ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1103 มุสิกเพลิงพิภพ
โดยทั่วไปแล้วเผ่ายมโลกและภูตผีหากพบแสงธาตุหยางเข้มข้นเช่นนี้ย่อมหลบเลี่ยงแทบไม่ทัน
ดังนั้นค่ายกลตะวันระอุซึ่งเป็นมหาค่ายกลธาตุร้อนที่แข็งแกร่งที่สุดจะข่มเผ่ายมโลกเพียงใด คิดดูก็รู้
มิน่าอินหลิวจึงเหมือนจะตกใจอย่างยิ่ง
“ขอบคุณพี่อินที่เอ่ยปากเตือน ค่ายกลนี้ดูแคลนไม่ได้เลยจริงๆ เพียงสัมผัสเล็กน้อยหนังเกินกว่าครึ่งก็ลอกหายไปเสียแล้ว” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ พร้อมกับรั้งแขนกลับมา ปราณดำกลุ่มหนึ่งวนเวียนรอบผิวที่ไหม้บนแขนเล็กน้อย ผิวหนังก็สมานเร็วไวชนิดที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“ที่แห่งนี้ไม่สมควรรั้งอยู่นาน ต้องผ่านแผ่นดินรกร้างผืนนี้ไปให้เร็วที่สุด โชคดีที่ดวงตะวันทั้งสิบดวงนี้อยู่ห่างกันค่อนข้างมาก ยังมีช่องว่างเหลืออยู่มากมาย” อินหลิวเอ่ยเตือนจบก็ล้วงลูกแก้วกลมที่ทอแสงสีฟ้าหม่นลูกหนึ่งออกมาจากเสื้อแล้วบีบเบาๆ
“ฟู่!” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น
ผิวลูกแก้วเปล่งแสงสีฟ้าวูบหนึ่ง ทันใดนั้นเงาเลือนรางของปลาหลีสีฟ้าใสขนาดหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาส่ายหัวสะบัดหาง แล้วพ่นน้ำผืนใหญ่ออกจากปากล้อมอินหลิวเอาไว้ด้านใน
ร่างกายของอินหลิวบิดเบี้ยวเล็กน้อย จากนั้นเงาเลือนรางของปลาหลีก็สะบัดครีบสองข้างประหนึ่งเล่นน้ำกลายเป็นเงาสีฟ้าเรียวยาวสายหนึ่งพาอินหลิวพุ่งไปด้านหน้าดังฟุบ
ทันทีที่แสงสีทองทั่วผืนฟ้าร่วงต้องเงาน้ำสีฟ้า สายน้ำก็ระเหยกลายเป็นหมอกควันลอยคดเคี้ยว แต่ปลาหลีพ่นน้ำออกจากปากไม่หยุดจึงคงสภาพสมดุลไม่เพิ่มไม่ลดเอาไว้ได้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ สองมือก็ใช้เคล็ดวิชา หมอกสีดำทะลักออกมาจากทั่วร่างม้วนอยู่รอบกาย พริบตาเดียวกลายเป็นเกราะหมอกสีดำสนิทดั่งหมึกชั้นหนึ่งป้องกันทั้งตัวจากหัวจรดเท้าไว้แม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่อาจลอดผ่าน
หลังจากนั้นสองเท้าของเขาพลันกระทืบพื้นกลายเป็นเงาดำสายหนึ่งพุ่งตามหลังเงาปลาหลีสีฟ้าใสไปติดๆ
พริบตาที่หลิ่วหมิงเข้าไปในทะเลทรายรกร้าง ทั่วทั้งร่างพลันร้อนผ่าว ปราณสีดำบนร่างตั้งแต่บนจรดล่างส่งเสียงดังชี่ละลายหายไปไม่หยุด ทว่าเขาโคจรพลังเวทถ่ายเทเข้าไปอย่างต่อเนื่อง เกราะป้องกันจึงยังปลอดภัยอยู่ชั่วคราว
