ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 110 แขกผู้ชั่วร้าย
“ครึ่งเดือนในการสำรวจแดนลึกลับที่ไม่รู้จัก เกรงว่ามันจะกระชั้นชิดเกินไป อีกอย่างเราก็ยังไม่รู้ว่าแดนลึกลับนี้มีขนาดเท่าไหร่ ในนั้นมีทางออกทางอื่นหรือไม่” ประมุขนิกายปีศาจได้ยินก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย
“เวลากระชั้นชิดเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลี่ยง ผู้อาวุโสอย่างพวกข้าไม่กี่คนก็รับรองได้แค่ว่าทางเข้าจะปลอดภัยภายในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น พวกเจ้าก็ฟังให้ดี เข้าไปแล้วต้องคำนวณเวลาให้ดี พอถึงเวลาแล้วไม่ว่าจะค้นพบอะไรก็ตามให้รีบออกมาตรงเข้าทางให้เร็วที่สุด ถ้ามาช้าล่ะก็จะถูกขังอยู่ในนั้นตลอดกาล” อาจารย์ปู่เยี่ยนกล่าวกำชับกับบรรดาศิษย์ทั้งหลาย
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ได้ยินต่างก็ขานตอบรับกลับไป “ทราบ!”
“นอกจากนี้ลำดับของการทดสอบความเป็นความตายในครั้งนี้ก็วัดจากทรัพยากรที่พวกเจ้าหามาได้จากในนั้น พอถึงเวลานั้นไม่ว่าพวกเจ้าจะได้ทรัพยากรจากในนั้นมามากน้อยเท่าไหร่ ข้ารับรองให้ว่าพวกเจ้าวามารถเก็บไว้ได้หนึ่งในสิบ เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนจากการเผชิญอันตรายในครั้งนี้” อาจารย์อาเยี่ยนโบกมือกล่าวออกมา
ตอนนี้ศิษย์ทั้งหลายต่างก็ดีใจมากขึ้นกว่าเดิม
“ใช่สิ! ศิษย์หลานประมุข ของที่ข้าให้เจ้านำมาจากคลังเก็บสิ่งของเหล่านั้น เจ้าได้นำมันมาด้วยหรือไม่?” ผู้อาวุโสชุดเทานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามออกไป
“ในเมื่อเป็นคำสั่งที่อาจารย์อาสั่งโดยเฉพาะ ศิษย์หลานจะลืมได้อย่างไร สิ่งของทั้งหมดข้านำมันมาแล้ว!” พอประมุขนิดายปีศาจได้ยินก็กล่าวโดยไม่ต้องคิด
“เช่นนี้ก็ดี! นำพวกมันออกมาให้พวกเขารู้จักก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ!” อาจารย์ปู่เยี่ยนพยักหน้า
“ทราบ!”
ประมุขนิกายปีศาจตอบรับแล้วก็หยิบผ้าไหมสีเหลืองอ่อนที่พับซ้อนกันกับมุกกลมๆ สีขาวขนาดเท่าหัวแม่มือแต่ละเม็ดออกมาจากแขนเสื้อ หลังสะบัดเล็กน้อยพวกมันต่างก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ
หลิ่วหมิงยกแขนขึ้นคว้าเอาผ้าไหมและมุกไว้ในกำมือ และพินิจดูด้วยความสงสัย
ผ้าไหมนี้บางราวกับปีกของจั๊กจั่น แต่บนพื้นผิวมีอักขระสีเหลืองอ่อนจารึกอยู่เป็นชั้นๆ ทำให้คนที่มองเห็นรู้สึกตาลายวิงเวียนศีรษะขึ้นมา
มุกกลมๆ นั้นกลับดูโปร่งใส ราวกับผลึกหินทั่วไป
“ผ้าย่อส่วนเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ พวกมันไม่มีความสามารถอื่นใด มีชั้นจำกัดแค่หนึ่งชั้น แต่กลับสามารถย่อส่วนสิ่งของขนาดใหญ่ที่ห่ออยู่ให้เล็กลงกว่าเดิมถึงร้อยเท่า ทำให้พกพาได้สะดวก มีข้อเสียอย่างเดียวคือไม่ว่าสิ่งของเหล่านี้จะถูกลดขนาดไปเท่าไหร่ก็ตามแต่น้ำหนักเดิมของมันก็ยังคงอยู่ ส่วนมุกสัมผัสเหล่านั้นต่างก็ใช้เคล็ดวิชาหลอมสร้างมาเป็นพิเศษ มันสามารถรับรู้ตำแหน่งของเม็ดอื่นๆ ภายในระยะสิบลี้ได้ พวกเจ้าพกมันติดตัวอย่างละหนึ่งชิ้น เมื่อเข้าไปในแดนลึกลับแล้วจะต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน” อาจารย์ปู่เยี่ยนอธิบายเล็กน้อย
พอศิษย์ทั้งหมดได้ยินเช่นนี้ ต่างก็พากันขอบคุณที่มอบสิ่งของให้
“เอาล่ะ! พวกเจ้าไปทำความคุ้นเคยกับของทั้งสองชิ้นก่อน พรุ่งนี้เมื่อศิษย์ของนิกายวาตอัคคีมาถึง พวกเราก็จะเข้าไปในแดนลึกลับเลย” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“รับทราบ!”
