ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1112 ด่านเคราะห์ของหัวบิน
สิ้นเสียง หลิ่วหมิงก็ยกมือขึ้นอีกครั้งแล้วโยนยันต์หลายแผ่นออกมา พวกมันพุ่งไปแปะบนโครงกระดูก เมื่อเห็นว่าร่างเขาไม่มีปฏิกิริยาของชั้นจำกัดสักนิดจริงๆ จึงวางใจได้สนิท
เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วยกแขนขึ้น เอื้อมไปหาจุดตันเถียนที่ท้องน้อยของอีกฝ่าย
“พรึ่บ”
ห้านิ้วจมลงไปด้านในอย่างที่ไม่ต้องออกแรงสักนิด เมื่อดึงออกมาอีกครั้ง บนฝ่ามือก็มีมุกกลมสีดำขลับขนาดเท่าไข่ไก่สามเม็ดออกมาด้วย
บนผิวมุกกลมเหล่านี้สลักอักขระเล็กจิ๋วไว้มากมายถี่ยิบ พวกมันเคลื่อนที่ไม่หยุดพร้อมกับแสงจิตวิญญาณ ทำให้อากาศรอบด้านบิดเบี้ยวผิดรูปเล็กน้อย
“อนธการธาตุเก้าแปรผัน มีตั้งสามเม็ด! เผ่ายมโลกผู้นี้เคยเป็นยอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ขั้นกลาง!” หลิ่วหมิงมีสีหน้ายินดี
เขารู้มาว่าหลังจากเผ่ายมโลกระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ละสังขาร ทะเลจิตวิญญาณตรงจุดตันเถียนจะก่อตัวเป็นอนธการธาตุเก้าแปรผันหนึ่งเม็ดที่บรรจุแก่นพลังทั้งชีวิตของเขาเอาไว้ หากระดับพลังบรรลุถึงขั้นกลางก็จะเกิดเพิ่มขึ้นมาอีกสองเม็ด หากถึงระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ขั้นปลายก็จะมีหกเม็ด
ในตอนนี้เองผิวของศพบุรุษหนุ่มตรงหน้าก็แห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็วชนิดที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าประหนึ่งเลือดเนื้อทั้งร่างบินหายไปทั้งที่ไม่มีปีก ต่อจากนั้นก็เกิดเสียงดัง “ฟู่” กลายเป็นละอองแสงแวววาวจุดแล้วจุดเล่าสลายไป
ราชาของดินแดนแห่งหนึ่งผู้เคยมีพลังถึงระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ ในที่สุดตอนนี้ก็สลายกลายเป็นหมอกควันหายไปจากโลกแล้ว
กล่าวกันว่าสรรพสิ่งล้วนถือกำเนิดจากความว่างเปล่าแล้วจักหวนคืนสู่ความว่างเปล่า แม้เคยมีพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ ทว่าในเมื่อยังไม่บรรลุถึงขั้นเป็นอมตะ สุดท้ายย่อมเลือนรางไปตามกาลเวลาแล้วค่อยๆ ถูกโลกลืมเลือน
หลิ่วหมิงเหม่อลอยมองภาพตรงหน้า ในตอนนี้เองจู่ๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!
แรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลสามสายปะทุขึ้นมาจากด้านล่างในพริบตาแล้วตรึงร่างกายของหลิ่วหมิงไว้ทันที
หลิ่วหมิงหน้าถอดสี เห็นชัดว่าการที่เขาดึงอนธการธาตุเก้าแปรผันออกมาจนทำลายร่างของฮวงหานเป็นการแตะเกล็ดย้อนของหุ่นองครักษ์ระดับดาราพยากรณ์สามตัวด้านล่าง
เขาขบคิดเร็วจี๋ รีบเก็บอนธการธาตุเก้าแปรผันสามเม็ดในมือ ส่วนอีกมือหนึ่งทำท่ามือของเคล็ดกระบี่ แสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งโถมออกมาโอบล้อมตนเองไว้แล้วกลายเป็นแสงสีม่วงดวงหนึ่งพุ่งพรวดขึ้นไปด้านบนในทันใด
“โครม!”