ทั้งสองคนเหาะไล่ตามหลังกันมาไม่ถึงสิบกว่าลี้ ฝั่งตรงข้ามก็พลันมีคลื่นความร้อนลูกหนึ่งเข้าจู่โจม แสงสีทองบนท้องฟ้าทอประกายระยิบระยับ แสงสีทองเรืองรองแถบใหญ่สาดลงมาจากดวงตะวันเจิดจ้าสีทองสิบดวงเหนือศีรษะอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ในเวลาเดียวกันดวงตะวันเจิดจ้าสีทองสิบดวงก็เริ่มเคลื่อนไหวแปลกประหลาด พวกมันค่อยๆ เรียงตัวเป็นรูปวงแหวนแล้วเคลื่อนวนอย่างเชื่องช้า
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าความร้อนทั่วร่างเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งร่างถูกแสงเรืองรองสีทองล้อมไว้อย่างแน่นหนาแม้แต่สายลมก็ไม่อาจผ่าน ไอหมอกสีดำบนร่างสลายเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน
สภาพของอินหลิวที่อยู่ด้านหน้าเหมือนจะย่ำแย่ยิ่งกว่า
ทันทีที่แสงเรืองรองสีทองสาดลงมา น้ำที่ล้อมรอบตัวอินหลิวก็ระเหยเร็วกว่าเดิมมากจนเหมือนจะเดือดอยู่เลือนราง เงาปลาหลีสีฟ้าเริ่มมีรูขนาดเท่ากำปั้นปรากฏทีละรู เงาปลาหลีหดเล็กลงเรื่อยๆ สีหน้าของอินหลิวก็แย่ลงเล็กน้อย
“แย่แล้ว คิดไม่ถึงว่าผู้ที่วางค่ายกลจะฝีมือสูงส่งเช่นนี้จนทำให้ค่ายกลตะวันระอุแสดงฤทธิ์ถึงขั้นนี้ได้…มาถึงตอนนี้ทำได้แค่คิดหาวิธีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแล้ว!”
อินหลิวส่งกระแสจิตหาหลิ่วหมิงประโยคหนึ่ง ดวงตาก็ทอแสงเจิดจ้า แสงสีฟ้าทั่วร่างไหลเคลื่อนอยู่พักหนึ่ง ทั่วทั้งร่างของเงาปลาหลีก็เข้มขึ้นหลายส่วน
“ฟู่” ประกายสีฟ้าเต้นระริกพุ่งออกมาเร็วจี๋กว่าเดิมจนฝืนต้านแสงสีทองเอาไว้ได้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงพลิกฝ่ามือเรียกโอสถฟื้นฟูพลังเวทเม็ดหนึ่งออกมากิน ปราณสีดำพวยพุ่งทั่วร่าง จากนั้นร่างกายก็พร่าเลือนพุ่งไปด้านหน้า
แม้แสงสีทองของค่ายกลตะวันระอุนี้จะร้ายกาจและทำอันตรายเผ่ายมโลกได้รุนแรงยิ่งนัก แต่หลิ่วหมิงเป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ระดับแก่นแท้ที่มีกายเนื้อแข็งแกร่ง มันย่อมสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาไม่ได้ นอกจากผลาญพลังเวทในร่างเขาไปจำนวนมากก็ทำได้เพียงเผาผิวบนร่างเขาเล็กน้อยเท่านั้น
ความเจ็บปวดเล็กน้อยเท่านี้สำหรับหลิ่วหมิงแล้วไม่มีค่าให้หวาดกลัวสักนิด
แน่นอนว่าความร้ายกาจของค่ายกลตะวันระอุไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เมื่อพวกหลิ่วหมิงสองคนเดินทางมาถึงใจกลางทะเลทรายรกร้าง ดวงตะวันเจิดจ้าสีทองเหนือศีรษะก็พลันสาดแสงสีทองอย่างบ้าคลั่ง