“รับทราบ!”
ศิษย์ทั้งหลายตอบรับแล้วก็ค่อยๆ ทยอยกันออกไปจากหอหิน จากนั้นก็เริ่มศึกษาวิธีการใช้ของที่เพิ่งจะได้รับมาทั้งสองชิ้น
จนเมื่อหลิ่วหมิงและศิษย์คนอื่นๆ ออกไปจากห้องโถงแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของประมุขนิกายปีศาจค่อยๆ เลือนหายไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันหน้าไปถามผู้อาวุโสชุดเทา
“อาจารย์อา ท่านคิดว่าศิษย์เหล่ายนี้เป็นอย่างไรบ้าง สามารถสู้กับศิษย์นิกายอื่นๆ ได้ไหม?”
“ไม่อาจกล่าวได้ ข้าเองก็เห็นศิษย์นิกายอื่นเพียงแค่ไกลๆ เท่านั้น และก็ไม่ได้ลงมือทดสอบพลังของพวกเขาด้วยตนเอง แต่ถ้าอาศัยแค่ความรู้สึกของข้าล่ะก็ นิกายของเราอาจจะไม่ค่อยมีหวังมากนัก” ผู้อาวุโสชุดเทากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ! ศิษย์ที่นิกายเรานำมาในครั้งนี้แข่งแกร่งกว่าการประลองใหญ่ในปีก่อนหน้ามาก” อาจารย์อาจางถามออกมาอย่างอดไม่ได้
“ศิษย์นิกายเราเหล่านี้ไม่เลวเลยจริงๆ ถ้าข้าดูไม่ผิดล่ะก็ เจ้าเด็กหยางเฉียนนั้นดูเหมือนจะทำพลังเวทย์ในร่างให้บริสุทธิ์ไปแล้วรอบหนึ่ง ถ้าหากยอมก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณล่ะก็ เกรงว่าจะมีโอกาสอย่างน้อยสามในสิบส่วน เฟิงฉานนั้นดูจากใบหน้าและไอดำระหว่างคิ้วของเขาแล้ว ดูเหมือนจะฝึกฝนร่างศพเหล็กไปจนถึงระดับที่ชำนาญค่อนข้างมาก เจ้าเด็กที่มีพลังธาตุอัสนีเต็มไปทั่วร่างนั้นคงจะเป็นศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนีผู้นั้นใช่ไหม ยังมีเจ้าเด็กเกาชงที่ดูเหมือนจะมีกลิ่นไอเข้าใกล้อาจารย์จิตวิญญาณแล้ว คงเป็นเพราะว่าเขาได้กลั่นโลหิตอสูรมังกรแดงที่ข้ามอบให้หยดนั้นสำเร็จแล้ว แน่นอนว่าคนอื่นๆ ก็ดูไม่เลวเลย ถ้าว่ากันตามการทดสอบความเป็นความตายในปีที่ผ่านมา พวกเขาคงจะได้ตำแหน่งที่ดีอย่างแน่นอน แต่ถ้าข้าดูไม่ผิดล่ะก็ ศิษย์นิกายอื่นๆ ก็ปรากฏศิษย์ผู้มีพรสวรรค์อันน่าตกใจเช่นกัน พลังของพวกเขาแข็งแกร่งมาก เกรงว่าจะแข็งแกร่งกว่าหยางเฉียนด้วยซ้ำ โดยเฉพาะศิษย์หญิงของนิกายจันทราสวรรค์ผู้หนึ่ง ตามที่แอบสังเกตนางด้วยพลังระดับผลึกของข้า ไม่คาดคิดว่านางจะรับรู้ได้ในทันทีและมองมาที่ข้าอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้ไม่อาจใช้คำว่าศิษย์ผู้มีพรสวรรค์มาอธิบายได้แล้ว คงต้องใช้คำว่ามารร้ายมาบรรยายน่าจะเหมาะว่า”
“อะไรนะ! สามารถรับรู้ได้ว่าอาจารย์อาสังเกตดูอยู่ เป็นไปได้อย่างไร!”
“ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงล่ะก็ จะต้องเป็นศิษย์หญิงที่มีร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ของนิกายจันทราสวรรค์ผู้นั้นแน่นอน”
ผู้อาวุโสแซ่หวงกับนักพรตวัยกลางคนหลุดปากพูดออกมาติดๆ กัน
“อือ! ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน และนอกจากนิกายจันทราสวรรค์แล้ว นิกายอื่นๆ ก็มีศิษย์ที่มีกลิ่นไอไม่ธรรมดา เกรงว่าถ้าพวกของหยางเฉียนได้เจอกับพวกเขา ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาชนะได้อย่างแน่นอน” อาจารย์ปู่เยี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงล่ะก็ ไม่เท่ากับว่าการทดสอบความเป็นความตายในครั้งนี้ นิกายของเราต้องอยู่ในอันดับรั้งท้ายอีกแล้ว” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“อันนี้ก็พูดยาก ในเมื่ออันดับแพ้ชนะในการประลองครั้งนี้วัดจากจำนวนทรัพยากรที่รวบรวมมาได้ ขอแค่ศิษย์นิกายเราเหล่านี้ดวงดีสักหน่อย และมีไหวพริบในการหลบหลีกผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งของนิกายอื่นๆ เล็กน้อย ไม่แน่พวกเขาอาจจะนำเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึงมาให้พวกเราก็ได้” ผู้อาวุโสชุดเทากล่าวด้วยสีหน้าที่กลับมาดูสงบดังเดิม
“คงได้แต่คาดหวังว่าจะเป็นเช่นนี้” ประมุขนิกายปีศาจมีสีหน้าดีขึ้นก่อนที่จะถอนหายใจกล่าวออกมา
……
ในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงกำลังเล่นอยู่กับผ้าไหมสีเหลืองอ่อนในมือจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร!
เขานำผ้าไหมปกคลุมหินสีขาวเทาใต้เท้าที่มีขนาดใหญ่เท่าแตงโมหนึ่งชิ้น หลังจากที่มันถูกย่อส่วนให้เท่าเมล็ดถั่วแล้ว เขาก็หยิบมันออกมาและขยายเป็นขนาดใหญ่เท่าเดิม
ส่วนมืออีกข้างก็ถือมุกสีขาวในมือเม็ดหนึ่ง มันกำลังเปล่งแสงสีขาวจางๆ ออกมา ถ้าใช้สายตาจ้องมองอย่างละเอียดล่ะก็จะพบกับจุดดำเล็กๆ ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารสิบจุด อยู่ในแต่ละส่วนของมุกเม็ดนั้น บ้างก็หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว บ้างก็ค่อยๆ เคลื่อนย้ายอยู่ไม่หยุด
หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลิ่วหมิงก็ดูเหมือนจะเล่นจนเบื่อแล้ว จึงเก็บของทั้งสองสิ่งเข้าไป จากนั้นก็หามุมที่ไม่มีคนนั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าฌานอย่างเงียบๆ
ขณะที่กำลังหายใจเข้าออกอยู่นั้น เข็มแหลมเล็กราวกับเส้นขนที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อก็ค่อยๆ เปล่งประกายขึ้นมา ราวกับว่ากำลังแอบตอบสนองอยู่ไม่หยุด
บนแขนทั้งสองของเขาต่างก็มีปุ่มขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองค่อยๆ นูนขึ้นมา ในนั้นห่อหุ้มสิ่งของขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารสีดำขาวข้างละหนึ่งสี มันกำลังพองยุบตามจังหวะการหายใจเข้าออกของหลิ่วหมิง ดูคล้ายกับเป็นสิ่งมีชีวิตอันแปลกประหลาด
ขณะนี้ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าส่องมากระทบหลังหลิ่วหมิงและศิษย์นิกายปีศาจคนอื่นๆ จนดูราวกับว่าหลังของพวกเขาถูกทาด้วยโลหิตสดๆ ให้ผู้พบเห็นรู้สึกเคร่งขรึมอย่างบอกไม่ถูก
……
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่พลันรู้สึกราวกับว่าหินโสโครกใต้ร่างมีการสั่นสะเทือน ถึงแม้มันจะเบามากแต่ก็ทำให้เขาตกใจจนออกฌาณได้ เขารีบมองออกไปด้วยความแปลกใจ