แสงสีม่วงดวงหนึ่งทะลุหลังคาวัดออกมา จากนั้นแสงสีเงินก็กะพริบวูบหนึ่งแล้วพุ่งเร็วจี๋จากไปไกล
แทบจะในเวลาเดียวกับที่แสงสีม่วงโผล่ออกมา ลำแสงสีฟ้าสามสายก็พุ่งพรวดออกมาจากในวัดฮวงหานแล้วไล่ตามทิศทางที่ลำแสงของหลิ่วหมิงหนีไปอย่างติดๆ
เกล็ดหิมะสีเทาใหญ่ยักษ์เหมือนดอกละอองฟองทั่วท้องฟ้าเปล่งแสงสีเทาก่อนจะจับตัวเป็นลิ่มน้ำแข็งวาววับเล่มแล้วเล่มเล่าระดมพุ่งเข้าใส่ลำแสงทั้งสี่สายจากทั่วทุกสารทิศ
……
เจ็ดแปดวันหลังจากนั้น
หลิ่วหมิงสองมือไพล่หลังลอยอยู่บนท้องฟ้า ทอดสายตามองทะเลทรายรกร้างสีเทาอันไร้ขอบเขตที่อยู่ไกลออกไป ใบหน้าปรากฏสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย
แผนที่บอกไว้ว่าเดินทางอีกไม่ถึงครึ่งวัน ด้านหน้าก็จะเป็นสถานที่ละสังขารของอดีตราชายมโลกอีกตนหนึ่งนามว่า “ซื่อคุน”
ซากโบราณสถานแห่งนี้แตกต่างจากวัดหลังน้อยบนภูเขาหิมะที่ฮวงหานละสังขาร มันเป็นซากสิ่งก่อสร้างใต้ดินที่หลบเร้นแต่ด้านในมีโครงสร้างที่ค่อนข้างซับซ้อนและโอ่อ่า
ซื่อคุนผู้นี้เคยเป็นราชายมโลกแห่งแดนสุญตามืด ในประวัติศาสตร์แดนยมโลกนับว่าเป็นราชายมโลกผู้เลื่องชื่อลือนามผู้หนึ่ง เขาไม่เพียงใช้เคล็ดวิชากระดูกดำสร้างชื่อสะเทือนทั้งยมโลกเก้าดินแดน แต่ยังเก่งฉกาจด้านกลยุทธ์รวบรวมยอดฝีมือเผ่ายมโลกไม่น้อยจัดการดินแดนของตนจนสงบเรียบร้อย ในยามนั้นขุมกำลังยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งไม่มีสอง
แต่เขาไม่พอใจเพียงเท่านั้น ท้ายที่สุดเขาก่อสงครามข้ามแดนอย่างห้าวหาญและเด็ดเดี่ยว หมายจะกลืนแดนมืดแห่งอื่น ทว่าในยามที่เขากำลังรุ่งโรจน์ที่สุด จู่ๆ เขากลับถูกบุคคลลึกลับผู้หนึ่งโค่นจนต้องหลบหนีเข้ามาในสุสานราชายมโลกแห่งนี้ สงครามข้ามดินแดนจึงจบลงเช่นนั้นด้วย
“ดูท่าราชายมโลกผู้นี้จะคล้ายกับจักรพรรดิในโลกมนุษย์ ลุ่มหลงในอำนาจไม่เบา แม้กระทั่งก่อนละสังหารก็ยังสร้างสุสานราชาเช่นนี้ให้ตน” หลิ่วหมิงพึมพำกับตนเองเหมือนกำลังคิดบางอย่าง
แม้กล่าวเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่กล้าดูถูกสุสานราชาใต้ดินแห่งนี้สักนิด เพราะกระทั่งการเดินทางไปวัดฮวงหานหนึ่งเดือนก่อนหน้า สุดท้ายก็ยังทำให้เขาลำบากไม่น้อย
โชคดีที่ยามนั้นเขาสมองไว ใช้ประโยชน์จากชั้นจำกัดผนึกนภาในแดนหิมะได้อย่างยอดเยี่ยม อาศัยวิชาเงาสามส่วนสร้างร่างลวงหลายร่างร่วมกับใช้ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนเก็บซ่อนกลิ่นอายจึงสลัดการไล่ล่าของหุ่นสองตัวในนั้นมาได้ มีเพียงหุ่นองครักษ์ตัวสุดท้ายที่เกาะติดดุจโรคร้ายในกระดูกไล่ล่าหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง ไล่ล่ากันอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนก็ไม่อาจสลัดหลุดได้
