ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1093 ป่าผลึกหมึก
“เกิดอันใดขึ้น เหตุใดจึงปล่อยซวีหลิงผู้นี้ออกมา?” สือคูผู้เฒ่าชุดน้ำเงินที่อยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์ก็ตกใจตะโกนถามเสียงดัง
“นี่ไม่เกี่ยวกับสหายอิ่นหาน พวกเราประเมินซวีหลิงผู้นี้ต่ำเกินไป ดูท่าหลายสิบปีนี้เขาจะฝึกฝนร่างวิญญาณหลบเร้นจนบรรลุขั้นปลายแล้ว! วันนี้แม้แต่วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นปลายก็ไม่อาจขังเขาไว้ได้ ดูท่าอยากจะจบศึกนี้ในเวลาสั้นๆ ไม่น่าเป็นไปได้แล้ว” ครั้งนี้ปี้เหยียนกลับกวาดสายตามองภูตแดงที่ถูกแช่แข็งหลายร้อยตัวเบื้องล่างแล้วชิงถอนหายใจออกมาก่อน
“ไม่ผิด ซวีหลิงผู้นี้แฝงกายได้แม้แต่กับภูตผีที่ข้าเรียกออกมาในคุกมืด อีกทั้งยังไร้วิธีหาตัวจริงของเขาอย่างสิ้นเชิง ทว่าพริบตาที่เขาถูกขังอยู่ในคุกมืด ข้าสัมผัสได้เลือนรางว่าพลังปราณของเจ้าสารเลวตนนี้เสียหายกว่าก่อนหน้าอยู่ไม่น้อย” ยามนี้หลิ่วหมิงจึงพยักหน้าเอ่ยโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด
“ดี ดูท่าแม้ซวีหลิงผู้นี้จะใช้ร่างวิญญาณหลบเร้นนี่ได้อย่างชำนาญ แต่ก็คงผลาญพลังของเขาไปไม่น้อยเช่นกัน พี่หวั่งเหลียง ต่อจากนี้ต้องดูฝีมือท่านแล้ว! ทุกท่านที่เหลือ ทันทีที่เจ้าสารเลวตนนี้ปรากฏตัวสังหารทันที!” ปี้เหยียนได้ยินก็ยินดี แววตาทอประกายเหี้ยมเกรียมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ไม่ปิดบังความแค้นที่มีต่อซวีหลิงแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงกับเผ่ายมโลกตนอื่นย่อมพยักหน้า
อึดใจต่อมา เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้น!
พวกหลิ่วหมิงห้าตนนอกจากเผ่ายมโลกหัวพยัคฆ์ต่างโฉบไปอยู่รอบแอ่งกระทะ ล้อมแอ่งกระทะไว้เลาๆ
ต่อจากนั้นร่างกายของเผ่ายมโลกหัวพยัคฆ์ก็ขยับไปปรากฏกายบนท้องฟ้าเหนือแอ่งกระทะพอดี เขาแค่นเสียงหยัน หว่างคิ้วฉับพลันมีรอยแยกเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น ดวงตาพยัคฆ์แนวตั้งแลดูโหดเหี้ยมดวงหนึ่งฉับพลันปรากฏออกมา
“ชิ้ง!”
แสงสีเหลืองเส้นหนึ่งพุ่งพรวดออกมาจากดวงตาที่สามของเผ่ายมโลกหัวพยัคฆ์ตนนี้ มันพุ่งวูบเดียวกลายเป็นแสงเรืองรองสีเหลืองแถบหนึ่งกวาดหมู่บ้านของเผ่าภูตแดงเบื้องล่าง
ภาพอันน่าเหลือเชื่อปรากฏขึ้นแล้ว!
ทันทีที่แสงเรืองรองสีเหลืองกวาดผ่านภูตแดงทั้งหมดที่ถูกแช่แข็งก็มองเห็นดวงวิญญาณสีแดงขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันดวงแล้วดวงเล่าในร่างพวกเขาได้อย่างชัดเจนในทันที บางดวงหม่นแสงอย่างยิ่งเหมือนใกล้ดับสลาย
“อยู่ตรงนั้น!”
