ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1114 แก่นปีศาจของราชาแมงป่อง
“เฟยเอ๋อร์ ในเมื่อนี่อาจเป็นโอกาส เจ้าก็อยู่ที่นี่ฝึกฝนเถอะ” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ตัดสินใจ
“นายท่าน ข้าไม่อยากจากท่าน…”
เฟยเอ๋อร์ได้ยินก็ใช้มืออวบอ้วนสองข้างดึงแขนเสื้อของหลิ่วหมิงไว้พลางทำหน้าอาลัยอาวรณ์ทันที
“เอาล่ะ ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้พบกันอีกสักหน่อย เจ้าทำใจให้สงบฝึกฝนอยู่ที่นี่ วันหน้าข้าจะมายมโลกอีกครั้งพาเจ้าออกไป” ในใจหลิ่วหมิงอาลัยอาวรณ์อยู่เล็กน้อยเช่นกัน แต่เขาก็เลื่อนแขนเสื้อออกเบาๆ แล้วดันเฟยเอ๋อร์ไปอย่างอ่อนโยน
น้ำตาแวววาวคลอหน่วงในดวงตาของเฟยเอ๋อร์ เขาอ้าปากอยากพูดอะไรอีกสักหน่อย ทันใดนั้นเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น!
เกิดเสียงแหวกอากาศดังขึ้นในหุบเขาสีดำสนิทที่อยู่ไกลออกไป ต่อจากนั้นแสงเรืองรองสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งมาถึงแล้วหอบร่างของเฟยเอ๋อร์ขึ้นฟ้า
หลิ่วหมิงรู้สึกตัวทันที แต่กลับไม่ลงมือขวาง
ดวงตาของอินหลิวเองฉายแววประหลาดใจเล็กน้อยแล้วถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างอดไม่ได้
แสงสีขาวม้วนรอบร่างเฟยเอ๋อร์เสร็จก็กะพริบวูบหนึ่งแล้วแหวกท้องฟ้ากลับไปในหุบเขา หายไปไร้ร่องรอยในพริบตา
หลิ่วหมิงกับอินหลิวยืนอยู่กับที่ครู่หนึ่ง พวกเขาต่างเงียบงันไร้วาจาไปชั่วขณะ
“ในเมื่ออสูรเลี้ยงตัวนี้ของเจ้าถูกเฟยจู่เรียกไปแล้ว พวกเราก็อย่าอยู่ที่นี่นานเลย” อินหลิวทำลายความเงียบเอ่ยนิ่งๆ ขึ้นก่อน
“ได้ ไม่ทราบว่าวิธีออกจากที่แห่งนี้ที่ผู้อาวุโสลิ่วยินเอ่ยถึงก่อนหน้านี้คือ…” หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ หลังจากพยักหน้านิดๆ จึงเปิดปากเอ่ยถาม
สาเหตุที่สถานที่แห่งนี้มีชื่อเสียงอันเลวร้าย นอกจากเพราะยามเข้ามามีด่านยากเย็นมากมาย อีกประการหนึ่งก็เพราะสถานที่แห่งนี้แต่เดิมเป็นดินแดนปิดตายที่มาแล้วหวนกลับไม่ได้
นี่ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีออกไปอย่างสิ้นเชิง จากข้อมูลที่ต้งหาวให้มา ยังมีวิธีบางอย่างที่ทำให้ออกไปได้ เพียงแต่ไม่มีสักวิธีที่ไม่ต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนมากยิ่งกว่ายามเข้ามายังที่แห่งนี้
สิ่งนี้ย่อมทำเพื่อให้ผู้ที่ลอบเข้ามาในที่แห่งนี้เหล่านั้นถูกขังอยู่ที่นี่ทั้งเป็น
“ยามที่ข้าเข้ามาที่นี่ครั้งแรกก็หวิดจะออกไปไม่ได้จริงๆ …แต่ครั้งนี้เตรียมตัวมาแล้ว” อินหลิวเอ่ยพลางยกแขนข้างหนึ่ง วงแหวนแสงสีดำวงหนึ่งหมุนอยู่กลางฝ่ามือของเขา พร้อมกับที่เขาท่องมนตร์
ระหว่างที่ท่องมนตร์ อินหลิวก็โยนวงแหวนแสงสีดำในมือไปเบื้องหน้า
“ฟู่!”
