ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 111 นิกายเอกะ
ขณะที่ชายชุดลายอสรพิษถามขึ้นมานั้น ก็ปล่อยกลิ่นไออันรุนแรงออกมาด้วย ประมุขนิกายปีศาจและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่างได้สัมผัสเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกตกใจขึ้นมา
คนผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกเช่นกัน!
“ฮึ! มู่หรงเซวี่ยนเจ้าไม่ฝึกฝนอยู่ในนิกายนิกายเอกะ แต่กล้าเข้ามายังแคว้นต้าเสวียนของเรา เจ้าคิดว่านิกายของพวกเราไม่มีคนหรือไง?” พลันมีเสียงฮึดฮัดดังมาจากหินโสโครกที่ทางนิกายจันทราสวรรค์อยู่ จากนั้นแสงสีขาวลำหนึ่งก็พุ่งขึ้นฟ้า หลังจากที่มันหมุนไปหนึ่งรอบก็กลายร่างเป็นแม่ชีเฒ่าสวมชุดสีขาวผู้หนึ่ง
นางสวมหมวกแม่ชีสีขาว สะพายกระบี่ยาวสีเงิน ในมือถือสร้อยลูกประคำอยู่เส้นหนึ่ง นางจ้องมองชายชุดลายอสรพิษด้วยสีหน้าดุร้าย
“นิกายเอกะ”
อาจารย์จิตวิญญาณที่อยู่ด้านล่างได้ยินเช่นนี้ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
“ข้าคิดว่าคือใคร ที่แท้ก็คือเหลิ่งเยวี่ยซือไท่! ในเมื่อมีคนควบคุมที่นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่สหายเหลิ่งเยวี่ยอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้มาหาเรื่องแต่มาช่วยพวกท่านอีกแรงตามที่ได้บอกไว้” พอชายชุดลายอสรพิษเห็นแม่ชีเฒ่า สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป และมีความหวาดกลัวเล็กน้อย
“น่าตลก! เรื่องที่พวกข้าไม่กี่นิกายทำกัน จำเป็นต้องให้คนนิกายนิกายเอกะมาช่วยด้วยเหรอ? สหายมู่หรงมาจากทางไหนก็กลับไปทางนั้นเถอะ!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ปฏิเสธอย่างไม่เกรงใจ
ชายชุดลายอสรพิษได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็อึมครึมขึ้นมา
ขณะนั้นเองประมุขนิกายวาตอัคคีกลับฝืนยิ้มเอ่ยออกมา
“ผู้อาวุโสเหลิ่งเยวี่ยอย่าเพิ่งรีบร้อนไป ผู้อาวุโสมู่หรงมาถึงที่นี่เป็นเพราะว่าอาจารย์อาชื่อหยางพยายามหาทางเชิญมาอย่างสุดความสามารถ แต่ระหว่างทางท่านได้เผชิญกับเรื่องราวบางอย่าง เลยมาช้าเล็กน้อย แต่ก็จะรีบตามมาอธิบายเรื่องนี้กับผู้อาวุโสทั้งหลายเอง”
“ฮึ เจ้าเฒ่าชื่อหยางคิดจะทำบ้าอะไร? นิกายเอกะมักจะครอบงำแคว้นฉีเยวี่ยอยู่ตลอด และไม่เคยมีการคบค้าสมาคมกับนิกายทั้งหลายของพวกเรา ทำไมจู่ๆ ถึงวิ่งมาแคว้นต้าเสวียนได้ล่ะ! และยังเลือกโอกาสอันดีนี้โดยเฉพาะ!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ซือไท่ได้ยินก็กล่าวด้วยตาถมึงทึง
“ผู้อาวุโสมู่หรงเป็นสหายที่อาจารย์อาชื่อหยางรู้จักกันเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่นิกายเราได้รับข่าวเรื่องแดนลึกลับนั้น ผู้อาวุโสมู่หรงกำลังเป็นแขกอยู่ที่นิกายของเราพอดี ทั้งยังมีของล้ำค่าที่ช่วยประคับประคองทางเข้าแดนลึกลับได้เป็นอย่างดี ดังนั้นอาจารย์อาถึงเป็นคนเชิญผู้อาวุโสมู่หรงให้มาพร้อมกัน” ดูเหมือนว่าประมุขนิกายวาตอัคคีก็หวาดกลัวเหลิ่งเยวี่ยซือไท่เป็นอย่างมาก จึงรีบอธิบายออกมา
