ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1098 อนธการธาตุเก้าแปรผัน
หลิ่วหมิงฟังจบก็อ้าปากหวอ ความหวังน้อยนิดที่เกิดขึ้นในใจฉับพลันถูกน้ำเย็นอ่างหนึ่งสาดจนเย็นยะเยือก ใบหน้าเผยรอยยิ้มขมขื่น
เขาย่อมไม่สงสัยความจริงในคำพูดนี้ของชิงหลิง อีกฝ่ายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ ไยต้องโกหกเขาเช่นนั้น
ตามที่นางว่า แม้เขาโชคดีหารอยแยกมิติในยมโลกที่เชื่อมไปยังโลกมนุษย์พบ หากพบคลื่นพลังในห้วงมิติ ก็คงสิ้นชีพอยู่ด้านในเช่นเดิม
ระหว่างที่หลิ่วหมิงครุ่นคิดเร็วจี๋อยู่นั่นเอง ทันใดนั้นชิงหลิงก็เอ่ยขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย
“จะว่าไปแล้ว เมื่อครั้งนั้นที่ข้าทำหุ่นตัวนี้ไม่สำเร็จ ประการหนึ่งเพราะเวลาไม่พอ แต่อีกประการหนึ่งก็เพราะยังขาดวัตถุดิบสำคัญชิ้นหนึ่ง หากมีของสิ่งนี้ จะสร้างมันให้เสร็จก็ใช้เวลาไม่นานแล้ว”
“ไม่ทราบผู้อาวุโสต้องการวัตถุดิบชนิดใด ผู้เยาว์ยินดีเป็นวัวเป็นม้าทำงานให้ท่าน” หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้ ไหนเลยยังไม่เข้าใจเจตนาในถ้อยคำของอีกฝ่าย รีบเอ่ยปากอย่างดีใจทันที
ชิงหลิงพูดอ้อมเสียไกล เห็นชัดว่าต้องการให้เขาทำงานบางอย่าง
“วัตถุดิบที่ข้าขาดชิ้นนี้ชื่อว่าอนธการธาตุเก้าแปรผัน มันคือสิ่งที่ทำให้แกนกลางของหุ่นหยกผลึกหมึกตัวนี้เสร็จสมบูรณ์หรือก็คือชิ้นส่วนสำคัญที่จะทำให้มันสำแดงพลังได้ถึงขีดสุด” ชิงหลิงมองหลิ่วหมิง ในที่สุดใบหน้าก็เผยสีหน้าจริงจังออกมาเล็กน้อย
“อนธการธาตุเก้าแปรผัน?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว ในสมองไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งนี้แม้แต่น้อย
“เจ้าไม่รู้ก็นับเป็นเรื่องปกติ เผ่ายมโลกระดับสูงส่วนใหญ่ก็คงเพียงเคยได้ยินมาเท่านั้น แต่ไม่เคยเห็นของจริง อนธการธาตุเก้าแปรผันนี้คือสิ่งที่ถือกำเนิดในกระดูกของเผ่ายมโลกระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์หลังจากพวกเขาละสังขารหรือสิ้นชีพ ภายในบรรจุพลังมหาศาล ยมโลกแห่งนี้ดำรงอยู่มาไม่รู้กี่หมื่นปี แม้มีราชายมโลกระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ถือกำเนิดขึ้นมาไม่น้อย แต่ปัจจุบันมีเพียงราชายมโลกที่ยิ่งใหญ่ไม่กี่ตนเท่านั้นที่ครอบครองพวกมันอยู่ในมือสองสามเม็ด” ชิงหลิงเหมือนจะคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าหลิ่วหมิงจะถามเช่นนี้ จึงอธิบายอย่างอดทน
“นี่…” ได้ยินคำนี้ หลิ่วหมิงก็ตาค้างไปทันที
ชิงหมิงผู้นี้พูดออกมาอย่างสบายๆ แต่อนธการธาตุเก้าแปรผันนี่ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้หินยมโลกซื้อได้สักนิด
แม้ความสามารถของเขาจะสู้กับระดับดาราพยากรณ์ทั่วไปได้สักสองสามกระบวนท่า แต่อยากจะแย่งชิงสิ่งของอันใดจากมือราชายมโลกระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
“เหอะ เจ้าจะร้อนใจอันใด ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าไปชิงของสิ่งนี้มาจากในมือราชายมโลกพวกนั้นสักหน่อย จากที่ข้ารู้มารอยต่อระหว่างแดนวารีมืดกับแดนตัณหามืดมีเทือกเขาทอดยาวจนไร้ขอบเขตอยู่แห่งหนึ่ง ใจกลางเทือกเขามีสุสานราชายมโลกอยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นน่าจะมีอนธการธาตุเก้าแปรผันอยู่” ชิงหลิงแค่นสียงเหอะเบาๆ แล้วเอ่ยเช่นนี้
“สุสานราชายมโลก?”
หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว ความคิดแล่นเร็วจี๋นึกย้อนไปถึงข่าวสารเกี่ยวกับสุสานราชายมโลกที่ได้รับรู้ระหว่างเดินทางไปยังเมืองปี้โยวก่อนหน้านี้
ดินแดนยมโลกเชิดชูผู้แข็งแกร่งเป็นเจ้ามาเสมอ ชาวเผ่ายมโลกเดิมทีก็มีลูกไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งราชายมโลกของแดนมืดจึงไม่มีการสืบทอดต่อกัน แต่ผู้แข็งแกร่งเผ่ายมโลกคนใหม่จะเป็นผู้ท้าสู้กับราชายมโลกตนก่อนเพื่อสืบต่อยศของเขา
ราชายมโลกทุกตนต้องรับคำท้าของยอดฝีมือเผ่ายมโลกตนอื่น ไม่อาจเลี่ยงการต่อสู้ได้ มิเช่นนั้นจะสูญสิ้นอำนาจ ไม่มีหน้าเรียกตนว่าราชายมโลกในแดนยมโลกอีกต่อไป
เมื่อเป็นเช่นนี้เมื่อราชายมโลกตนก่อนพ่ายแพ้ได้รับบาดเจ็บก็มักจะถอยหนีไปยังสถานที่ต้องห้ามที่ชื่อว่า “สุสานราชายมโลก” เมื่อเข้าไปในอาณาเขตนี้ ผู้ที่ชนะห้ามเข้าไปไล่ล่าสังหารต่อเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะทำให้ปวงชนพิโรธและถูกราชายมโลกตนอื่นร่วมมือกันขัดขวาง
ราชายมโลกตนก่อนที่หนีไปหลบเร้นกายเหล่านี้ หลังจากเข้าไปในที่แห่งนี้ ชั่วชีวิตจะไม่อาจออกมาจากแดนต้องห้ามเหล่านี้ได้อีก จวบจนผ่านกาลเวลานับอนันต์สิ้นใจละสังขารไป
ดังนั้นสุสานราชายมโลก ความจริงก็คือที่พำนักสุดท้ายของราชายมโลกทุกตนในแดนยมโลกนั่นเอง
หลังจากราชายมโลกสิ้นใจ นอกจากอาวุธยมโลกและสมบัติกองพะเนินที่ทิ้งเอาไว้ ย่อมมีอนธการธาตุเก้าแปรผันทิ้งเอาไว้ตรงนั้นด้วย
แต่ลูกน้องผู้ภักดีที่ยินดีตายตามราชายมโลกตนก่อนจำนวนหนึ่งจะติดตามราชายมโลกตนก่อนเข้ามาในสุสานยมโลกด้วยกันแล้ววางชั้นจำกัดจำนวนมากไว้บริเวณรอบด้านที่เขาอยู่ ทำให้เผ่ายมโลกและภูตผีที่หมายตาสมบัติติดกายราชายมโลกเหล่านั้นได้แต่มอง
ชั้นจำกัดเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเอาไว้ใช้จัดการเผ่ายมโลกกับภูตผี ยิ่งระดับพลังสูง การโจมตีสวนกลับของชั้นจำกัดก็ยิ่งรุนแรง ทว่าเมื่อมีผลประโยชน์มหาศาลล่อลวงย่อมยังมีเผ่ายมโลกที่คิดว่าตนเองแข็งแกร่งลอบเข้ามาในสุสานราชาโยมโลกหวังจะโชคดีเป็นระยะ แต่ผลลัพธ์ก็คือมักจะเข้าไปแล้วไม่ได้ออกมา ในหมู่คนเหล่านั้นมีแม้แต่ยอดฝีมือระดับดาราพยากรณ์จำนวนหนึ่ง
นานวันเข้าผู้ที่กล้าเข้าไปในสุสานราชายมโลกก็น้อยลงทุกที จนกระทั่งถึงตอนนี้ยิ่งน้อยนิดไม่กี่คน