วงแหวนแสงสีดำโต้ลมขยายพรวดกลายเป็นวงล้อแสงสีดำขนาดสองสามจั้งวงหนึ่ง อักขระประหลาดตัวหนึ่งพุ่งออกจากปากอินหลิวแล่นหายไปด้านใน มันหมุนเพียงเล็กน้อย แสงเรืองรองบนผิวของวงล้อแสงพลันปั่นป่วนและส่งเสียงครวญแผ่วเบาออกมา
“เข้าไปในนี้จะหลบเลี่ยงชั้นจำกัดอื่นตรงเข้าไปในคลื่นความเย็นได้ แต่ตอนนี้ผ่านช่วงเวลาอ่อนแอที่สุดสิบปีครั้งมาแล้ว คลื่นความเย็นย่อมไม่เหมือนก่อนหน้านี้!”
อินหลิวเอ่ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งแล้วหยิบอาภรณ์ตัวยาวสีทองชุดหนึ่งออกมาห่ม จากนั้นหมุนตัวกลายเป็นลำแสงสีทองสายหนึ่งเหาะเข้าไปในวงล้อสีดำแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงมองวงล้อแสงสีดำ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาอยู่พักหนึ่ง ท้ายที่สุดก็สูดลมหายใจลึกยาวเฮือกหนึ่ง จากนั้นร่างกายก็พุ่งตามเข้าไป
……
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น เงาคนสีแดงกับสีทองสองสายก็เหาะเร็วจี๋ออกมาจากด้านในคลื่นความเย็นด้านนอกสุสานราชายมโลก เมื่อลำแสงสลายก็เผยให้เห็นร่างกายสองร่าง พวกเขาก็คือหลิ่วหมิงกับอินหลิว
ทั้งสองดูสภาพสะบักสะบอมเล็กน้อย เสื้อผ้าขาดวิ่น หลิ่วหมิงสีหน้าซีดเผือดผิดปกติ บนร่างมีรอยเลือดประปราย
แต่อาการบาดเจ็บเหล่านี้ สำหรับหลิ่วหมิงผู้ครอบครองโลหิตปีศาจสวรรค์แล้วย่อมไม่นับเป็นสิ่งใด
“ในที่สุดก็ออกมาแล้ว” หลิ่วหมิงนึกหวาดกลัวตามหลังขณะที่หันกลับไปมองคลื่นความเย็นสีดำอันเกรี้ยวกราดสับสนด้านหลังร่าง ก่อนจะถอนหายใจยาว
หลังจากทั้งสองคนเข้าไปในวงล้อมแสงไร้นามที่อินหลิวเรียกออกมา ก็เป็นเช่นที่อินหลิวกล่าวไว้ พวกเขาตรงเข้าไปในคลื่นความเย็นรอบนอกทันที ผลปรากฏว่าคลื่นความเย็นลูกนี้รุนแรงกว่ายามเข้ามาหลายเท่า อีกทั้งพายุหมุนความเย็นก็ปรากฏขึ้นถี่
โชคดีแต่เดิมทั้งสองก็ไม่ใช่คนธรรมดา อีกทั้งเตรียมตัวล่วงหน้ามาแล้ว พวกเขาจึงผ่านครึ่งหนึ่งของเส้นทางมาได้อย่างปลอดภัย
ทว่าครึ่งหลังเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ทั้งสองคนพบภูตสายลมคำรามที่อาศัยอยู่ท่ามกลางกระแสลมหนาวฝูงใหญ่เข้า
สิ่งมีชีวิตชนิดนี้เป็นสัตว์อสูรร่างวิญญาณชนิดหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นในคลื่นลมหนาว มันไม่มีร่างจริง สติปัญญาก็ไม่สูง แต่เชี่ยวชาญการบังคับสายลม อีกทั้งเป็นอริต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวลอย่างยิ่ง ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ร่างกายของพวกมันผลุบโผล่ลึกลับจัดการยากยิ่งนัก
