ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1099 ต้งหาว
“จัดห้องแยกให้ข้า แล้วยกอาหารดีๆ มาสักหน่อย”
บุรุษวัยกลางคนผู้สวมชุดสีเทาปัดชายผ้าที่ปิดตรงเอวออกอย่างไม่ใส่ใจ ป้ายหยกสีเทาแผ่นน้อยโผล่ออกมาแวบหนึ่ง บนนั้นมีอักษรยมโลกตัวน้อยสีเงินเลือนรางสองตัวเขียนไว้ว่า “ต้งหาว”
“ที่แท้เป็นลูกค้าพิเศษ ข้าน้อยเสียมารยาทแล้วที่ไม่ไปรับตั้งแต่หน้าร้าน เชิญตามข้ามาเถิด” เสมียนสายตาดีจนน่าตะลึง ป้ายหยกสีเทาโผล่ออกมาเพียงไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ เขาก็เหมือนจะมองเห็นชัดเจนแจ่มเจ้ง
เสมียนยิ้มให้บุรุษวัยกลางคนชุดเทาอย่างไม่แสดงทีท่าผิดแปลกทั้งสิ้น แล้วหมุนตัวเดินไปยังห้องโถงด้านหลัง
บุรุษวัยกลางคนชุดเทาไม่พูดมาก สองมือไพล่หลัง เดินตามไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ทั้งสองคนมาถึงห้องโถงด้านหลังเหลาสุรา เลี้ยวครั้งหนึ่งมาหยุดหน้าห้องพักห้องหนึ่ง
“ท่านลูกค้า ห้องข้างหน้านี้ขอรับ” เสมียนประสานมือคำนับบุรุษวัยกลางคนชุดเทาแล้วไม่รั้งอยู่ต่อ หมุนตัวจากไป
บุรุษวัยกลางคนชุดเทาเห็นเสมียนจากไปไกลแล้วก็ดึงสายตากลับมา ปล่อยจิตสัมผัสสำรวจรอบด้านครู่หนึ่งจากนั้นจึงมองไปยังห้องพักตรงหน้า
คนผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิง
ตอนนี้ผ่านไปแล้วสองปีเต็มหลังจากได้พบกับชิงหลิงที่ป่าผลึกหมึก
สองปีนี้เขาฝึกฝนไปพร้อมกับสืบหาข้อมูลสุสานราชายมโลกจากทั่วทุกแห่ง แต่สิ่งที่ได้กลับมาน้อยนิดยิ่งนัก
ทว่าสองเดือนกว่าก่อนหน้านี้ เขาบังเอิญได้รับรู้การมีอยู่ของ “ต้งหาว” กลุ่มอำนาจอันลึกลับอย่างยิ่งกลุ่มหนึ่งของยมโลก
เล่าลือกันกว่า “ต้งหาว” ทำตัวลึกลับยิ่งนัก พวกเขามีขุมกำลังกระจายอยู่ทั่วเมืองใหญ่ทุกแห่งของยมโลกและรับทำงานลับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นซื้อขายสิ่งหายากล้ำค่านานาชนิด แลกเปลี่ยนข่าวสารหรือแม้กระทั่งงานลอบสังหาร
สรุปได้ว่าขอเพียงจ่ายราคาสูงลิบลิ่วไหว กลุ่มอำนาจแห่งนี้ก็ไม่มีเรื่องที่ทำไม่ได้ ไม่มีข่าวที่สืบไม่ได้
ไม่มีผู้ใดรู้ว่ากลุ่มอำนาจต้งหาวแข็งแกร่งมากเพียงไร มีเพียงคำเล่าลือว่าเจ้าเมืองส่วนใหญ่ในยมโลกล้วนติดต่อกับพวกเขา แม้แต่ราชายมโลกบางตนก็ไม่เว้น ไม่เคยเข้ามายุ่งกับการทำงานแต่ละอย่างของพวกเขาในเขตแดนของตน
หลังจากหลิ่วหมิงรู้ถึงการมีอยู่ของกลุ่มอำนาจแห่งนี้ย่อมยินดีอย่างยิ่ง แต่อยากจะติดต่อกับกลุ่มอำนาจแห่งนี้และเข้าร่วมงานชุมนุมต้งหาวที่พวกเขาจัด จำต้องได้ตรามาถึงจะเข้าร่วมได้
