในหมู่บ้านของเผ่าภูตแดง ภูตผีที่มีปราณสีดำเบาบางรายล้อมรอบร่างสิบกว่าตนเหาะออกมาสิ่งก่อสร้างหลายหลัง
ภูตแดงเหล่านี้ร่างกายคล้ายคลึงกับเผ่ายมโลกทั่วไป แต่ไม่ว่ามองจากมุมไหนก็ล้วนเห็นแต่เงาสีดำสนิท มองเห็นหน้าตาไม่ชัด
จากลมปราณที่แผ่ออกมาบนร่างภูตผีสิบกว่าตัวนี้ ตนที่ระดับสูงสุดเพิ่งจะระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลายเท่านั้น พวกมันเหมือนจะสัมผัสแรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากตัวพวกหลิ่วหมิงได้ ทันทีที่ปรากฏตัวจึงพากันชะงักอยู่ที่เดิม หยุดนิ่งไม่เคลื่อนมาข้างหน้า
ปี้เหยียนโบกมือ หลิ่วหมิงกับพวกผู้เฒ่าชุดสีน้ำเงินสามคนเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายขยับวูบเดียวก็แยกย้ายกันร่อนลงไปเหนือใต้ออกตกสี่ทิศของแอ่งกระทะ
ฝ่ามือของทั้งสี่เปล่งแสงสีขาวพร้อมกัน ธงคำสั่งสีขาวตั้งหนึ่งปรากฏออกมา ระหว่างที่สองมือโบกสะบัด ธงคำสั่งพลันกลายเป็นแสงสีขาวสายแล้วสายเล่าจมลงไปในผืนดิน
ไม่นานเกราะแสงสีขาวทรงครึ่งวงกลมอันหนึ่งก็ก่อตัวล้อมแอ่งกระทะทั้งหมดเอาไว้ด้านใน
ยามนี้ภูตแดงที่ร่างกายใหญ่กว่าเดิมเท่าหนึ่งอย่างเห็นได้ชัดอีกหลายตนเหาะออกมาจากด้านในสิ่งก่อสร้างบนแอ่งกระทะ เมื่อเห็นเกราะแสงสีขาวที่ล้อมรอบด้านก็เผยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“พวกเจ้าเผ่ายมโลกเหล่านี้คิดจะทำสิ่งใด พวกเราเป็นเผ่าภูตผีที่อยู่ใต้ปกครองของเมืองสิงหวง พวกเจ้าทำเช่นนี้ ไม่กลัวทำให้เจ้าเมืองสิงหวงบันดาลโทสะหรือ?” ภูตแดงระดับผลึกขั้นปลายตนหนึ่งตะเบ็งเสียงคำราม
ปี้เหยียนไม่แม้แต่จะมองภูตที่คำรามเสียงดังตนนั้นสักครั้ง สายตากวาดผ่านหมู่บ้านของเผ่าภูตแดงเบื้องล่าง คิ้วขมวดเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็หันไปมองเผ่ายมโลกครึ่งแมลง
เผ่ายมโลกครึ่งแมลงเข้าใจเจตนา บนแผ่นหลังมีแสงสีน้ำเงินสว่างขึ้นทันที ปีกบางดุจปีกจักจั่นคู่หนึ่งงอกออกมา จากนั้นร่างกายก็เลือนหายไปปรากฏตัวบนท้องฟ้าเหนือสิ่งก่อสร้างของเผ่าภูต
เขาอ้าปากส่งเสียงหวีดแหลมประหลาดเหมือนเสียงกรีดร้องของพวกแมลง
ฉับพลันเกิดคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าระลอกแล้วระลอกเล่ากลางอากาศโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง แล้วแผ่ขยายไปทางสิ่งก่อสร้างของภูตผีด้านล่าง
“การโจมตีด้วยเสียง?” “ไม่ใช่ เหมือนจะไม่ใช่คลื่นเสียงธรรมดา…”
เวลานี้หลิ่วหมิงจัดการปักธงค่ายกลทั้งหมดในมือเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นลายคลื่นของการโจมตีที่เผ่ายมโลกครึ่งแมลงปล่อยออกมา ดวงตาก็ทอประกายวูบหนึ่ง
ระลอกคลื่นกลางอากาศแผ่ขยายมาถึงจุดที่เขาอยู่ ทันทีที่เสียงหวีดแหลมนี้ดังเข้ามาในหูก็เพียงไม่น่าฟังอยู่บ้างเท่านั้น ทว่าไม่มีพลังโจมตีแต่อย่างใด
แต่สิ่งก่อสร้างเหล่านั้นในแอ่งกระทะด้านล่าง หลังจากระลอกคลื่นที่เกิดจากคลื่นเสียงประหลาดเหล่านี้แล่นผ่านไป เสียงเอะอะก็ดังขึ้นทันที
เสียงคำรามประหลาดดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ ภูตแดงที่หน้าตาธรรมดาตนแล้วตนเล่าพุ่งพรวดออกมาจากด้านในสิ่งก่อสร้างทรงรี
ทันทีที่ภูตผีเหล่านี้สัมผัสคลื่นเสียงประหลาดก็กรีดร้องทุกข์ทรมานออกมาในทันใด มีหลายตนไม่น้อยกุมหัวลงไปกลิ้ง
ภูตระดับผลึกไปจนถึงระดับของเหลวจิตวิญญาณยี่สิบกว่าตนที่เหาะอยู่บนท้องฟ้าก็กรีดร้องเช่นเดียวกัน สิบกว่าตนในนั้นฉับพลันมีหมอกควันสีเทาลอยวนเวียนขึ้นมาจากร่าง ใจกลางหมอกควันมีใบหน้าบิดเบี้ยวดวงแล้วดวงเล่าปรากฏอยู่เลือนราง
“ดูท่านี่คงเป็นเผ่าภูตสูญ! คลื่นเสียงของแมลงนี่บีบให้พวกเขาออกมาจากร่างที่แฝงกายอยู่ได้ มีประโยชน์ยิ่งนักจริงๆ” หลิ่วหมิงมองดูมาจนถึงตอนนี้ก็ลอบพยักหน้ากับตนเอง