อินหลิวอาศัยอาภรณ์สีทองบนร่างกับกระบี่ยาวสีดำเล่มหนึ่งดันทุรังสังหารฝ่าเส้นทางสีเลือดออกมา ด้วยสภาพแวดล้อมบีบบังคับเขาจึงไม่มีเวลาสนใจหลิ่วหมิง
แม้หลิ่วหมิงมีหยกตะวันอุ่นคุ้มครองกายและใช้วิชาจนหมดสิ้น แต่ก็ยังพบอันตรายไม่น้อย สุดท้ายจึงเรียกหุ่นตัวแทนที่ชิงหลิงมอบให้ออกมาแปลงเป็นร่างตัวแทนที่เหมือนกับตนเองทุกประการร่างหนึ่งล่อภูตสายลมคำรามส่วนใหญ่ไป เขาจึงหนีออกมาได้อย่างหวุดหวิด
“ต่อไปสหายหลิ่ววางแผนไว้เช่นไร?” อินหลิวเก็บอาภรณ์ตัวยาวสีทองบนร่างไปพลางมองหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยปากถาม
“ข้าน้อยเป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ อยู่ที่ยมโลกอย่างไรก็ไม่สะดวก ข้าคิดจะไปจากยมโลกกลับไปยังแผ่นดินจงเทียนให้เร็วที่สุด” หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่เดียวก็เอ่ยตอบ
“เช่นนี้ก็ดี ข้ามีธุระสำคัญต้องจัดการ ขอตัวก่อนแล้ว แต่หวังว่าสหายหลิ่วกลับไปยังแผ่นดินจงเทียนแล้วจะไม่ลืมสัญญาระหว่างข้ากับเจ้า” อินหลิวเอ่ยสีหน้าจริงจัง
“ผู้อาวุโสลิ่วยินโปรดวางใจ ผู้เยาว์ไม่มีวันกล้าลืม” หลิ่วหมิงประสานมือเอ่ยอย่างหนักแน่น
อินหลิวพยักหน้า จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำกลายร่างเป็นลำแสงสายหนึ่งหายไปจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเห็นอินหลิวจากไปอย่างวางใจ ใบหน้าก็เผยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อกลายร่างเป็นแสงสีดำสายหนึ่งเหาะไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
……
หลายเดือนหลังจากนั้น
ณ ป่าผลึกหมึกขนาดมหึมาอย่างยิ่งผืนหนึ่งใกล้กับทะเลทรายเป่ยชือ เสาผลึกหมึกสีเทาเรียงเป็นแถวจนมองไม่เห็นขอบ ทอดสายตามองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ในตอนนี้ลำแสงสีดำสายหนึ่งเหาะเร็วรี่มาจากไกลๆ มันกะพริบวูบเดียวก็มุดเข้าไปในป่าผลึกหมึก
ผ่านไปไม่นานลำแสงสีดำก็มาถึงพื้นที่ใจกลางป่าผลึกหมึกอย่างชำนาญทาง มองผ่านปราณดำเข้าไปเห็นเงาคนด้านในอยู่เลือนราง เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
หลังจากหลิ่วหมิงเหาะมาได้อีกพักหนึ่ง ตรงหน้าก็ปรากฏที่ว่างกว้างโล่งผืนหนึ่ง บนพื้นตรงหน้ามีหลุมลึกสีดำไหม้เกรียมอยู่หลายแห่ง แลดูสะดุดตาน่าหวาดหวั่น
ที่แห่งนี้ก็คือจุดที่พวกปี้เหยียนถูกสังหารเมื่อตอนนั้น แล้วก็เป็นจุดที่ซวีหลิงจบชีวิตลง
แม้ศึกอันเลวร้ายครั้งนั้นผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เมื่อคิดถึงพลังของหุ่นหยกผลึกหมึกตัวนั้น ในใจหลิ่วหมิงก็ยังอดไม่ได้หวาดผวาย้อนหลัง