เขาจนปัญญาจึงได้แต่เสี่ยงอันตรายต่อสู้กับมัน สุดท้ายใช้มุกบรรพตธาราประสานกับวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬช่วยเหลือจึงสังหารมันได้สำเร็จ
ด้วยเหตุนั้นพลังเวทของเขาจึงแห้งเหือดเกือบหมด ต้องหาถ้ำที่หลบเร้นแห่งหนึ่งพักฟื้นถึงสามวันเต็ม
ทว่าได้อนธการธาตุเก้าแปรผันมาสามเม็ด สิ่งเหล่านี้ย่อมล้วนคุ้มค่า
หลิ่วหมิงเม้มริมฝีปากแล้วเหาะต่อไปด้านหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
……
หนึ่งวันหลังจากนั้น
ในห้องโถงมืดทึมที่ลึกและแคบแห่งหนึ่ง เปลวเพลิงขนาดเท่าเมล็ดถั่วกำลังเต้นระริกทอแสงริบหรี่อยู่ในโคมสำริดโบราณขนาดเท่าฝ่ามือหลายสิบดวง ทำให้ในห้องโถงไม่มืดสนิท
อาศัยแสงโคมพอมองเห็นแท่นเรียบสูงราวครึ่งฉื่อแท่นหนึ่งลึกเข้าไปในห้องโถงอยู่เลือนราง บนแท่นวางโลงศพขนาดยักษ์สีดำสนิทดุจหมึกโลงหนึ่งเอาไว้ รอบโลงมีอสรพิษร่างยักษ์ที่มีเขาประหลาดบนหัวลำตัวหนาเท่าถังน้ำตัวหนึ่งเลื้อยขดพันอยู่
อสรพิษยักษ์สองตาหลับสนิทคล้ายกำลังหลับใหล
เวลานี้ฝาโลงถูกเปิดไว้มุมหนึ่ง ปราณสีดำลอยวนเวียนขึ้นมาเกาะกลุ่มกันด้านบนจนไม่อาจมองเห็นสภาพด้านโลงศพได้ชัด
หน้าโลงศพมีเงาคนพร่ามัวร่างหนึ่งยืนอยู่ เขากำลังอ่านคัมภีร์ไม้ไผ่สีหยกที่ถืออยู่ในมืออย่างตั้งใจ
แผ่นไม้ไผ่ชิ้นแรกสุดของคัมภีร์ไม้ไผ่เขียนอักษรเผ่ายมโลกโบราณด้วยหมึกสีทองไว้ว่า “เคล็ดวิชากระดูกดำ”
เงาคนผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิง
ห้องโถงอันมืดสลัวแห่งนี้ก็คือสถานที่ละสังขารของราชายมโลกซื่อคุนซึ่งอยู่ใต้ดินชั้นที่แปดของสุสานราชา
สามชั้นแรกของสุสานราชาแห่งนี้เคยมีคนฝ่าเข้ามาก่อนหน้าเขาแล้ว ชั้นจำกัดด้านในถูกทำลายแทบทั้งหมด วันนี้จึงกลายเป็นรังของภูตผีกลุ่มหนึ่ง
เริ่มจากชั้นที่สี่ แต่ละชั้นล้วนมีชั้นจำกัดแปลกประหลาดจำนวนไม่น้อย ค่ายกลที่มีทหารผีทำจากทรายหยิน ชั้นจำกัดที่เต็มไปด้วยปราณสิ้นสูญ ค่ายกลมายาสังหารที่ทำให้ผู้ที่พลัดเข้าไปตกอยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่าอันไร้ที่สิ้นสุดและอีกมากมาย
ชั้นจำกัดส่วนใหญ่มีพลังข่มขวัญเผ่ายมโลกและภูตผีไม่น้อย แต่สำหรับหลิ่วหมิงผู้เป็นเผ่ามนุษย์และมีพลังจิตแข็งแกร่งกลับไม่ได้สร้างปัญหาอันใดให้นัก เขาลำบากอยู่พักหนึ่งก็ผ่านชั้นจำกัดแต่ละอันๆ มาได้อย่างหวุดหวิด
แผนที่ของอินหลิวบอกไว้ว่าชั้นที่แปดแห่งนี้ก็คือชั้นที่เก็บรักษาศพของซื่อคุน อสรพิษศพที่หลับใหลมานานไม่รู้กี่ปีตัวนี้ที่ขดอยู่ข้างโลงไม้ ระดับพลังไม่น้อยกว่าระดับดาราพยากรณ์ ดังนั้นยามนั้นที่ลิ่วยินมาถึงที่นี่จึงไม่ได้ปลุกภูตตนนี้เพียงเพื่อเคล็ดวิชากระดูกดำที่ตนเองไม่จำเป็นต้องใช้เล่มหนึ่ง