ดวงตะวันแต่ละดวงเกิดคลื่นสีทองกระเพื่อมจากขอบด้านนอก จากนั้นแสงสีทองก็เริ่มรวมตัวกันกลางท้องฟ้ากลายเป็นเปลวเพลิงหลายชั้นลอยละล่อง
ดวงตะวันเจิดจ้าสิบดวงกลายเป็นเปลวเพลิงขนาดร้อยจั้งสิบดวงเคลื่อนวนอย่างรวดเร็วบนท้องฟ้าในพริบตา
“แกว้กๆ” เสียงวิหคกรีดร้องดังระงม เปลวเพลิงสีทองทยอยระเบิดก่อนจะกลายเป็นวิหคยักษ์สีทองขนาดสิบกว่าจั้งตัวแล้วตัวเล่าพุ่งออกมาจากด้านในแล้วกางปีกสองข้าง แหงนคอกรีดร้องไม่หยุด
“แย่แล้ว เงาอีกาทองคำ หนีเร็ว!” อินหลิวเงยหน้ามองไวๆ ครั้งหนึ่งแล้วเปลี่ยนสีหน้าไปทันที เขารีบตะโกนบอกหลิ่วหมิงเสียงดัง
เพิ่งเอ่ยจบ เสียงหวีดแหลมก็ดังขึ้น แสงสีทองกลุ่มหนึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้า วิหคยักษ์สีทองตัวหนึ่งอ้าปากจิกหลังปลาหลีสีฟ้าที่อินหลิวสร้าง
เปลวเพลิงบนร่างวิหคยักษ์สีทองลุกโหมม้วนเป็นเกลียวกลืนเงาปลาหลีทั้งตัวเข้าไปทันที
“ฟู่!” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นครั้งหนึ่ง
แสงสีฟ้าส่องสว่างออกมาจากเปลวเพลิงสีทองแล้วกลบเปลวเพลิงสีทองจนมิด เงาสีขาวร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากรอยแยกที่เล็กยิ่งกว่าเส้นผม อินหลิวนั่นเอง
มือแต่ละข้างของเขามีธงน้อยสีฟ้าผืนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ทันทีที่ยกธงขึ้น ม่านน้ำชั้นแล้วชั้นเล่าก็ปกป้องร่างกายเอาไว้ก่อนจะแหวกท้องฟ้าพุ่งเร็วจี๋ไปเบื้องหน้าต่อ
นับตั้งแต่วิหคยักษ์สีทองทลายดวงตะวันออกมาจนกระทั่งมันสังหารเงาปลาหลีสีฟ้ากินเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจเท่านั้น รวดเร็วจนทำให้หลิ่วหมิงลอบตกตะลึงเล็กน้อยในใจ
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงฮู่ก็ดังลั่น เงาสีทองสี่ร่างปรากฏตัวเหนือศีรษะของหลิ่วหมิงล้อมหลิ่วหมิงเอาไว้ตรงกลางในพริบตา
อึดใจต่อมาวิหคยักษ์สีทองสี่ตัวก็อ้าปากกว้าง เปลวเพลิงร้อนระอุสี่ลูกพุ่งออกมากลายเป็นกำแพงลำเพลิงพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงจากสี่ทิศแปดทางประหนึ่งน้ำหลาก
จุดที่เปลวเพลิงพุ่งผ่านอากาศล้วนบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูป เมื่อแสงสีแดงพุ่งผ่านต้นหญ้ารกแถบใหญ่บนแผ่นดินรกร้างใกล้ๆ มอดไหม้เป็นจุณในพริบตาเหลือไว้แต่แผ่นดินสีดำเข้ม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับแค่นเสียงหยัน สองมือใช้เคล็ดวิชาเก็บไอหมอกสีดำรอบร่างเข้าไป จากนั้นตวาดเสียงดัง กระดูกทั่วร่างลั่นเปรี๊ยะ เส้นเอ็นทั่วทั้งร่างปูดนูนขึ้นมา ท่อนแขนหนาขึ้นหลายส่วนในทันใด ทั้งร่างขยายใหญ่ขึ้นหนึ่งจั้งกว่า ลวดลายสีดำสายแล้วสายเล่าปรากฏเลือนรางบนผิว