ลำแสงสลาย เขาร่อนลงมาด้านล่างอย่างเชื่องช้าแล้วจัดเสื้อผ้าเล็กน้อย จากนั้นสายตาจึงมองสำรวจรอบด้านคล้ายกำลังตามหาบางสิ่ง
ในตอนนี้เองอากาศก็บิดเบี้ยว แสงสีน้ำเงินสว่างวาบบนจุดหนึ่งของพื้นดิน เงาคนร่างเล็กฉับพลันปรากฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิง
“ผู้เยาว์คารวะผู้อาวุโส” หลิ่วหมิงรีบก้าวเข้าไปคำนับ
“คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไร เจ้าก็มาแล้ว ดูจากสีหน้าของเจ้า เอาอนธการธารตุเก้าแปรผันมาได้แล้วหรือ?” ชิงหลิงมองสำรวจหลิ่วหมิงจากหัวจรดเท้า ดวงตาทอประกายประหลาดใจแล้วเอ่ยถามขึ้นเรียบๆ
“หลายวันก่อนผู้เยาว์โชคดีเพิ่งกลับมาจากการผจญอันตรายในสุสานราชายมโลกแห่งนั้น โชคดีที่ไม่ผิดต่อคำสั่ง ได้สิ่งของมาแล้ว ผู้อาวุโสโปรดดู ใช่ของที่ท่านต้องการหรือไม่” หลิ่วหมิงเอ่ยพลางสองมือก็ประคองกล่องหยกสีหม่น ส่งไปให้ด้วยสีหน้านอบน้อม
ชิงหลิงยกมือข้างหนึ่งขึ้น “ฟึบ” กล่องหยกสีหม่นก็มาอยู่ในมือ
หลังจากฝ่ามือลูบผ่าน ฝากล่องหยกก็เปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นผลึกที่เปล่งแสงสีดำทั้งชิ้นขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่ง มันก็คืออนธการธาตุเก้าแปรผันที่หลิ่วหมิงนำออกมาจากสุสานราชายมโลกนั่นเอง
“สุสานราชายมโลกแห่งนี้อันตรายยิ่งนัก มิเช่นนั้นคงไม่ถูกผู้คนในดินแดนนี้เรียกขานกันว่าดินแดนสิบตายไม่มีรอด ด้วยเหตุนี้ข้าจึงให้เวลาเจ้าเตรียมตัวสิบปี แต่วันนี้เวลาเพิ่งผ่านไปไม่เท่าไร เจ้าก็ได้อนธการธาตุเก้าแปรผันมาแล้ว ดี ดียิ่ง! ข้าไม่ได้มองเจ้าผิด” สายตาของชิงหลิงหยุดอยู่ที่อนธการธาตุเก้าแปรผันเนิ่นนาน แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ใบหน้าเกลี้ยงเกลามีรอยยิ้มจากใจจริงปรากฏออกมาแวบหนึ่ง
“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ความจริงผู้เยาว์เตรียมตัวเพื่อการนี้ไม่น้อย แล้วมีโชคเพิ่มมาอีกน้อยจึงได้มาอย่างราบรื่นเช่นนี้” หลิ่วหมิงตอบอย่างนอบน้อม
“ข้าเป็นผู้ที่แบ่งคุณงามความชอบกับโทษทัณฑ์ชัดเจน ในเมื่อเจ้านำอนธการธาตุเก้าแปรผันนี่มาได้ ข้าย่อมรักษาสัญญาพาเจ้ากลับแผ่นดินจงเทียน นอกจากนั้นนี่คือรางวัลพิเศษที่เจ้าทำภารกิจสำเร็จเร็วกว่ากำหนด”
สิ้นเสียง ชิงหลิงก็ยกมือขึ้น หลิ่วหมิงเห็นแสงจิตวิญญาณทอแสงอยู่เบื้องหน้า ก่อนที่ผลึกสีน้ำตาลทรงรีลูกหนึ่งจะปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าแล้วแผ่คลื่นปราณปีศาจอันรุนแรงอย่างที่สุดสายหนึ่งออกมา
“แก่นปีศาจ ลมปราณนี่…”
หลิ่วหมิงเปลี่ยนสีหน้าไปวูบหนึ่ง เห็นชัดว่าของสิ่งนี้เป็นแก่นปีศาจระดับสูงอย่างยิ่งชิ้นหนึ่ง!