“สามารถประคับประคองทางเข้าแดนลึกลับได้! มันคือของล้ำค่าอันได้?” ในที่สุดเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ก็กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ของล้ำค่าในนิกายนิกายเอกะของเรามีมาก ถ้าไม่ใช่ว่าข้ากำลังเป็นแขกของนิกายวาตอัคคีอยู่พอดี ประกอบกับสหายชื่อหยางเจตนาเชิญข้ามา เหลิ่งเยวี่ย! เจ้าคิดว่าข้าจะยอมมาถึงที่นี่เหรอ!” มู่หรงเซวี่ยนกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
“ถ้าหากเจ้ามาช่วยจริงๆ ข้าเองก็ไม่พูดอะไรมาก แต่ศิษย์เหล่านั้นคืออะไรกัน?” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่มีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่ยังคงชี้ไปยังศิษย์หลายสิบคนที่เหาะลงมาจากยอดเขาเหาะแล้วถามขึ้นมา
ในบรรดาศิษย์เหล่านี้ นอกจากมีสิบคนที่สวมชุดสีเขียวแดงของนิกายวาตอัคคีแล้ว คนอื่นๆ ล้วนสวมชุดสีเงินเหมือนกันหมด พวกเขาทั้งหมดคือศิษย์นิกายเอกะ
“อ๋อ! มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับของล้ำค่าที่ข้าใช้อยู่ไม่น้อย เจ้าคงไม่คิดว่าข้ามาช่วยเปล่าๆ หรอกนะ คนเหล่านี้คือศิษย์ที่ข้านำมาแลกเปลี่ยนความรู้กับนิกายวาตอัคคี และก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณทั้งหมด ในเมื่อตอนนี้ได้รับโอกาสอันดีเช่นนี้ ย่อมไม่ยอมปล่อยไปโดยง่าย” มู่หรงเซวี่ยนหาวแล้วกล่าวออกมา
“อะไรนะ! เจ้าคิดจะให้ศิษย์นิกายเจ้าเข้าไปแดนลึกลับด้วยเหรอ? ไม่ได้อย่างเด็ดขาด!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้ง
“เฮ่อๆ! เหลิ่งเยวี่ย ใยเจ้าต้องบอกว่าไม่ได้ด้วยล่ะ! เรื่องราวต่างๆ บนโลกใบนี้ล้วนสามารถหารือกันได้ อีกอย่างนี่ก็เป็นความเห็นของเจ้าเพียงคนเดียว! จะให้พวกข้าเข้าไปได้หรือไม่นั้น ต้องให้สหายท่านอื่นๆ หารือกันก่อนถึงจะเป็นการตัดสินใจที่แท้จริง”
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังมาจากบนฟ้า ผู้คนทั้งหมดต่างก็ตกตะลึงจากนั้นก็มองขึ้นไปพร้อมกัน
ลมสีเขียวม้วนตัวผ่านไปเหนือยอดเขาสีดำนั้น จากนั้นก็ปรากฏร่างผู้อาวุโสสวมชุดสีเหลืองออกมาจากในนั้น มือข้างหนึ่งของเขาโบกพัดใบลานสีแดงเพลิงอยู่ไม่หยุด เท้าทั้งคู่เหยียบอยู่บนสิ่งของสีเขียวที่ดูคล้ายล้อรถ
“ชื่อหยาง ในที่สุดเจ้าก็มา ที่พวกเขาพูดมาทั้งหมดเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องจริงหรือ?” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ถามผู้อาวุโสชื่อหยางด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง เหลิ่งเยวี่ยที่เจ้าคัดค้านเรื่องนี้เป็นเพราะยังไม่รู้ว่าสหายมู่หรงนำของล้ำค่าอะไรมาใช่ไหม? ถึงได้เป็นเช่นนี้ มิเช่นนั้นล่ะก็คงจะไม่คัดค้านอย่างเด็ดขาดเช่นนี้อย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสชื่อหยางหัวเราะกล่าวออกมา จากนั้นสิ่งของใต้เท้าเขาก็หมุนติ้วๆ แล้วก็ค่อยๆ พาเขาเหาะลงมา
ส่วนประมุขนิกายปีศาจ และอาจารย์จิตวิญญาณแต่ละนิกายต่างก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรออกมา เพราะว่าผู้อาวุโสระดับผลึกของนิกายไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย ทำได้เพียงแต่ยืนจ้องมองผู้อาวุโสระดับผลึกทั้งสามคนพูดคุยกันตาปริบๆ
“ฮึ! ของล้ำค่าอะไรที่ทำให้จิ้งจอกเฒ่าอย่างเจ้ายอมเสียสละขนาดนี้ หรือว่ามันจะสามารถประคองทางเข้าแดนลึกลับได้นานขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว?” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ทำเสียงฮึดฮัด นางรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่ก็กล่าวอย่างเยือกเย็นโดยไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
