ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 109 อาจารย์ปู่เยี่ยน
ตลอดการเดินทาง ประมุขนิกายปีศาจกับนักพรตวัยกลางคน และผู้อาวุโสแซ่หวงต่างก็พูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับแดนลึกลับอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงและศิษย์แกนนำทั้งเก้าก็แยกกันอยู่ตามแต่จุดของเรือกระดูก บ้างก็นั่งทำสมาธิ บ้างก็ฝึกฝน โดยไม่มีการพูดคุยกันเลยแม้แต่น้อย
คิดไปคิดมามันก็เป็นเรื่องปกติ!
ผู้ที่สามารถเข้ามาเป็นศิษย์แกนนำทั้งสิบได้ ย่อมเป็นผู้ที่มีความหยิ่งทะนงสูง และก็ไม่เข้าพวกกับใครง่ายๆ
แต่หลิ่วหมิงเพียงแค่หันศีรษะไปเล็กน้อย ก็เห็นเกาชงที่นั่งขัดสมาธิห่างจากเขาไกลๆ กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาอันเยือกเย็น
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจแต่อย่างใด แต่ในใจกลับมีจิตสังหารผุดลอยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
แต่หากว่ามีโอกาสจัดการปัญหานี้ได้ในแดนลึกลับ เขาก็คงจะไม่ยอมละทิ้งไปอย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าเรือกระดูกลำนี้เป็นอาวุธเหาะจิตวิญญาณที่คุณภาพไม่ด้อยเลย ดูเหมือนว่าระดับความเร็วมันจะเร็วกว่าเรือเหาะหยกจิตวิญญาณที่หลิ่วหมิงเคยนั่ง
ระหว่างที่มันเหาะอยู่ ไอดำที่พวยพุ่งที่กระตุ้นมันอยู่ไม่หยุด พริบตาเดียวก็ทำให้มันเหาะไปได้ไกลถึงร้อยกว่าจั้ง
เจ็ดวันต่อมา เรือกระดูกก็พาพวกเขาเหาะมาอยู่เหนือทะเลสาบที่หลิ่วหมิงเคยมาในตอนนั้น แต่พอมันเหาะไปข้างหน้าอีกสักพักใหญ่ๆ ตำแหน่งเดิมที่เคยมีเกาะสยบมังกรในตอนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว มันแทนที่ด้วยภูเขาไฟสีขาวเทาที่ผุดขึ้นมาจากก้นทะเลสาบ
ภูเขาไฟลูกนี้โผล่ออกมาจากทะเลสาบแค่ร้อยกว่าจั้ง และมีควันสีดำพุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟอยู่ไม่หยุด ดูราวกับว่ามันสามารถพ่นหินละลายออกมาได้ตลอดเวลา
และบนพื้นผิวทะเลสาบบริเวณปล่องภูเขาไฟ ขี้เถ้าที่พ่นออกมาจากปล่องภูเขาไปก่อนหน้านั้นได้ก่อตัวเป็นหินโสโครกขนาดต่างๆ เล็กสุดมีขนาดไม่เกินจั้งกว่าๆ ใหญ่สุดกลับมีขนาดหลายร้อยจั้งราวกับเป็นเกาะเล็กๆ
บนหินโสโครกขนาดใหญ่สุดสองสามแห่งนั้น มีหอหินสร้งขึ้นแบบง่ายตั้งอยู่ และมีคนบางส่วนเคลื่อนไหวอยู่บนนั้น
เรือกระดูกส่งเสียงดังกระหึ่ม จากนั้นก็ร่อนลงไปยังหินโสโครกแห่งหนึ่ง
ประมุขนิกายปีศาจพาทุกคนลงจากเรือกระดูก
“ประมุขนิกายปีศาจ สหายทุกท่าน พวกท่านมาช้านะ ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ หอสายธารโลหิต และหุบเขาเก้าช่องของเรามาถึงกันหมดแล้ว เหลือแค่คนของนิกายวาตอัคคีที่ยังมาไม่ถึง” ไอสีเขียวสายหนึ่งลอยขึ้นมาจากหินโสโครกขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณใกล้ๆ หลังจากที่มันสั่นไหวชั่วครู่ก็ลอยมาอยู่เหนือหินโสโครกที่พวกหลิ่วหมิงอยู่ และปรากฏร่างชายชุดเขียวที่มีใบหน้าราวกับหยก และเขาก็กล่าวลงมาด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นสหายเจ้าเฮยหู่จากหุบเขาเก้าช่องนั่นเอง นิกายเราไม่เหมือนหุบเขาเก้าช่องของพวกท่านที่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่มาก ย่อมต้องใช้เวลาในการเดินทางเล็กน้อย ส่วนนิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิต ในเมื่อแดนลึกลับเป็นสิ่งที่พวกเขาค้นพบ พวกเขาจะมาเร็วกว่าพวกข้าสักหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดา” ประมุขนิกายปีศาจสังเกตดูชายชุดเขียวบนอากาศเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้ากล่าวออกมา