อย่างน้อยตอนนั้นที่เขาอยู่ในหนานฮวงบนแผ่นดินจงเทียนตั้งเนิ่นนาน สังหารปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ไปนับไม่ถ้วนก็ไม่เคยพบแก่นปีศาจที่คลื่นปราณปีศาจรุนแรงเช่นนี้
“ไม่ผิด สายตาดีทีเดียว! นี่คือแก่นปีศาจของราชาแมงป่องไป๋เจ๋อปีศาจอสูรระดับดาราพยากรณ์ ไม่ว่าจะพลังปีศาจหรือพลังธาตุก็เหมาะกับแมงป่องกระดูกอสูรเลี้ยงตัวนั้นของเจ้ายิ่งนัก กินแก่นปีศาจระดับดาราพยากรณ์เม็ดนี้ลงไป อสูรเลี้ยงตัวนั้นของเจ้าก็มีหวังแปดส่วนว่าจะผนึกแก่นแท้สำเร็จ เลื่อนระดับเป็นระดับแก่นแท้” ชิงหลิงมองหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยอย่างสบายอารมณ์
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่มอบให้!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ดีใจยิ่ง นิ้วมือจี้ดัชนีครั้งหนึ่ง แก่นปีศาจเม็ดนั้นพลันกลายเป็นลำแสงเส้นหนึ่งพุ่งเข้าไปในแหวนย่อส่วนของเขา
แม้เขาไม่เคยได้ยินชื่อราชาแมงป่องไป๋เจ๋อมาก่อน แต่จากปราณปีศาจที่แผ่ออกมาของมันกับปราณหยินสายนี้ที่เห็น ในสิบส่วนมีโอกาสแปดเก้าส่วนที่อสูรตนนี้จะเป็นภูตผีที่มีเฉพาะในยมโลก อีกทั้งชิงหลิงยังกล่าวเช่นนี้ยิ่งไม่มีทางผิดไปได้
“เจ้าตามข้ามา รอข้าเตรียมตัวนิดหน่อยแล้วจะส่งเจ้ากลับแผ่นดินจงเทียน” ชิงหลิงพยักหน้าน้อยๆ แขนประหนึ่งรากบัวขาวผ่องโบกครั้งหนึ่ง อากาศรอบด้านก็สั่นกระเพื่อม แสงเรืองรองสีน้ำเงินผืนหนึ่งส่องสว่างล้อมหลิ่วหมิงเอาไว้
ในตอนนี้เองแรงกดดันจิตวิญญาณปริศนาอันแข็งแกร่งสายหนึ่งพลันแผ่ลงมาจากฟ้า
แรงกดดันจิตวิญญาณแข็งแกร่งจนทำให้ปราณหยินแห่งฟ้าดินรอบตัวพวกหลิ่วหมิงปั่นป่วนอย่างรุนแรงในพริบตา
หลิ่วหมิงหน้าถอดสี รู้สึกว่าความหวาดกลัวที่ชวนให้หายใจไม่ออกร่วงลงมาจากฟ้าในพริบตา
สายตาของชิงหลิงกลับทอประกายเย็นเยียบ นางยื่นนิ้วข้างหนึ่งจี้ดัชนีรุนแรงใส่อากาศ แสงเรืองรองสีน้ำเงินหม่นผืนหนึ่งปรากฎขึ้นเบื้องหน้า มืออีกข้างทำท่ามือ ยิงเคล็ดวิชาหลายสายออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเคล็ดวิชาจมหายเข้าไป แสงเรืองรองสีน้ำเงินหม่นพลันส่องแสงกลายเป็นม่านแสงสีน้ำเงินชั้นหนึ่งล้อมทั้งสองคนไว้ด้านใน
ทันทีที่ม่านแสงปรากฏ สายลมคลั่งสีเขียวหยกก็หอบพัดมืดฟ้ามัวดินมาจากด้านบน จุดที่พัดผ่านเกิดรอยแยกมิติแคบยาวสายแล้วสายเล่าขึ้นให้เห็นชัด หลังจากนั้นร่วงลงมาใส่ม่านแสงสีน้ำเงินประหนึ่งเม็ดฝนกระทบใบตอง ม่านแสงสั่นคลอนวูบหนึ่ง แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ปริแตก
ทว่าทันทีที่ป่าผลึกหมึกสีเทารอบด้านสัมผัสถูกสายลมคลั่งก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นน่าหวาดกลัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ป่าพังพินาศในชั่วพริบตา!