ในตอนนี้เอง เผ่ายมโลกครึ่งแมลงก็ร้องเสียงแหลม ทุกคนมองตามเสียงไปก็เห็นในรูปสลักน้ำแข็งของภูตแดงตนหนึ่งด้านล่าง นอกจากดวงวิญญาณสีแดงดวงหนึ่งแล้วยังมีกลุ่มหมอกสีเทาขมุกขมัวเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่กลุ่มหนึ่งอยู่ด้วย
อึดใจต่อมาแสงจิตวิญญาณหลากหลายสีก็สาดจากบนท้องฟ้ารอบแอ่งกระทะลงมาเบื้องล่างประหนึ่งพายุฝนกระหน่ำ
เสียงระเบิดสะเทือนแก้วหูแทบดับ!
ดวงแสงนับไม่ถ้วนแผ่ขยายกลืนอาณาเขตเกือบร้อยจั้งที่มีรูปสลักภูตแดงตนนั้นเป็นศูนย์กลางเข้าไป แสงจิตวิญญาณหลากหลายสีส่องทั่วทั้งแอ่งกระทะจนสว่างไสว
เมื่อแสงดับลง ไม่ว่าจะภูตแดงที่ถูกแช่แข็งหรือสิ่งก่อสร้างทรงรีภายในบริเวณเกือบร้อยจั้งก็ไม่มีเหลือ เหลืออยู่เพียงหลุมลึกมหึมาอย่างยิ่งหลุมหนึ่งเท่านั้น
แม้เป็นเช่นนี้ แต่ใบหน้าของคนทั้งหมดก็ยังเคร่งขรึมดุจเดิม จิตสัมผัสระดับแก่นแท้ของทุกคนย่อมสัมผัสได้เลือนรางว่าพริบตานั้นที่ระเบิด มีไอหมอกสีเทาผลุบๆ โผล่ๆ สายหนึ่งพุ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เหอะ!” เผ่ายมโลกหัวพยัคฆ์คำรามโกรธเกรี้ยว ดวงตาที่สามบนหน้าผากเปล่งแสงสีเหลืองสว่างจ้า แสงเรืองรองสีเหลืองแถบแล้วแถบเล่าสาดออกมาจากด้านในกวาดผ่านเบื้องล่าง
ช่วงเวลาต่อจากนั้นเสียงคำรามกับเสียงระเบิดดังขึ้นต่อเนื่องไม่ขาด แสงจิตวิญญาณหลากสีสายแล้วสายเล่าส่องสว่างในแอ่งกระทะเบื้องล่างไม่หยุด
แม้ซวีหลิงจะใช้วิชาลับผสานร่างเข้าไปในร่างภูตแดงรวมถึงสรรพสิ่งต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แต่ไม่นานก็ถูกลำแสงวิเศษของดวงตาที่สามของเผ่ายมโลกหัวพยัคฆ์หาพบ หลังจากนั้นก็ถูกทุกคนขับไล่ออกมา
แต่พวกหลิ่วหมิงเองชั่วขณะหนึ่งก็ไม่อาจทำร้ายร่างกายซึ่งเกือบจะไร้ตัวตนของเขาให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้แต่อย่างใด
ไม่นานนักแอ่งกระทะซึ่งเคยเป็นที่ตั้งหมู่บ้านเผ่าภูตแดงก็ถูกหลุมลึกมหึมาหลุมแล้วหลุมเล่ามาแทนที่ ทอดสายตามองไปเต็มไปด้วยหลุมบ่อ
เมื่อเป็นเช่นนี้พื้นที่ซึ่งซวีหลิงแฝงกายได้จึงน้อยลงเรื่อยๆ ลมปราณของเขาก็อ่อนแอลงทุกที เริ่มตกเป็นฝ่ายถูกบีบคั้นทีละน้อย
ทว่าเนื่องจากผู้คนบนท้องฟ้าใช้อาวุธจิตวิญญาณกับวิชาถี่ยิบจึงเสียพลังเวทไปไม่น้อย สีหน้าแต่ละตนเริ่มซีดขาว
“บึ๊ม!” เสียงดังสนั่น
ฝุ่นทรายฟุ้งกระจายเศษหินปลิวว่อน ส่วนสุดท้ายที่ค่อนข้างสมบูรณ์ดีของหมู่บ้านเผ่าภูตแดงถูกแสงเรืองรองแสบตาล้อมไว้ กลุ่มหมอกสีเทาสายหนึ่งพุ่งออกมา ทันใดนั้นจากหนึ่งก็แยกเป็นแปดพุ่งพรวดไปยังแปดทิศทาง
“เหอะ จนถึงขั้นนี้ก็ยังคิดจะดันทุรังสู้อีก!”