หลิ่วหมิงได้วิชาลับภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนขั้นปลายช่วยจึงหยิบของออกมาจากโลงไม้ได้อย่างเงียบเชียบโดยที่ไม่ได้ปลุกอสรพิษศพ เขาย่อมดีใจเกินหวัง
“ดูท่าเคล็ดวิชากระดูกดำเล่มนี้กับที่ได้มาจากชิงหลิงก่อนหน้านี้จะต่างกันอยู่เล็กน้อย” หลิ่วหมิงดึงจิตสัมผัสออกจากคัมภีร์ไม้ไผ่ในมือแล้วพึมพำ
แม้เมื่อครู่เขาจะกวาดสายตาผ่านเร็วๆ แต่ก็พบว่าเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์เล่มนี้เหมือนจะยอดเยี่ยมกว่าอยู่หลายส่วน
หลิ่วหมิงเก็บคัมภีร์ไม้ไผ่แล้วมองโลงศพไม้อีกครั้ง ดวงตาทอประกายประหลาดวูบหนึ่ง
จากคำบอกเล่าของอินหลิว สุสานราชาแห่งนี้มีทั้งหมดเก้าชั้น เขาเล่าว่าชั้นที่เก้านี้ซ่อนสมบัติที่แท้จริงกองโตซึ่งซื่อคุนนำเข้ามาในสุสานราชายมโลกเมื่อตอนนั้นเอาไว้ และทางเข้าน่าจะอยู่ใต้โลงศพไม้
ทว่าอินหลิวระบุไว้ในแผนที่อย่างชัดเจนว่าต่อให้พลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ก็อย่าได้ลองเหยียบเข้าไปชั้นที่เก้า
ยามนี้ประการแรกเขาหาทางเข้าชั้นที่เก้าไม่พบ ประการที่สองเขาได้เคล็ดวิชากระดูกดำฉบับสมบูรณ์มาแล้ว เขาย่อมไม่คิดจะเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายอีก
จากนั้นหลิ่วหมิงก็ไม่ได้รั้งอยู่ที่นี่นาน เขาออกจากห้องโถงมืดสลัวแห่งนี้แล้วย้อนกลับทางเดิมทันที
เขารู้ซึ้งแล้วว่าสุสานราชายมโลกมีชั้นจำกัดมากมายไม่หมดไม่สิ้น ดังนั้นตลอดทางจึงระมัดระวัง ไม่คิดจะสอดส่องสถานที่อื่น
สิบกว่าวันหลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็กลับมาถึงปากทางเข้าหุบเขาสีดำขนาดยักษ์แห่งนั้นใจกลางสุสานราชายมโลกอย่างปลอดภัย
ยามนี้ปากหุบเขาว่างเปล่าไม่มีผู้ใด อินหลิวยังไม่ปรากฏตัว
นับเวลาดูแล้วยังห่างจากเวลาสามเดือนที่เขานัดอยู่มาก หลิ่วหมิงใคร่ครวญพักหนึ่งก็สร้างชั้นจำกัดหลายชั้นที่มุมอันเงียบสงบแห่งหนึ่งตรงปากทางเข้าหุบเขาแล้วนั่งขัดสมาธิ หยิบเคล็ดวิชากระดูกดำออกมาศึกษาอย่างละเอียด
ก่อนหน้านี้เขาเพียงดูคร่าวๆ รอบหนึ่ง แต่เวลานี้เขาเริ่มศึกษาวิชาขั้นที่สิบอย่างละเอียด
ระดับพลังของเขาบรรลุระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้วจากการถ่ายเทพลังจิตวิญญาณของกรงขัง ขอเพียงศึกษาเคล็ดวิชากระดูกดำขั้นที่สิบจนแตกฉาน การฝึกฝนให้สำเร็จย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้อย่างราบรื่น
ระหว่างที่เขาหลับตาศึกษาเคล็ดวิชากระดูกดำอยู่ ถุงหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณใบหนึ่งข้างเอวก็พลันมีปราณสีดำจางๆ ลอยขึ้นมา ด้านในมีอักขระสีดำนับไม่ถ้วนทอแสงกะพริบเคลื่อนไหวอยู่เลือนราง แลดูลึกลับยิ่งนัก