“ฮู่” เปลวเพลิงม้วนเข้าหาศูนย์กลางก่อนจะลุกไหม้พร้อมกัน พริบตาเดียวหลิ่วหมิงก็ถูกเปลวเพลิงสีทองล้อมเอาไว้จนกลายเป็นมนุษย์ไฟสีทองทั้งร่าง
หลิ่วหมิงผู้อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงรู้สึกว่าทั้งร่างร้อนผ่าวและเจ็บปวด หายใจลำบากเล็กน้อย แต่เปลวเพลิงนี้เผาได้เพียงผิวของเขาดังคาด ไม่อาจทำอันตรายเขาได้มากมายนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้หลิ่วหมิงจึงไม่สนใจเปลวไฟทั่วร่าง ร่างกายขยับวูบเดียวกลายเป็นเส้นเปลวเพลิงสายหนึ่งพุ่งเร็วจี๋ไปด้านหน้าต่อ
ในเวลาเดียวกันอินหลิวที่อยู่ด้านหน้าก็ถูกวิหคยักษ์สีทองล้อมไว้อีกครั้ง หมอกน้ำสีฟ้ารอบร่างสลายหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อตกอยู่กลางแสงเปลวเพลิงสีทอง เมื่อเห็นว่ากำลังจะทานไม่ไหวแล้ว เขาพลันล้วงหนังอสูรสีน้ำตาลผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งพลังเวทในมือเข้าไป หนังอสูรทอแสงจิตวิญญาณระยิบระยับไม่หยุด
เขาก้มหน้าตบหนังอสูรลงบนร่าง ทันใดนั้นลวดลายจิตวิญญาณลี้ลับสิบกว่าตัวก็ส่องสว่างแล้วเลือนหายไป เพลิงปราณสีน้ำตาลสายหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าแล้วล้อมตัวเขาเอาไว้
“จี๊ดๆ” เสียงแหลมสูงดังขึ้น เมื่อเพลิงปราณสีน้ำตาลสลาย หนูยักษ์อ้วนกลมตัวหนึ่งก็เผยร่างออกมา ขาทั้งสี่สั้นเล็ก ร่างกายอ้วนพี ขนทั่วร่างสีน้ำตาลแต่ดวงตาสองข้างแดงก่ำราวอัญมณี
“มุสิกเพลิงพิภพหรือ” หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ในใจก็ตะลึงเล็กน้อย
มุสิกเพลิงพิภพตัวนี้มีชีวิตอยู่ในธารลาวาใต้พิภพอันร้อนระอุ เป็นปีศาจอสูรที่มีธาตุร้อนแข็งแกร่งและหายากชนิดหนึ่ง แม้พลังไม่สูง พลังป้องกันของผิวหนังก็ธรรมดา แต่มันทนเปลวเพลิงได้ดีเยี่ยมอย่างน่าตะลึง
ที่สำคัญก็คืออสูรตัวนี้ไม่ถือกำเนิดในยมโลก ไม่รู้ว่าอินหลิวผู้นี้ไปได้หนังของมันมาจากที่ใด
มุสิกที่อินหลิวเสกออกมาตัวนี้ขนาดไม่ต่างจากร่างเดิมของมันนัก ขนสีน้ำตาลทั่วร่างหยาบหนาไม่ธรรมดา กรงเล็บแหลมทั้งคู่ก็คมกริบยิ่งนัก ทว่าท่าทางงุ่มง่ามอย่างยิ่ง
หากหลิ่วหมิงไม่ได้เห็นทั้งหมดนี้กับตา เขาคงไม่มีทางเชื่อว่ามุสิกเพลิงพิภพตัวนี้เป็นสิ่งที่ถูกเสกขึ้นมา