เผ่ายมโลกหัวพยัคฆ์บนท้องฟ้าหน้าอกพองขึ้นยุบลง หลังจากเห็นสถานการณ์นี้ก็แค่นเสียงหยัน ร่างกายหมุนตัวกลางอากาศรอบหนึ่ง แสงเรืองรอบสีเหลืองแถบหนึ่งกวาดออกไปสี่ทิศแปดทาง
“ฟู่” “ฟู่” เสียงดังมาจากทั่วทุกสารทิศ!
ทันทีที่กลุ่มหมอกเจ็ดกลุ่มในนั้นสัมผัสถูกแสงเรืองรองสีเหลืองก็สลายไปราวกับละลาย
มีเพียงกลุ่มหมอกสีเทาที่มุ่งไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้นที่ถูกแสงเรืองรองกวาดผ่านแล้วเพียงทั้งร่างสั่นระริก จากนั้นทอแสงจ้าพุ่งพรวดไปด้านหน้าด้วยความเร็วมากกว่าเดิม!
“ตอนนี้ซวีหลิงตนนี้ทนไม่ไหวแล้ว พวกเราตาม!”
เห็นซวีหลิงเริ่มหนีจริงๆ ปี้เหยียนจึงคำรามเสียงดัง หลังจากนั้นบังคับลำแสงกลายเป็นแสงสีเขียวสายหนึ่งไล่ตามไปติดๆ อย่างไม่ลังเลสักนิด
ได้ยินปี้เหยียนเอ่ยเช่นนี้ พวกหลิ่วหมิงหกตนต่างก็บังคับลำแสงของแต่ละคนไล่ตามไปด้านหน้าอย่างดุดันด้วย
ด้วยความเร็วของทั้งสองฝ่าย ฝั่งหนึ่งไล่ตาม ฝั่งหนึ่งเหาะหนี พริบตาเดียวซวีหลิงกับพวกปี้เหยียนก็ไล่ล่ากันมาไกลหลายหมื่นลี้ มองเห็นแนวเทือกเขาเตี้ยแห่งหนึ่งอยู่ไกลๆ
แม้ซวีหลิงจะเร็วยิ่งนัก อีกทั้งระหว่างทางยังสร้างร่างแยกออกมาไม่หยุด บังคับให้ร่างแยกแฝงกายอยู่ในขุนเขาสายน้ำหรือต้นไม้ก้อนเมฆ เพื่อก่อกวนสายตาของพวกปี้เหยียน แต่พวกปี้เหยียนกลับตามติดราวกับโรคร้ายในกระดูก ไล่ตามก้นอยู่ไกลๆ มาตลอด
เมื่อครู่หนึ่งสู้เจ็ด เดิมทีซวีหลิงก็เสียพลังปราณไปมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยังหลบหนีเต็มกำลัง พละกำลังจึงไม่เป็นดั่งใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายใกล้กันเข้ามาทุกที ขณะที่เห็นพวกปี้เหยียนด้านหลังกำลังจะไล่ตามทันแล้วนั่นเอง
ซวีหลิงที่อยู่ในกลุ่มหมอกสีเทาด้านหน้าก็เร่งลำแสงมุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว พลางใช้สายตากวาดพวกปี้เหยียนที่ไล่ตามติดไม่ลดละทางด้านหลัง ดวงตาฉายแววตาชั่วร้าย
“น่าชังนัก ขาดอีกเพียงสองสามปี แก่นวิญญาณงามวิสุทธิ์ก็จะหลอมสำเร็จแล้ว ถึงเวลาต่อให้ปี้โยวมาด้วยตนเอง ข้าก็หากลัวไม่ ในเมื่อพวกเจ้าบีบคั้นคนเกินไปนักก็อย่าโทษที่ข้ายอมสละแผนการก่อนนี้ทั้งหมดเพื่อฉีกศพเจ้าเป็นหมื่นชิ้น คลายความแค้นในใจข้า!”