“มันก็ถูกของท่าน แท้จริงแล้วนิกายข้าก็มาถึงก่อนนิกายท่านแค่วันเดียวเท่านั้น และด้วยเหตุนี้ ศิษย์พี่ท่านประมุขของนิกายข้าอยากจะให้สหายทุกท่านมาปรึกษาหารือเกี่ยวกับแดนลึกลับด้วยกัน” เจ้าเฮยหู่กล่าวขึ้นด้วยคำที่แฝงความหมายลึกซึ้ง
“เข้าใจแล้ว! รอข้าจัดการกับศิษย์ในนิกายข้าก่อน อีกสักครู่จะพาศิษย์น้องทั้งสองไปเยี่ยมเยียนประมุขนิกายของท่าน” ประมุขนิกายปีศาจย่อมฟังความหมายของอีกฝ่ายออก และรีบตอบรับด้วยสีหน้าที่ดูปกติ
เจ้าเฮยหู่ได้ยินก็ดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็กล่าวอย่างนอบน้อมไม่กี่ประโยค แล้วกลายเป็นไอสีเขียวเหาะกลับไปยังหินโสโครกเดิม
ขณะนี้ประมุขนิกายปีศาจให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ สร้างหอหินขึ้นมาหลังหนึ่ง และให้อาจารย์อาจาง ผู้อาวุโสแซ่หวง สร้างผนึกจำกัดง่ายๆ ไว้บริเวณหินโสโครก
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไปทุกอย่างก็เสร็จสรรพ ประมุขนิกายปีศาจกำชับศิษย์ทั้งหลายเล็กน้อย แล้วก็พาอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองเหาะไปยังหินโสโครกที่หุบเขาเก้าช่องอยู่
ศิษย์กว่าครึ่งหนึ่งเจ้าไปนั่งฝึกฝนอยู่ในหอหินที่สร้างขึ้นใหม่ บางส่วนเดินสำรวจบนหินโสโครกอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่มุมหนึ่งภายในหอหิน
ประมุขนิกายปีศาจและอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองไปเกือบครึ่งวัน ตอนที่พวกเขาเหาะมาจากทางด้านหุบเขาเก้าช่องนั้น มีผู้อาวุโสชุดเทามัดมวยผมสามจุกกลับมาด้วย
ผู้อาวุโสท่านนี้ดูหน้าตาธรมมดา แขนทั้งสองมีขนาดใหญ่กว่าปกติ มีถุงหนังสีเขียวอ่อนห้อยอยู่บนเอว กลิ่นไอเขาดูแตกต่างจากคนอื่นเป็นพิเศษ หลังจากที่เขาเดินเข้ามาในหอหินพร้อมกับประมุขนิกายปีศาจ ก็รีบนั่งเก้าอี้ตัวกลางอย่างไม่เกรงใจ
และหลังจากที่ประมุขนิกายปีศาจออกคำสั่ง ศิษย์ทั้งหมดก็รีบมารวมตัวกันตรงกลางหอทันที
“พวกเจ้าโชคดีไม่น้อยที่วันนี้ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอาจารย์อาเยี่ยน ยังไม่รีบทำความเคารพอีก! อาจารย์อาท่านเพิ่งกลับมาจากปากทางเข้าแดนลึกลับ มีคำพูดบางอย่างอยากจะชี้แนะพวกเจ้า” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวกับบรรดาศิษย์โดยไม่ต้องคิด
พอได้ยินเช่นนี้ หยางเฉียนและคนอื่นๆ ต่างก็พอจะเดาได้ทั้งหมด และยังคงรู้สึกตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็รีบไปคารวะผู้อาวุโสชุดเทา
“ลุกขึ้นเถอะ! พวกเจ้านับว่าเป็นศิษย์ที่โดดเด่นสุดของนิกายปีศาจเรา เดิมทีควรจะได้ฝึกฝนอีกหนึ่งปีแล้วค่อยให้พวกเจ้าเข้าร่วมทดสอบความเป็นความตาย แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแดนลึกลับบังเกิดขึ้น ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสุดวิสัย แต่ได้ยินประมุขนิกายปีศาจพูดว่าพลังของพวกเจ้าเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าศิษย์ที่ทำการประลองใหญ่ในหลายครั้งก่อนมาก ถ้าเช่นนี้ล่ะก็ข้าเองก็โล่งใจไปมาก” ผู้อาวุโสชุดเทาพินิจดูหลิ่วหมิงและศิษย์คนอื่นๆ ครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้าแสดงความพึงพอใจออกมา