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องร้อนรนก็ดังออกมาจากด้านในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ
หลิ่วหมิงลืมตาทันที มือก็ใช้เคล็ดวิชา
ปราณดำสายหนึ่งลอยออกมาจากถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ มันหมุนวนรอบหนึ่งก่อนจะก่อตัวเผยร่างของเฟยเอ๋อร์ออกมา
หลิ่วหมิงมองสำรวจเฟยเอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นสีหน้าก็ตกตะลึง
เฟยเอ๋อร์ยามนี้กลายร่างกลับเป็นหัวบินร่างเดิม ศีรษะขนาดเล็กแปดหัวกับศีรษะขนาดใหญ่หนึ่งหัวรวมทั้งหมดเก้าหัวมีเส้นเลือดสีแดงหม่นมากมายถี่ยิบนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ แลดูเหมือนเส้นลมปราณเล็กละเอียดเส้นแล้วเส้นเล่าที่เปล่งแสงสีเลือดออกมาเป็นระยะ
ดวงตาทั้งคู่บนศีรษะหลักของหัวบินมีเปลวเพลิงสีแดงฉานสองดวงลุกไหม้ ปากก็กรีดร้องอย่างร้อนรนเป็นระยะ
“เฟยเอ๋อร์ หรือว่าเจ้าจะ…” หลิ่วหมิงสัมผัสได้ถึงคลื่นลมปราณที่เพิ่มสูงขึ้นบนร่างของเฟยเอ๋อร์ ใบหน้าจึงปรากฏสีหน้าตกตะลึงระคนยินดี
ในตอนนี้เองท้องฟ้าเหนือหุบเขาพลันมีเสียงอสนีบาตทุ้มต่ำดังขึ้นระลอกหนึ่ง ท้องนภาที่เดิมทีสีดำสนิทอยู่แล้ว มีเมฆด่านเคราะห์สีดำสนิทก้อนแล้วก้อนเล่าก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่นานอสรพิษสายฟ้าก็แล่นพล่านบนเมฆอสนีบาตอย่างบ้าคลั่ง เสียงอสนีบาตฟาดดังลอยออกไปไกล กระแสลมคลั่งสายแล้วสายเล่าพัดอย่างดุดัน หอบเศษหินกระเด็นไปกระทบหุบเขา
เมฆด่านเคราะห์ลอยต่ำลงมา อสนีบาตสว่างแสบตาแล่นพล่านเร็วขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งว่าจะฟาดลงมาจากท้องนภาได้ตลอดเวลา
ดวงตาของหัวบินฉับพลันฉายแววคลุ้มคลั่ง ปราณดำบนร่างม้วนออกมาแล้วเหาะฝ่าชั้นจำกัดพุ่งเข้าใส่เมฆด่านเคราะห์บนท้องฟ้าพร้อมกับร้องคำรามเบาๆ อย่างท้าทาย
“เดิมคิดว่าเซียเอ๋อร์จะผ่านด่านเคราะห์อสนีบาตก่อน คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้กลับเป็นเฟยเอ๋อร์ที่นำไปก่อนหนึ่งก้าว…”
หลิ่วหมิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับแล้วแหงนหน้ามองหัวบินที่อยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาเอ่ยกับตนเองอย่างอดไม่ได้ แล้วแผ่จิตสัมผัสออกไปสอดส่องสถานการณ์รอบด้านอยู่ตลอดเวลา
แม้บริเวณใกล้เคียงจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่นอกจากหินผาสีดำมืด แต่นิสัยของหลิ่วหมิงย่อมไม่ยอมประมาทแม้แต่น้อย เขาขยับมือทำท่าเคล็ดกระบี่ แสงสีม่วงฉายวาบ กระบี่ขู่หลุนบินออกมาลอยขยับไปมาอยู่เหนือศีรษะของเขา