เมื่อเป็นเช่นนี้ภายในบริเวณหลายหมื่นลี้ของสุสานราชายมโลกแต่ละแห่งย่อมกลายเป็นแดนต้องห้าม เผ่ายมโลกทั่วไปไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงคิดถึงตรงนี้ ความคิดก็แล่นเร็วไวไม่หยุด
ในตอนนี้เอง ชิงหลิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยต่ออย่างนิ่งสงบ
“หากเจ้าช่วยข้าเอาอนธการธาตุเก้าแปรผันนี้มาได้ ถึงเวลาข้าจะพาเจ้าออกจากแดนยมโลกแห่งนี้ อีกทั้งยังจะให้ผลประโยชน์อย่างอื่นกับเจ้าด้วย พลังของข้าจะฝ่าเข้าไปในสุสานราชายมโลกย่อมไม่ใช่ปัญหา แต่คงไม่อาจปิดบังหูตาของราชายมโลกที่นี่ได้ ไม่แน่อาจชักนำราชายมโลกตนอื่นให้มาร่วมมือกันสังหาร เกิดผลที่ไม่อาจคาดเดาอย่างอื่นตามมา ด้วยเหตุนี้หากไม่ใช่เลือกไม่ได้จริงๆ ข้าย่อมไม่เดินทางไปเอง เทียบกันแล้วพลังระดับแก่นแท้ของเจ้าหากฝ่าเข้าไปในที่แห่งนี้ย่อมไม่ดึงความสนใจของผู้ใด อีกทั้งเคล็ดวิชากระดูกดำที่เจ้าฝึกฝน แม้จะหลอกลวงสร้างกลิ่นอายของเผ่ายมโลกได้ แต่ตัวจริงก็เป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ของแท้แน่นอน ชั้นจำกัดที่มีไว้รับมือเผ่ายมโลกกับภูตผีเหล่านั้นย่อมไม่มีผลกับเจ้า” ชิงหลิงเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของหลิ่วหมิงจึงเอ่ยต่ออย่างเอื่อยเฉื่อย
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจำกัดเวลาในเรื่องนี้หรือไม่” หลิ่วหมิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยถาม
“วางใจได้ หุ่นหยกผลึกหมึกตัวนี้เมื่อทำงานขึ้นมาแล้ว ปราณยมโลกที่ร่างกายดูดซับเข้าไปจะเพียงพออยู่ได้นานสิบกว่าปี เจ้านำอนธการธาตุเก้าแปรผันมาให้ได้ก่อนหน้านั้นเป็นพอ มิเช่นนั้นข้าคงได้แต่คิดหาหนทางอื่นแล้ว” ชิงหลิงได้ยินก็ยิ้มน้อยๆ
“ได้ ในเมื่อผู้อาวุโสกล่าวเช่นนี้ ผู้เยาว์รับปากจะทำเรื่องนี้ จะต้องนำอนธการธาตุเก้าแปรผันมามอบให้ผู้อาวุโสภายในกำหนดเวลาแน่นอน” หลังจากหลิ่วหมิงพิจารณาอย่างรอบคอบพักหนึ่ง ในที่สุดก็กัดฟันตกลง
แม้ได้ยินมาว่าสุสานราชายมโลกอันตรายยิ่งนัก แต่อย่างไรก็ดีกว่าตนถูกขังอยู่ในแดนยมโลกแห่งนี้ชั่วชีวิตจริงๆ มากนัก