ระลอกน้ำบนพื้นผิวทะเลสาบบริเวณนั้นค่อยๆ กระเพื่อมขึ้นมา และแรงสั่นสะเทือนตรงหินโสโครกใต้ร่างยิ่งรุนแรงมากขึ้น พื้นทะเลสาบก็เริ่มก่อตัวเป็นคลื่นราวกับถูกพายุพัดผ่าน
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้ยินเสียงแว่วๆ ดังกระหึ่มมาจากที่ไกลๆ ตอนแรกเสียงมันเบามาก แต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นเสียงที่ดังมากขึ้นกว่าเดิม
ขณะนี้ทะเลสาบทั้งผืนสั่นสะเทือนรุนแรงมากยิ่งขึ้น
การสั่นสะเทือนอันรุนแรงนี้ ย่อมทำให้ศิษย์คนอื่นๆ และประมุขนิกายปีศาจกับอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ที่กำลังพักผ่อนอยู่ในหอหินต่างก็เดินออกมาด้วยความตกใจ
พวกเขามีสีหน้างุนงง และแหงนหน้าจ้องมองขอบฟ้าอยู่ไม่หยุด
แต่กลับไม่มีร่องรอยของอาจารย์ปู่เยี่ยนผู้นั้น ไม่รู้ว่าเขาไปจากหินโสโครกตั้งแต่ตอนไหน
นิกายจันทราสวรรค์และนิกายต่างๆ ที่อยู่บนหินโสโครกอื่นๆ ต่างก็มีท่าทีตอบสนองที่พอๆ กัน ศิษย์จำนวนมากต่างก็ลุกขึ้นแหงนหน้าเบิ่งมองท้องฟ้าอยู่ไม่หยุด
หลังจากรอดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีจุดสีดำปรากฏบนท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป และค่อยๆ ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ครู่เดียวก็กลายเป็นยอดเขาสีดำมืดมิดสูงสองร้อยจั้ง และเหาะมาทางหินโสโครกอย่างรวดเร็ว
ในขณะนี้เสียงกระหึ่มดังก้องจนหูจะหนวก ทะเสสาบทั้งผืนก็ยิ่งสั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด และยังมีคลื่นยักษ์ม้วนตัวสูงจั้งกว่าๆ
“ยอดเขาเหาะ! ทำไมสำนักวาตอัคคีถึงได้ใช้ของล้ำค่าชิ้นนี้พาพวกเขามาที่นี่ มันดูไม่ถูกต้องมากนัก” พอเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของยอดเขาสีดำชัดเจน ผู้อาวุโสแซ่หวงก็กล่าวกับประมุขนิกายปีศาจด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
“มันช่างดูแปลกประหลาดจริงๆ! แต่อย่าเพิ่งร้อนใจไป รอคนของนิกายวาตอัคคีมาถึงก่อนแล้วดูว่าพวกเขาจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร ข้าคิดว่าต่อให้นิกายวาตอัคคีจะโง่เขลาแค่ไหน แต่ก็คงไม่เลือกเป็นศัตรูกับพวกเราทั้งสี่นิกายพร้อมกันหรอก” ประมุขนิกายปีศาจขมวดคิ้วกล่าวออกมา
และบนหินโสโครกอื่นๆ ผู้ที่แต่งชุดอาจารย์จิตวิญญาณต่างก็แอบกระซิบกันอยู่เบาๆ เห็นได้ชัดว่ามีพวกเขาต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึมปรากฏออกมา
ครู่ต่อมา ในที่สุดยอดเขาสีดำก็พาพายุบ้าระห่ำมาปรากฏตัวเหนือหินโสโครกทั้งหลาย และหยุดลงบนอากาศที่อยู่สูงจากผิวทะเลสาบร้อยจั้ง
หลังจากที่มีเสียงหัวเราะอันดังมาจากปลายยอดเขาสีดำ ก็มีคนสี่สิบถึงห้าสิบคนเหาะออกมา นักพรตวัยกลางคนคนแรกที่สวมชุดนักพรตสีทองกล่าวอยู่บนอากาศด้วยเสียงอันดัง
สหายทั้งหลายโปรดให้อภัย เหตุที่ประมุขนิกายของเรามาช้าไปหน่อยเป็นเพราะว่ามีแขกคนสำคัญมาหาพอดี พอเขาได้ข่าวว่ามีทางเข้าแดนลึกลับปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ก็ตั้งใจนำของล้ำค่ามาช่วยพวกเราอีกแรง”
พอนักพรตชุดสีทองกล่าวจบก็หลีกทางให้กับชายชุดลายอสรพิษที่มีใบหน้าผอม จมูกแหลม สีหน้าอึมครึม ดวงตาทั้งสองเปล่งประกาย
และพอชายผู้นี้ปรากฏตัวออกมา ก็กวาดสายตามองไปข้างล่างอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่เกรงใจ
“ที่นี่มีแค่เด็กอย่างพวกเจ้าหรือ? ผู้อาวุโสระดับผลึกไปไหนกันหมด!”
……………………………………….