หลิ่วหมิงเหลือบมองป้ายหยกสีเทาที่เอว หางตาพลันกระตุกนิดๆ เพื่อได้ของสิ่งนี้มา เขาต้องเสียค่าตอบแทนไปไม่น้อย จนวันนี้ก็ยังรู้สึกปวดใจอยู่เล็กน้อย
เขาส่ายศีรษะ สงบจิตใจแล้วก้าวไปข้างหน้า เคาะประตูห้องสองครั้ง
“เข้ามาเถอะ” ในห้องมีเสียงค่อนข้างแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้นทันที
“แกรก” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นครั้งหนึ่ง ประตูไม้ก็เปิดออก หลิ่วหมิงยกเท้าก้าวเข้าไปในห้อง
ห้องที่ตกแต่งเรียบง่ายอย่างยิ่งห้องหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า มีโต๊ะไม้แดงเพียงตัวเดียว ด้านหลังโต๊ะมีผู้เฒ่าชุดสีน้ำเงินหน้าตามีเมตตาตนหนึ่งนั่งสง่าอยู่ ทว่าใบหน้าไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย แลดูประหลาดอยู่บ้าง
ด้านข้างของห้องมีฉากกั้นสลักลายดอกไม้ขนาดใหญ่โตอยู่บานหนึ่ง ด้านบนเหมือนจะวางชั้นจำกัดบางอย่างที่ทอแสงหม่นหมองจางๆ
หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสบนร่างผู้เฒ่าชุดน้ำเงิน ลมปราณของคนผู้นี้ลึกล้ำแต่เก็บงำเอาไว้ เป็นถึงระดับแก่นแท้ขั้นปลาย
“ท่านมาเข้าร่วมงานชุมนุมต้งหาวครั้งนี้หรือ” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินถามอย่างเฉยเมย
“ไม่ผิด” หลิ่วหมิงดึงหยกที่เอวออกมาด้วยสีหน้าราบเรียบแล้วส่งให้อีกฝ่าย
ผู้เฒ่ายื่นแขนผอมแห้งข้างหนึ่งมารับป้ายหยกไป สายตากวาดบนป้ายหยก ในดวงตามีแสงสีขาวอ่อนจางแผ่ออกมา จากนั้นจึงพยักหน้าส่งป้ายหยกคืนให้หลิ่วหมิง
“ไม่มีปัญหา สหายเชิญเข้าไปเถิด” ผู้เฒ่าเงยหน้ามองหลิ่วหมิงอีกครั้งแล้วยกป้ายคำสั่งขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นหนึ่งออกมาแกว่งเบาๆ แสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งพรวดออกไปต้องฉากกันลมด้านในห้อง
ผิวของฉากกันลมมีแสงจิตวิญญาณเคลื่อนไหว เผยให้เห็นทางเชื่อมรูปวงกลมไม่ยาวเส้นหนึ่ง ซึ่งอีกด้านหนึ่งเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ทอแสงระยิบระยับ
“ด้านในคือทางเชื่อมไปยังสถานที่จัดงานชุมนุมต้งหาวครั้งนี้” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินเห็นหลิ่วหมิงท่าทางลังเลเล็กน้อยจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ
หลิ่วหมิงขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบหน้ากากผีอันหนึ่งออกมาสวม สิ่งนี้เป็นอาวุธยมโลกชิ้นหนึ่งที่เขาพบในอาวุธเก็บของของผู้เฒ่าชุดน้ำเงิน มันมีคุณสมบัติปิดกั้นจิตสัมผัส วันนี้ได้ใช้พอดี
หลังสวมหน้ากากเรียบร้อย ร่างกายของเขาก็พุ่งวูบเดียวทะลุทางเชื่อมไปยืนอยู่บนค่ายกลเคลื่อนย้ายด้านใน
แสงของค่ายกลเคลื่อนย้ายสั่นไหวพักหนึ่ง ร่างกายของเขาก็พลันหายไป
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าเบื้องหน้าพร่าเลือนวูบหนึ่ง เมื่อแสงสว่างสลายลง เขาก็ปรากฏตัวในถ้ำขนาดเกือบร้อยจั้งแห่งหนึ่ง
“ยินดีต้อนรับท่านสู่งานชุมนุมต้งหาวแห่งแดนวารีมืด” เสียงสตรีใสกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น
สตรีเผ่ายมโลกผู้ปิดบังใบหน้าและสวมอาภรณ์ตัวยาวสีดำขาวตนหนึ่งยืนอยู่ข้างค่ายกลเคลื่อนย้าย
หลิ่วหมิงพยักหน้าหลังจากนั้นกวาดสายตามองไปรอบด้าน
ไกลออกไปด้านในถ้ำมีบันไดขึ้นไปยังแท่นราบเรียบหลายสิบอัน บนแท่นเรียบแต่ละอันล้วนมีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่กำลังทอแสงระยิบระยิบน้อยๆ อยู่ค่ายกลหนึ่ง
ด้านข้างค่ายกลแต่ละค่ายกลมีป้ายสลักป้ายหนึ่งตั้งอยู่ บนนั้นระบุชื่อเมืองแต่ละแห่งเอาไว้ ด้านข้างมีเผ่ายมโลกที่ปิดบังใบหน้า สวมชุดสีขาวดำยืนอยู่แท่นละหนึ่งตน
“เมืองเหลิ่งเยวี่ย”
“เมืองโซ่วเทียน”
“เมืองหานสุ่ย”
……
สายตาหลิ่วหมิงกวาดมองคร่าวๆ ครั้งหนึ่งก็พบว่าเมืองหลายแห่งที่ตนเองรู้จักอยู่ในนั้นด้วย
หลิ่วหมิงเดินลงจากแท่นไปด้วยสีหน้าเฉยเมยแล้วเดินไปตามทางเดินเบื้องหน้า
ผ่านไปไม่นานนัก เบื้องหน้าก็มีแสงสว่าง ลานกว้างใต้ดินมหึมาลานหนึ่งปรากฏในสายตา
ลานกว้างใต้ดินแห่งนี้เป็นรูปวงกลมขนาดถึงหลายสิบหมู่ เห็นชัดว่ากว้างขวางอย่างยิ่ง บนเพดานฝังหินที่แผ่แสงสีขาวนวลไว้มากมายส่องให้พื้นที่ใต้ดินทั้งหมดสว่างไสว
เวลานี้ในลานกว้างมีเผ่ายมโลกยืนอยู่ประปรายห้าหกร้อยตน แลดูค่อนข้างครึกครื้น
นอกจากสมาชิกกลุ่มต้งหาวที่สวมอาภรณ์สีขาวดำเหล่านั้น คนอื่นที่เหลือส่วนใหญ่ก็ล้วนเหมือนหลิ่วหมิงสวมหน้ากากหรือผ้าคลุมที่มีอิทธิฤทธิ์ปิดบังใบหน้า บางส่วนใช้วิชาลับปิดบังหน้าตาจนใบหน้าพร่ามัว
จิตสัมผัสของหลิ่วหมิงกวาดผ่านๆ ในใจหวาดหวั่นเล็กน้อย ลมปราณที่แผ่ออกมจากตัวคนที่นี่ ครึ่งหนึ่งเป็นระดับแก่นแท้ขึ้นไป
อีกด้านหนึ่งของลานกว้างมีสิ่งก่อสร้างรูปทรงเหมือนหอขนาดไม่เท่ากันอยู่หลายหลัง มีเผ่ายมโลกเข้าออกด้านในเป็นระยะ ประตูหอแต่ละแห่งแขวนป้ายทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าไว้แผ่นหนึ่ง