“อาจารย์อา พวกเขาทั้งสิบเป็นกลุ่มศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในรอบหกสิบปีอย่างแน่นอน ประจวบกับค้นพบแดนลึกลับพอดี ไม่แน่นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้นิกายของเราผงาดขึ้นมา” ประมุขนิกายยืนอยู่ข้างผู้อาวุโสชุดเทา และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ข้ากับสหายไม่กี่ท่านได้ใช้วิชาตรวจดูแดนลึกลับแห่งนี้คร่าวๆ แล้ว คาดการณ์ได้เบื้องต้นว่าเป็นแดนลึกลับที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่พบเจอได้น้อยมาก ในนั้นคงจะไม่มีกับดักอะไร ดังนั้นอันตรายก็ลดลงไปมาก มิเช่นนั้นข้าคงจะไม่ยอมเห็นด้วยกับการใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ทดสอบความเป็นความตายหรอก แน่นอนถึงแม้จะเป็นแดนลึกลับที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ก็ย่อมมีอันตรายอยู่ และสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือค้นหาทรัพยากรหายากต่างๆ ในแดนลึกลับแห่งนี้ให้ได้มากที่สุด และใช้ความสามารถกับวิธีการต่างๆ ได้โดยไม่มีข้อจำกัด! เพราะว่าผลประโยชน์ในครั้งนี้มีมากยิ่งนัก ดังนั้นนิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิตได้แอบเป็นพันธมิตรกันแล้ว และเพื่อที่จะรับมือกับเรื่องนี้ นิกายเรากับหุบเขาเก้าช่องก็ได้เจรจาร่วมมือกันเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าร่วมมือก็เป็นเรื่องของความร่วมมือ เมื่อพบกับของดีควรจะทำอย่างไรก็ให้ทำตามนั้น ไม่ต้องสนว่าคู่ต่อสู้เป็นศิษย์นิกายไหน ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ข้าจะรับผิดชอบเอง” อาจารย์ปู่เยี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง
“แดนลึกลับตามธรรมชาติ!”
“ช่างดีจริงๆ!”
“ร่วมมือกับหุบเขาเก้าช่อง?”
ความประหลาดใจ ตกใจ ตื่นเต้นและความรู้สึกต่างๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของศิษย์แต่ละคน ทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่คาดไม่ถึง
อาจารย์ปู่เยี่ยนกล่าวต่อราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจในเรื่องเหล่านี้
“แต่พวกเจ้าก็อย่าได้วางใจไป แดนลึกลับตามธรรมชาติอาจมีอันตรายกว่าที่พวกเจ้าคาดคิดไว้มาก เช่นอาจมีปีศาจอสูรอยู่ในนั้น หรืออาจมีบรรยากาศอันเลวร้ายที่ทำให้คนธรรมดาไม่อาจอยู่ในนั้นได้” ประมุขนิกายปีศาจเองก็กล่าวเตือนเช่นกัน
เมื่อศิษย์ทั้งหลายได้ยินเช่นนี้ ก็เริ่มรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา
“ทั้งหมดนี้เป็แค่ปัญหารอง ปัญหาสำคัญคือเจ้ามังกรแดงที่หนีเข้าไปในแดนลึกลับนั้น!” อาจารย์ปู่เยี่ยนพูดประโยคที่ทำให้ทุกคนตกใจขึ้นมา
“อะไรนะ! มังกรแดงตนนั้นหนีเข้าไปในแดนลึกลับแห่งนี้แล้ว? อาจารย์อา ท่านคงไม่ล้อเล่นหรอกนะ ถ้าอย่างนั้นศิษย์แต่ละนิกายที่ส่งเข้าไปข้างในไม่เท่ากับว่าส่งเนื้อเข้าปากเสือหรอกหรือ?” ครั้งนี้อาจารย์อาจางผู้นั้นรีบกล่าวออกมาด้วยท่าทีที่ลนลาน