ซวีหลิงคิดเหี้ยมเกรียมอยู่ในใจ ในขณะเดียวกันปากก็ท่องมนตร์ประหลาดงึมงำยากเข้าใจหลายประโยค อักขระมากมายทะลักออกมาจากร่างจมเข้าไปในปราณสีเทาที่ล้อมอยู่รอบตัว ปราณสีเทาฉับพลันหดเข้าสู่ใจกลางทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอีกสามส่วน
ฉับพลันเขาก็เลี้ยวเปลี่ยนทิศ เหาะเร็วรี่มุ่งไปยังอีกทิศหนึ่งนอกเทือกเขาเตี้ย แม้แต่ศีรษะก็ยังไม่หันกลับไปมอง
“ซวีหลิงผู้นี้เป็นสุนัขร้อนรนกระโดดกำแพงแล้ว ยามนี้เกรงว่าเขาอาจจะใช้วิชาลับบางอย่างกระตุ้นพลังแฝงในร่างอยู่! ทุกท่านพยายามอีกนิด ขอเพียงสังหารเจ้าสารเลวตัวนี้ได้ ท่านปี้โยวย่อมมีรางวัลให้อย่างงามแน่นอน!” ปี้เหยียนที่อยู่ในลำแสงด้านหลังมองจุดแสงสีเทาที่ค่อยๆ เคลื่อนไปไกลขึ้นแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา
“ฮ่ะๆ ซวีหลิงผู้นี้ช่างอวดฉลาดจริง ไม่รู้เสียแล้วว่าระหว่างต่อสู้ถูกธงหยกมืดของท่านปี้เหยียนเกาะติดอยู่ ภายในสามวันนี้อย่าได้คิดหนีรอดจากการสะกดรอยของพวกเรา!” เผ่ายมโลกครึ่งแมลงด้านข้างได้ยินก็หัวเราะเอ่ยขึ้นมา
“ท่านปี้เหยียน ทิศทางที่จู่ๆ ซวีหลิงผุู้นี้เลี้ยวไปอีกหมื่นลี้ด้านหน้าก็จะเป็นทะเลทรายเป่ยชือ ที่นั่นมีป่าผลึกหมึกขนาดใหญ่ยิ่งนักอยู่แห่งหนึ่ง หากซวีหลิงผู้นั้นหลบเข้าไปในป่าผลึกหมึก คิดจะหาตัวเขาคงไม่ง่ายแล้ว” สือคูผู้เฒ่าชุดสีน้ำเงินกลับขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ยขึ้นมา
“ป่าผลึกหมึก! หากปล่อยให้เขาหนีเข้าไปได้ต้องแย่แน่! พวกเราคงต้องเร่งความเร็วเช่นกัน! ดักซวีหลิงไว้ก่อนที่เขาจะหลบเข้าป่าผลึกหมึกให้จงได้” ปี้เหยียนได้ยินก็เปลี่ยนสีหน้าแล้วเอ่ยเสียงดังทันที
เขาอ้าปากพ่นดวงแสงสีเขียวดวงหนึ่งผสานเข้าไปในร่าง รอบร่างฉับพลันมีเปลวเพลิงสีเขียวชั้นหนึ่งผุดขึ้นมา ความเร็วเพิ่มขึ้นสามส่วนทันที
คนอื่นเห็นเช่นนี้ก็พากันเพิ่มความเร็วด้วย
หลิ่วหมิงใช้เคล็ดกระบี่ กระบี่วิญญาณมืดแม่ลูกใต้ร่างส่งเสียงกระบี่ใสกังวานออกมา แล้วตามทุกคนด้านหน้าไปอย่างไม่ล้าหลังแม้แต่น้อย
หลังเข้าสู่ระดับแก่นแท้ ศาสตร์การฝึกฝนกระบี่ของเขาก็ก้าวหน้าครั้งใหญ่ วิชาขี่กระบี่เร็วขึ้นกว่าเดิม เวลานี้พวกปี้เหยียนแทบจะเร่งเดินทางเต็มกำลังแล้ว แต่เวลานี้เขากลับใช้พลังเพียงหกเจ็ดส่วนเท่านั้น
ทว่าภายนอกเขายังทำหน้าเหมือนเร่งเดินทางเต็มกำลังอยู่