ดูจากชื่อที่เขียนอยู่บนป้ายน่าจะแยกเป็นค้าขายข้อมูล แลกเปลี่ยนสมบัติกับภารกิจอย่างการลอบสังหารเป็นต้น
หลิ่วหมิงไม่ได้ประหลาดใจกับภาพที่ปรากฏตรงหน้านี้นัก กลุ่มต้งหาวนอกจากรับภารกิจทั่วไปแล้ว ทุกช่วงหนึ่งจะจัดงานชุมนุมใหญ่รวมทั้งอาณาเขตเช่นนี้ครั้งหนึ่ง แต่สถานที่แต่ละครั้งต่างกันก็เท่านั้น
การมาถึงของหลิ่วหมิงไม่ได้ดึงความสนใจจากเผ่ายมโลกตนใดมาทั้งสิ้น เขาย่อมยินดีที่เป็นเช่นนี้ ก้าวเดินไปข้างหน้าทันที
ผลปรากฏว่าเมื่อเขาเดินมาถึงใจกลางลานกว้างก็พบว่ามีเผ่ายมโลกไม่น้อยตั้งร้านอย่างง่ายๆ อยู่จำนวนหนึ่ง มีคนเดินมาสำรวจเป็นระยะ
เขาเห็นเช่นนี้ก็นึกสนใจ
ยังมีเวลาอยู่มาก ไม่สู้ไปดูสักหน่อยว่าจะหาของที่มีประโยชน์สักหน่อยจากในมือผู้ฝึกฝนเหล่านี้ได้หรือไม่
จะว่าไปแล้วงานชุมนุมต้งหาวนี้ก็เป็นสถานที่ขายทอดของที่ขโมยมาได้ดีที่สุด เคล็ดวิชา อาวุธยมโลกและวัตถุดิบหายากจำนวนหนึ่งที่ไม่กล้าขายด้านนอก ขอเพียงมาถึงที่แห่งนี้ ผู้ใดก็ล้วนไม่สืบเสาะที่มาของสมบัติ มีแต่การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เพียงเจ้ายินดีข้ายินยอมก็พอ
ดังนั้นอาวุธเวทมีชื่อของยอดฝีมือที่สิ้นชีพในโลกภายนอกจำนวนหนึ่ง หรือแม้กระทั่งสมบัติวัตถุดิบจิตวิญญาณบางอย่างที่ถูกปล้นไปจากเจ้าเมืองก็อาจจะโผล่อยู่ที่นี่
หลิ่วหมิงเดินอยู่ในห้องโถงอันกว้างขวาง สายตาสอดส่องไปทั่วตามใจ
เมื่อเขาเดินผ่านแผงร้านค้าแผงหนึ่ง ดวงตาก็วาววับในทันใด
เจ้าของแผงเป็นบุรุษร่างใหญ่สวมหน้ากากเด็กน้อยตนหนึ่ง ด้านหน้ามีโต๊ะไม้เรียบๆ ตัวหนึ่งวางข้าวของละลานตากองอยู่เต็ม แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของหลิ่วหมิงกลับเป็นหยกดิบทรงกลมสีเลือดก้อนหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่ตรงมุม
หลิ่วหมิงมองของตรงหน้า ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก บุรุษร่างใหญ่ผู้สวมหน้ากากเด็กน้อยตรงหน้ากลับใช้เคล็ดวิชาสร้างกำแพงกั้นเสียงสีขาวหม่นชั้นหนึ่งล้อมทั้งสองคนไว้ด้านใน
“ท่านถูกใจหยกตะวันอุ่นก้อนนี้หรือ? ของสิ่งนี้ตอนนี้พบได้ไม่มาก เหมาะสำหรับสร้างอาวุธยมโลกประเภทป้องกันที่สุด ถึงจะแค่สวมใส่ติดกายไว้ก็ป้องกันค่ายกลหรือชั้นจำกัดธาตุเย็นจำนวนหนึ่งได้ ห้าหมื่นหินยมโลก ไม่ต่อราคา” บุรุษร่างใหญ่หน้ากากเด็กน้อยเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“หยกตะวันอุ่น?”