มุสิกตัวนี้ปรากฏตัวขึ้นก็ไม่พูดพร่ำมุดลงไปใต้ทะเลทรายรกร้างจนเกิดเนินดินน้อยลูกหนึ่งทันที แล้วมุ่งไปด้านหน้าอย่างเร็วไว
วิหคยักษ์สีทองหกเจ็ดตัวที่เหลือย่อมไม่ยอมเลิกราเท่านี้ พวกมันกระพือปีกสองข้างพัดแสงสีทองสายแล้วสายเล่าพุ่งเข้าใส่เนินดินน้อย ก่อนจะดิ่งลงไปใต้ดินโดยไม่สนใจดินทราย แต่ความเร็วย่อมเชื่องช้าลงมากอย่างเลี่ยงไม่ได้
แม้จะเห็นมุสิกเพลิงพิภพท่าทางงุ่มง่าม แต่เมื่ออยู่ใต้ดินการเคลื่อนไหวกลับเร็วปานสายฟ้า มันเลี้ยวเปลี่ยนทางท่ามกลางดินโคลน หลบหลีกแสงสีทองสายแล้วสายเล่าประหนึ่งภูตผี
เทียบกับวิชาลับประหลาดของอินหลิว การใช้กายเนื้อฝืนต้านเปลวเพลิงเช่นนี้ของหลิ่วหมิงกลับและดูโง่เง่ายิ่งนัก
ยังดีที่เวลานี้ทั้งสองคนผ่านผืนดินรกร้างมาได้เกินครึ่งแล้ว หลังจากนั้นราวจิบชาหนึ่งถ้วย ในที่สุดทั้งสองคนก็ออกจากอาณาเขตของค่ายกลตะวันระอุได้อย่างราบรื่น
หลังจากพวกเขาพ้นจากแผ่นดินรกร้าง วิหคยักษ์สีทองสิบตัวนั้นก็ไม่ไล่ตามต่อแต่ส่งเสียงกรีดร้องแล้วกลับเป็นดวงตะวันเจิดจ้าสีทองสิบดวง ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือแผ่นดินรกร้างอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ มุสิกเพลิงพิภพที่เป็นร่างจำแลงของอินหลิวจึงมุดออกจากใต้ดิน แสงสีน้ำตาลสว่างทั่วร่างก่อนจะกลับคืนสู่หน้าตาดั้งเดิมของตน
หลิ่วหมิงสะบัดร่างเบาๆ ปราณดำทั่วร่างก็ม้วนเป็นเกลียวสลายไปพร้อมกับกระแทกเปลวเพลิงสีทองที่เหลือเหล่านั้นบนร่างให้สลายไปจนหมดด้วย
“วิชาลับของสหายอินช่างลี้ลับ ผู้แซ่อิ่นนับถือจริงๆ” หลิ่วหมิงมองอินหลิวแล้วเอ่ยชมพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ค่อยเหมือนรอยยิ้ม
“หึๆ แค่วิชาร่างจำแลงเท่านั้น ลูกไม้กระจอกเท่านี้จะเทียบกับพี่อิ่นได้อย่างไร กายเนื้อของพี่อิ่นต่างหากแข็งแกร่งจนต้านทานเพลิงทองคำทมิฬนี่ได้เนิ่นนานเช่นนี้ ไม่ทราบว่าเป็นวิชามหัศจรรย์ชนิดใดหรือ” อินหลิวแค่นหัวเราะแล้วย้อนถามหลิ่วหมิงกลับ
“นี่เป็นวิชาลับกระตุ้นศักยภาพชนิดหนึ่งที่ข้ามีวาสนาบังเอิญได้มาเมื่อนานมาแล้ว เพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อได้ในระยะเวลาสั้นๆ หากใช้นาน ผลลัพธ์ที่ตามมาไม่อาจคาดคิด ครั้งนี้พ้นภัยมาได้อย่างราบรื่นก็อาศัยโชคอยู่หลายส่วน หากอยู่ในค่ายกลตะวันระอุนี้เพิ่มอีกชั่วครู่ชั่วยาม เกรงว่าข้าคงจะกลายเป็นตอตะโกแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบคำถามของเขาอย่างคลุมเครือ