พวกปี้เหยียนที่เร่งความเร็วลำแสงค่อยๆ ย่นระยะห่างเข้าใกล้ซวีหลิงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่อาจไล่ตามทัน
เกือบครึ่งเค่อหลังจากนั้น ป่าศิลาประหลาดสีเทาผืนหนึ่งก็ปรากฏในสายตาของทุกคน
มองจากไกลๆ หมู่ศิลาเหล่านี้ดูเรียวเล็ก จนมองแวบแรกเหมือนเป็นต้นไม้สีเทาสูงไม่กี่สิบจั้งต้นแล้วต้นเล่า ทอดยาวจนสุดสายตาเหมือนป่าทึบสีเทาขนาดมโหฬารแห่งหนึ่ง
“ที่แท้นี่ก็คือป่าผลึกหมึก…” หลิ่วหมิงเห็นป่าทึบประหลาดเบื้องหน้าแต่ไกล ดวงตาฉายแววตาประหลาดใจวูบหนึ่ง
เมื่อครู่ระหว่างเดินทางเขาส่งกระแสจิตถามลี่เซวียนบุรุษคิ้วเฉียงด้านข้างเกี่ยวกับป่าผลึกหมึกเหมือนไม่ได้จงใจดูแล้ว จึงรู้ว่าผลึกสีเทาเหล่านี้คือผลึกหินชนิดพิเศษที่เกิดจากหินแร่ชื่อหยกผลึกหมึกถูกปราณยมโลกแห่งแดนยมโลกแทรกเข้าไป
ป่าผลึกหมึกชนิดนี้ความจริงในแดนต่างๆ ของยมโลกพบเห็นได้ไม่น้อย ในสถานที่มากมายล้วนพบเจอป่าผลึกหินพิเศษชนิดนี้ได้
แต่เนื่องจากปราณยมโลกที่แฝงอยู่ในผลึกหินสีเทาเหล่านี้ปนเปไม่บริสุทธิ์ ไม่อาจใช้ฝึกฝนได้ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการก่อกวนคลื่นปราณยมโลกกับการใช้จิตสัมผัสค้นหา ป่าผลึกหมึกขนาดใหญ่อาจถึงขั้นก่อกวนไม่ให้อาวุธยมโลกกับวิชายมโลกทุกชนิดสำแดงพลังได้
ดังนั้นเผ่ายมโลกทั่วไปจึงหลีกห่างป่าผลึกหมึก
ซวีหลิงกับพวกปี้เหยียนพริบตาเดียวก็มาถึงชายป่าผลึกหมึก
แม้พวกปี้เหยียนจะเพิ่มความเร็วจนเร็วที่สุดแล้ว แต่กลุ่มหมอกสีเทาร่างแปลงของซวีหลิงก็ยังเหาะมาถึงหน้าป่าทึบสีเทาก่อนพวกเขาก้าวหนึ่ง
“หึๆ เข้ามาง่าย หากอยากออกไป ย่อมไม่ง่ายเช่นนั้นแล้ว!”
ซวีหลิงหัวเราะพร้อมสีหน้าถมึงทึง จากนั้นแสงสีเทารอบร่างก็สว่างวูบหนึ่ง กลุ่มหมอกสีเทาที่เขาอยู่ฉับพลันมีเงาสีเทาหน้าตาเหมือนกันทุกประการเจ็ดร่างทะลวงออกไป แล้วพุ่งเข้าไปในป่าศิลาคนละทิศละทาง พริบตาเดียวก็หายไปจากสายตา
“วิชาลับแยกร่าง…” หลิ่วหมิงที่เห็นภาพนี้ระหว่างที่เหาะอย่างรวดเร็วอยู่ ฉุกคิดขึ้นมาทันที จิตสัมผัสแผ่ขยายกวาดไปยังป่าศิลา
ทว่าทันทีที่จิตสัมผัสแตะต้องถูกป่าศิลาสีเทา เขาก็สัมผัสพบพลังภายนอกประหลาดสายหนึ่งรบกวนทันที พลังจิตของเขาตอนนี้แผ่เข้าไปได้ลึกไม่ถึงสิบลี้เท่านั้น
จิตสัมผัสของเขาสัมผัสได้ว่าร่างแยกเจ็ดร่างของซวีหลิงกำลังมุ่งไปยังทิศทางที่แตกต่างกันอย่างเร็วไว กำลังจะหนีพ้นขอบเขตจิตสัมผัสของเขาอยู่แล้ว