“ดีมาก ข้ามองเจ้าไม่ผิด เป็นคนรู้จักสถานการณ์จริงๆ นี่คือหุ่นตัวแทน ยามวิกฤตเจ้าอาจใช้มันรักษาชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไว้ได้ แต่หุ่นตัวนี้ใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จงจำไว้ให้ดี อีกประการหนึ่งสุสานราชายมโลกเหล่านี้มีชั้นจำกัดมากมาย ข้าแนะนำว่าเจ้าเตรียมตัวให้พร้อมค่อยเข้าไปด้านในจะดีกว่า” ชิงหลิงเหมือนคาดไว้แล้วว่าหลิ่วหมิงต้องตกลง หลังฟังจบแสงสีขาวพลันสว่างขึ้นกลางฝ่ามือ หุ่นมนุษย์ตัวเล็กเท่าฝ่ามือตัวหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็สะบัดมือโยนมาให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยินดียิ่งนัก เขากวักมือกลางอากาศ รับหุ่นตัวน้อยไว้ในมือแล้วยกขึ้นพิจารณาในระดับสายตา
จึงเห็นว่าหุ่นน้อยตัวนี้ร่างกายยาวไม่ถึงครึ่งฉื่อ ทั้งตัวสีขาวปลอด ดูแล้วประณีตเหมือนจริงยิ่งนัก แต่ใบหน้าของคนตัวน้อยว่างเปล่า ไม่มีอวัยวะอยู่แต่อย่างใด
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตามอบให้!” เขามองสำรวจอยู่พักหนึ่งก็ประสานมือคำนับชิงหลิงทันที
“จำไว้ สิบปีหลังจากนี้พบกันที่นี่” ชิงหลิงเอ่ยขึ้นแล้วกางสองแขนออก แสงสีน้ำเงินโอบร่างกายของเขาไว้ “ฟึบ” จากนั้นก็หายไปจากตรงหน้าหลิ่วหมิง
ดวงตาของหลิ่วหมิงฉายแววตะลึงงันวูบหนึ่ง แม้แต่ชิงหลิงเหาะไปทางไหนเขาก็มองไม่ชัด พลังของผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ไม่ใช่สิ่งที่เขาในตอนนี้จะคาดเดาได้
เขาตรวจดูหุ่นตัวแทนในมืออย่างละเอียดอีกครั้งแล้วเก็บมันไปอย่างระมัดระวัง ต่อจากนั้นจึงมองสำรวจรอบด้านครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมีสีหน้าเหมือนฉุกคิดบางสิ่งแล้วเหาะไปยังจุดที่พวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสามคนสิ้นใจ
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เขาก็ยืนอยู่กลางท้องฟ้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ปราณดำในมือยกของสิ่งหนึ่งลอยขึ้นมา พวกมันก็คืออาวุธยมโลกสำหรับเก็บของของทั้งสามตน แล้วยังมีกระบี่ยาวสีม่วงสองเล่ม กระจกโบราณบานหนึ่ง มุกกลมสีแดงเพลิงหนึ่งเม็ดกับกำไลสีเพลิงอีกหนึ่งวงด้วย
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอาวุธยมโลกที่พวกผู้เฒ่าชุดสีน้ำเงินสามตนใช้ ล้วนเป็นระดับต้นแบบอาวุธเวท
ของดีในอาวุธเก็บของของทั้งสามตนก็ไม่น้อย นอกจากหินยมโลกสองแสนกว่าก้อน ในนั้นยังมีโอสถล้ำค่า สมุนไพรทิพย์กับหินแร่จำนวนหนึ่ง รวมถึงอาวุธยมโลกระดับสุดยอดอีกสิบกว่าชิ้น
แม้ของเหล่านี้หลิ่วหมิงจะใช้ไม่ได้ แต่เอาไปขายคงได้เงินมาอย่างไม่คาดคิดจำนวนไม่น้อย