“เฮ่อๆ! อันนี้ต้องรอสหายมู่หรงเห็นสภาพของทางเข้าก่อนจึงจะตัดสินได้ แต่ถึงแม้จะเป็นสภาพที่เลวร้ายที่สุด ก็คงจะยังสามารถประคองไว้ได้นานสองสามเท่าขึ้นไป” ผู้อาวุโสชื่อหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนยิ้ม
“สองสามเท่าขึ้นไป! ครั้งนี้เหลิ่งเยวี่ยซือไท่รู้สึกตกใจขึ้นมาจริงๆ เขามองฝ่ายตรงข้ามอยู่ครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้
และมู่หรงเซวี่ยนก็ยืนตระหง่านไม่พูดไม่จาอยู่กลางอากาศ ประจักษ์ชัดแจ้งว่าเขายอมรับโดยปริยาย
“ไม่ผิด ถ้าไม่เช่นนั้นข้าจะกล้าเชิญสหายมู่หรงมาหรือ ข้าเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบอกบุคคลภายนอก” หลวงจีนชื่อหยางหาว และกล่าวอย่างคลุมเครือ
“ถ้าหากสามารถประคองทางเข้าได้นานสองเท่าขึ้นไปได้ เรื่องที่จะให้ศิษย์นิกายนิกายเอกะเข้าไปแดนลึกลับด้วยนั้นก็พอจะคุยกันได้ เพียงแต่ต้องควบคุมจำนวนคนอย่างเข้มงวด” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวด้วยสีหน้าที่ดูผ่อนคลายลงอีกครั้ง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะรออะไรอีกล่ะ! ข้าทั้งสองจะพาสหายมู่หรงไปดูที่ทางเข้าก่อน แล้วค่อยปรึกษากับสหายคนอื่นๆ ล่ะกัน ตอนนี้เวลากระชั้นชิดมาก ถ้าหากยืดเยื้อต่อไปมันอาจจะส่งผลกระทบกับผลประโยชน์ที่พวกเราจะได้รับ” หลวงจีนชื่อหยางหัวเราะกล่าวออกมา
มู่หรงเซวี่ยนก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้าออกมาด้วยเช่นกัน
ดังนั้นเวลาต่อมาทั้งสามก็เปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าไปยังภูเขาไปที่โผล่พ้นมาจากพื้นทะเลสาบ และหลังจากผ่านไปไม่นานก็ค่อยๆ จมหายเข้าไปในภูเขาไฟอย่างไร้ร่องรอย
ไม่คาดคิดว่าทางเข้าแดนลึกลับจะอยู่ในภูเขาไฟลูกนี้
แต่ประมุขนิกายปีศาจและอาจารย์จิตวิญญาณแต่ละนิกายกลับไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ แต่กลับมุ่งความสนใจไปที่ศิษย์ที่เพิ่งมาใหม่อย่างนิกายวาตอัคคีกับนิกายเอกะ
ไม่รู้ว่าประมุขนิกายวาตอัคคีใช้วิธีการอะไร เขาแค่ปล่อยวิชาใส่ยอดเขาดำ ยอดเขาดำก็ย่อขนาดเล็กลงอย่างรวดเร็วด้วยเสียงที่ดังกระหึ่ม ครู่เดียวก็กลายเป็นเขาเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือ และถูกเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
จากนั้นนักพรตชุดทองก็พาศิษย์นิกายวาตอัคคี และนิกายเอกะ หาหินโสโครกขนาดใหญ่แล้วร่อนลงไป
ประจักษ์ชัดแจ้งไม่คิดที่จะสร้างหอหินหรือว่าวางผนึกจำกัดใดๆ เลย ทั้งหมดต่างก็นั่งสมาธิเข้าฌานอยู่ตรงพื้นที่ต่างๆ ของหินโสโครก
“ครั้งนี้ต้องยุ่งยากแน่แล้ว คิดไม่ถึงว่านิกายเอกะแห่งแคว้นฉีเยวี่ยจะสอดแทรกเข้ามาด้วย!” ผู้อาวุโสแซ่หวงกล่าวพึมพำออกมา ไม่รู้ว่าเขากล่าวกับตนเองหรือคนข้างๆ
“ถ้าหากเป็นดังที่พูดเมื่อครู่ ว่าสามารถประคองทางเข้าแดนลึกลับได้นานขึ้นล่ะก็ ข้าและนิกายอื่นๆ คงจะหาทรัพยากรจากในนั้นได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมันดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเรื่องแย่แต่อย่างใด” อาจารย์อาจางคิ้วหมวด ใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงน
“ถ้าหากพวกหยางเฉียนสามารถอยู่ในแดนลึกลับได้นานขึ้น ผลประโยชน์ที่ได้รับก็จะมากขึ้นด้วย แต่ขณะเดียวกันโอกาสในการปะทะกับศิษย์นิกายอื่นๆ ก็เพิ่มมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเพิ่มศิษย์นิกายนิกายเอกะเข้าไปข้างในด้วยล่ะก็ เกรงว่าการทดสอบความเป็นความตายในครั้งนี้คงจะอันตรายเกินกว่าที่คาดคิดไว้มาก นิกายเอกะเป็นนิกายใหญ่ที่ตั้งตนเป็นใหญ่ในแคว้น เกรงว่านิกายต่างๆ ของพวกเราต้องร่วมมือกันถึงจะต่อต้านนิกายนี้ได้ พลังของศิษย์ที่อยู่ในนิกายนั้นแข็งแกร่งจนยากที่รู้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนนิกายวาตอัคคี และนิกายนิกายเอกะจะสนิทสนมกันมาก น่าจะทำการตกลงร่วมมือกันในระหว่างที่เดินทางแล้ว มิเช่นนั้นหลวงจีนชื่อหยางคงไม่พาพวกเขามาด้วยความกระตือรือร้นเช่นนี้” ประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างขมขื่น
เมื่ออีกสองคนได้ยินเรื่องนี้ก็คิดใคร่ครวญเล็กน้อย และเมื่อเห็นว่ามันมีเหตุผลที่จะเป็นเช่นนี้ สีหน้าพวกเขาดูไม่ได้ขึ้นมา
“ศิษย์พี่ท่านประมุขก็ไม่ต้องกังวลจนเกินไป ทางเข้าแดนลึกลับที่เราค้นพบก็เป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ถึงแม้นิกายเอกะจะมีอิทธิพลมากแต่ก็ไม่อาจจะรู้ล่วงหน้าได้ จึงไม่ได้นำศิษย์ที่แข็งแกร่งมา ข้าว่าศิษย์ของนิกายเอกะเหล่านี้ ส่วนมากเป็นแค่ศิษย์ค่อนข้างโดดเด่นที่ส่งมาศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนิกายวาตอัคคีเท่านั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ นิกายของพวกเราและนิกายต่างๆ ก็ยังมีโอกาสชนะสูง” ผู้อาวุโสคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อืม! ข้าเองก็หวังว่าจะเป็นเช่นนี้” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้า เขายังคงรู้สึกจิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่าย
ว่ากันตามที่อาจารย์อาเยี่ยนได้กล่าวไว้ พลังของศิษย์นิกายปีศาจไม่ได้เหนือกว่านิกายอื่นๆ ตอนนี้ยังมีนิกายเอกะที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเพิ่มขึ้นมาอีก พอถึงตอนนั้นคงเกิดความวุ่นวายขึ้นในแดนลึกลับจนยากที่จะคาดคิดได้
ตอนที่แขกผู้ไม่ได้รับเชิญร่อนลงไปบนหินโสโครกนั้น หลิ่วหมิงเองก็นั่งขัดสมาธิลงไปอีกครั้ง
สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะเป็นนิกายวาตอัคคีหรือนิกายเอกะล้วนมีผลกระทบต่อเขาไม่มากนัก ยังไงซะพอถึงตอนสุดท้ายเพื่อที่จะรวบรวมทรัพยากรจำนวนหนึ่ง เขาก็มีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่ต้องปะทะกับศิษย์นิกายอื่นๆ อยู่แล้ว
พอถึงเวลานั้นก็หาโอกาสที่เหมาะสมและลงมือในทันที
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น พลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา และมีคนเดินมาบริเวณที่เขาอยู่
เมื่อเขาหันไปเห็นใบหน้าของผู้ที่เดินเข้ามาอย่างชัดเจนแล้ว ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
“ศิษย์พี่เจียหลาน ท่านหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยตาที่เป็นประกาย
ผู้ที่เดินเข้ามาก็คือดรุณีน้อยที่มีนามว่าเจียหลานนั่นเอง
นางคืนร่างมาเป็นดรุณีน้อยสวยสดงดงามตามเดิมแล้ว จึงไม่เป็นที่เตะตาในบรรดาศิษย์นิกายต่างๆ
……………………………………….