หลิ่วหมิงฟังแล้วพลันหรี่ตา
คนตรงหน้าหาได้พูดจาส่งเดช ของสิ่งนี้เป็นหยกจิตวิญญาณชนิดหนึ่งที่หายากยิ่งนักในยมโลก สมควรกับราคานี้ หากอยู่บนแผ่นดินจงเทียน ราคาคงจะสูงกว่านี้อยู่บ้าง
จากที่เขาสืบข่าวมาหลายปีนี้ สุสานราชายมโลกแห่งนั้นตั้งอยู่ตรงรอยต่อระหว่างแดนวารีมืดกับแดนตัณหามืด ใกล้กับขอบนอกของทั้งสองดินแดนและคลื่นความเย็นอันรุนแรงอย่างยิ่งสายหนึ่ง
คลื่นความเย็นนี้รุนแรงยิ่งนักจนแทบจะเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับภัยพิบัติธรรมชาติอย่างหนึ่ง ยิ่งเมื่อได้รับผลกระทบจากภูมิประเทศพิเศษของสุสานราชายมโลก แม้ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ต้องการฝ่าเข้าไปก็ยากลำบากยิ่งนัก
หากเขาได้หยกตะวันอุ่นชิ้นนี้มาย่อมมั่นใจได้มากขึ้น
“ข้ามีกระบี่ระดับต้นแบบอาวุธเวทคู่หนึ่งแล้วจะเพิ่มหินยมโลกอีกหนึ่งหมื่นก้อนแลกกับหยกตะวันอุ่นชิ้นนี้ ท่านมีแต่ได้กำไรไม่ขาดทุน เป็นอย่างไร” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน แล้วใช้เคล็ดวิชา กระบี่ยาวสีม่วงตลอดเล่มสองเล่มปรากฏขึ้นในมือ
นี่ก็คืออาวุธยมโลกคู่มือของเจี้ยนอู่ชายหนุ่มผู้สะพายกระบี่ผู้นั้นที่ตายในมือของซวีหลิงนั่นเอง
“หึๆ เหลือเฟือ เหลือเฟือ” บุรุษร่างใหญ่ผู้สวมหน้ากากเด็กน้อยผู้นั้นกวาดสายตามองกระบี่คู่ในมือหลิ่วหมิง ดวงตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วรีบร้อนส่งหยกในมือมาให้ราวกับกลัวหลิ่วหมิงจะนึกเสียใจ
หลิ่วหมิงไม่พูดมาก มือข้างหนึ่งยกขึ้นชี้ หยกก็ลอยมาถึงมือในพริบตา กระแสความร้อนไหลตาฝ่ามือขยายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว ทำให้ทั้งร่างราวกับลุกติดไฟ
หยกตะวันอุ่นไม่ผิดจริงๆ ดูท่ามาครั้งนี้จะไม่มาเสียเที่ยวแล้ว
หลิ่วหมิงลอบดีใจอยู่เงียบๆ แล้วโยนกระบี่คู่ในมือกับหินยมโลกถุงหนึ่งไปให้ จากนั้นเขาก็ไม่หยุดอยู่นาน เพ่งจิตเก็บหยกแล้วจากไป
แม้กระบี่คู่นี้จะไม่เลว แต่เขามีกระบี่วิญญาณมืดแม่ลูกสองเล่มนี้ที่ไม่ด้อยกว่ากับกระบี่ขู่หลุนอยู่แล้ว ย่อมสู้เอาออกมาแลกสมบัติชิ้นอื่นที่จำเป็นเร่งด่วนไม่ได้
หลิ่วหมิงเดินตระเวนอยู่อีกพักหนึ่งก็ไม่พบของที่เหมาะกับตนชื่นอื่นอีก จึงมองไปยังหอหลายหลังที่อยู่ไกลๆ หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ก้าวยาวๆ ไปยังสิ่งก่อสร้างหลังหนึ่งที่เตี้ยที่สุดในนั้น
ป้ายเหนือประตูใหญ่ของอาคารสองชั้นหลังนี้เขียนตัวอักษรขนาดใหญ่สามตัวไว้เด่นชัดว่า “หอล่วงรู้อดีต”