น่าเสียดายพวกปี้เหยียนกับอาวุธเวทเก็บของที่ติดตัวพวกเขาล้วนสลายกลายเป็นเถ้าท่ามกลางเปลวเพลิงสีเงินของหุ่นหยกผลึกหมึกแล้ว มิเช่นนั้นข้าวของที่ตัวพวกเขาคงไม่ได้มีเท่านี้
หลิ่วหมิงนึกเสียดายแล้วพลิกมือเก็บของเหล่านี้ไป จากนั้นเขาก็ไม่ได้รั้งอยู่นานนัก มือข้างหนึ่งใช้เคล็ดวิชา กระบี่แม่ลูกยกร่างลอยขึ้นกลายเป็นแสงกระบี่สีเทาสายหนึ่งเหาะเร็วรี่จากไปไกล
หลายวันหลังจากนั้นหลิ่วหมิงแปลงกายเป็นหน้าตาของอิ่นหานอีกครั้ง แล้วกลับไปในเมืองปี้โยวหาที่พักแห่งใหม่อาศัยอย่างเงียบเชียบ
เขาเก็บตัวไม่ออกไปไหนหลายวันติดกัน ยังดีที่ไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เขาจึงโล่งอก
ในเมื่อรับปากชิงหลิงจะไปเอาอนธการธาตุเก้าแปรผันมาให้ เขาย่อมไม่ตรงไปยังสุสานราชายมโลกอย่างโง่ๆ แต่วางแผนรวบรวมข้าวของที่ต้องใช้จำนวนหนึ่งเสียก่อน
สถานที่อันรุ่งเรืองที่สุดในแดนวารีมืดหนีไม่พ้นเมืองปี้โยว มิเช่นนั้นหลิ่วหมิงคงไม่เสี่ยงอันตรายกลับมาที่นี่
เขาซ่อนตัวอย่างระมัดระวังอยู่หลายวัน จากนั้นจึงเริ่มตระเวนไปตามร้านรวงที่ขายคัมภีร์และข้าวของต่างๆ
……
เมืองชิงเยวี่ยเป็นเมืองขนาดไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กแห่งหนึ่งในแดนวารีมืด มันตั้งอยู่ห่างจากเมืองปี้โยวไกลนัก นับว่าเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตชายแดนของแดนวารีมืด
ยามนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี บนถนนหินเขียวสายหนึ่งในเมืองชิงเยวี่ยมีบุรุษวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าสีเทาผู้หนึ่งกำลังเดินอ้อยอิ่ง สายตามองสำรวจร้านรวงสองข้างทางอย่างไม่ทิ้งร่องรอย
หลังจากเดินลัดเลี้ยวอยู่พักใหญ่ บุรุษวัยกลางคนชุดเทาก็หยุดหน้าเหลาสุราสามชั้นที่ดูค่อนข้างเก่าแห่งหนึ่ง
เหนือประตูแขวนป้ายเก่าๆ ไว้แผ่นหนึ่ง แสงสว่างที่ทอดมากระทบทำให้มองเห็นตัวอักษรบนนั้นไม่ชัด
หางตาของบุรุษวัยกลางคนชุดเทาฉายแววเข้าใจกระจ่างเล็กน้อยก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไป
ในเหลาสุรามีลูกค้าไม่มาก ตรงโต๊ะคิดเงินมีบุรุษวัยกลางคนที่ดูสกปรกอย่างยิ่งคนหนึ่งกำลังดีดสิ่งที่หน้าตาเหมือนลูกคิดในมืออย่างเบื่อหน่าย
“ลูกค้าท่านนี้ต้องการรับประทานอาหารหรือไม่? ร้านเรามีสุราแปดสมบัติยมโลกมาใหม่ รับรองว่าท่านต้องพึงพอใจ” เสมียนตาไวคนหนึ่งเห็นบุรุษวัยกลางคนชุดสีเทาเดินเข้ามาก็มาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น