“ฮึ! เจ้าคิดว่าอาจารย์ปู่จะล้อเล่นเรื่องแบบนี้ได้หรือ! แต่พวกเจ้าวางใจเถอะ มังกรแดงตนนั้นถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ต่อให้หลบหนีเข้าไปในแดนลึกลับได้ ตอนนี้ก็คงจะหายใจแขม่วๆ อยู่ในนั้น คงจะไม่มีแรงกระทำการใดๆ อีก มิเช่นนั้นคงไม่ให้เด็กอย่างพวกเจ้าออกโรงหรอก ผู้อาวุโสอย่างพวกข้าไม่กี่คนก็สามารถเก็บทรัพยากรในนั้นให้หมดเกลี้ยงได้ แล้วถือโอกาสสังหารมังกรร้ายตัวนี้แล้ว จะว่าไปแล้วมังกรแดงตัวนี้ถึงจะเป็นของล้ำค่าที่สุดในแดนลึกลับแห่งนี้” อาจารย์ปู่เยี่ยนทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
“ศิษย์หลานมิกล้าคิดเช่นนี้ ขออาจารย์อาอย่าได้เข้าใจผิด!” อาจารย์อาจางเพิ่งจะนึกได้ว่าอาจารย์อาเยี่ยนผู้นี้รักศักดิ์ศรีมาก เขาจึงรีบยิ้มกล่าวขอโทษ
“แต่ว่าก็โชคดีที่เป็นเช่นนี้ มิเช่นนั้นเกรงว่านิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิตคงจะเก็บงำเรื่องแดนลึกลับนี้ไว้โดยไม่บอกกับนิกายอื่น อาจารย์อา จะว่าไปแล้วมันก็เป็นเรื่องดี” ผู้อาวุโสแซ่หวงก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“เรื่องนี้ก็ดูมีเหตุผล แต่จะว่าไปแล้วดูเหมือนว่าเกาะสยบมังกรที่นักพรตสยบมังกรทิ้งไว้แห่งนี้ นิกายเรากับหุบเขาเก้าช่องเป็นผู้ค้นพบก่อน ช่างใช้ไม่ได้จริงๆ เห็นชัดๆ ว่าเป็นคนพบเจอสถานที่นี้ก่อน แต่กลับยอมให้นิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิตค้นพบทางเข้าแดนลึกลับนี้ได้” ผู้อาวุโสชุดเทากล่าวด้วยสายตามองบน
“ศิษย์น้องจูเองก็ไม่คิดว่ามีทางเข้าแดนลึกลับซ่อนอยู่ในไฟใต้พิภพนี้ อีกอย่างตอนที่มังกรร้ายตนนั้นปรากฏตัวออกมา พวกเขาเองก็หลบเกือบไม่ทัน ไหนเลยจะมีเวลาตรวจสอบบริเวณนี้อย่างละเอียด” ประมุขนิกายปีศาจอธิบายออกมา
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร จูชื่อและเจ้าหนูจงนั้นก็ผิดอยู่ดีที่ยอมให้นิกายอื่นแย่งโอกาสอันดีนี้ไปก่อน รอเสร็จเรื่องนี้แล้วข้าจะตำหนิตักเตือนพวกเขาเอง” อาจารย์ปู่เยี่ยนยังคงกล่าวด้วยดวงตาทั้งคู่ที่ดูถมึงทึง
น้ำเสียงอันรุนแรงเช่นนี้ทำให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ที่ได้ยินต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง และประมุขนิกายปีศาจกับอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองก็ได้แต่สบตากันด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
ดีที่พวกเขารู้ว่าอาจารย์อาของพวกเขาท่านนี้เป็นคนปากแข็งใจอ่อน มิเช่นนั้นคงจะกลุ้มใจแทนจูชื่อและนักพรตจงไม่น้อย
“ใช่สิอาจารย์เยี่ยน! ตอนนี้ทางเข้าแดนลึกลับเป็นอย่างไรบ้าง จะประคับประคองไว้ได้นานแค่ไหน?” ประมุขนิกายปีศาจถามด้วยความกังวล
“สภาพการณ์ตรงทางเข้าไม่ค่อยดีมากนัก เห็นได้ชัดว่ามังกรแดงตนนั้นรู้ว่าทางเข้านี้เปราะบาง แม้กระทั่งมันอาจจะเข้าออกในนั้นไปมากกว่าหนึ่งครั้ง ดังนั้นการโจมตีในครั้งนั้นทำให้ทางเข้าพังทลายลงมา ที่มันยังมั่นคงอยู่ได้เพราะว่าอาศัยพลังจากผู้อาวุโสอย่างพวกข้าผลัดกันใช้ของล้ำค่าประคองไว้ แต่สถานการณ์เช่นนี้สามารถประคับประคองไว้ได้นานสุดแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ถ้าหากนับรวมกับแรงสั่นไหวที่ศิษย์แต่ละนิกายเข้าออกไปด้วยล่ะก็ คงจะเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น” ในที่สุดอาจารย์ปู่เยี่ยนก็กล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
……………………………………….