ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1117 เซียเอ๋อร์ผนึกแก่นแท้
ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะยืนมั่นคง ในหูก็ได้ยินเสียงเย็นชาทุ้มต่ำดังขึ้นแผ่วเบา
“ร่างแปลงปีศาจ”
ฉับพลันหลิ่วหมิงก็ได้ยินเสียง “วิ้ง” ดังขึ้นในหู จากนั้นก็สูญเสียการควบคุมร่างกายไปทันที
อึดใจต่อมาทั้งร่างพลันมีเปลวเพลิงสีดำพวยพุ่งออกมาลุกไหม้อย่างรุนแรง ร่างกายของเขาระเบิดดังเปรี้ยงปร้างอยู่ครู่หนึ่งก็ขยายขนาดขึ้นช่วงใหญ่ บนผิวหนังปรากฏลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงอ่อนเส้นแล้วเส้นเล่า
ลมปราณเหี้ยมโหดโถมเข้าโจมตีสมองไม่หยุด ท่ามกลางเสียงคำรามดุดัน ร่างกายของเขาพุ่งทะลวงออกไปประหนึ่งสายฟ้ากลายเป็นสายลมร้ายกาจสายหนึ่งพัดเข้าใส่ยอดเขาสูงหลายสิบจั้งลูกที่อยู่ใกล้ที่สุด
ขณะที่ร่างกายยังอยู่กลางอากาศ เงาหมัดที่มีลวดลายสีม่วงกระจายอยู่เต็มคู่หนึ่งก็โจมตีเป็นเงาเลือนรางออกมา เปลวเพลิงสีดำพวยพุ่งก่อตัวเป็นรูปร่าง เงาหมัดสีดำมากมายถี่ยิบผืนใหญ่พุ่งตัดกันสะเปะสะปะ
พริบตาที่เงาหมัดโจมตีลงบนยอดเขา ยอดเขาก็สั่นสะท้านจากเงาหมัดที่ต่อยระรัวลงมาทันที
ผ่านไปเพียงชั่วลมหายใจ ยอดเขาทั้งลูกก็ถูกเงาหมัดกระหน่ำโจมตีจนปริแตกเสียงดังสนั่น หินภูเขากลิ้งร่วงลงมา
เห็นชัดว่าร่างแปลงปีศาจของหลิ่วหมิงมีพลังเพิ่มขึ้นสิบกว่าเท่าจากก่อนหน้านี้เมื่อเขาเลื่อนเข้าสู่ระดับแก่นแท้
หลิ่วหมิงร่างปีศาจพุ่งออกมาจากท่ามกลางเศษหินแล้วเหาะไปยังยอดเขาลูกต่อไป
“ยังอึ้งทำอันใด! ลองรวบรวมพลังจิตไว้จุดเดียวพยายามหาสัมผัสให้พบก่อน” ขณะที่ตัวหลิ่วหมิงกำลังทึ่งกับความแข็งแกร่งของพลังกายของตนหลังแปลงเป็นปีศาจ ในหูก็มีเสียงของหลัวโหวดังขึ้น
หลิ่วหมิงได้สติรีบบังคับจิตใจของตนให้นิ่งสงบ แล้วทุ่มพลังจิตทั้งหมดไว้ที่แขนข้างขวาอย่างไม่เก็บออมไว้สักนิด แทรกเข้าไปในเส้นลมปราณบนนั้น
ในตอนนี้เองหลิ่วหมิงร่างปีศาจก็เหาะมาถึงหน้ายอดเขาลูกหนึ่ง แขนขวาขยับต่อยลงไปที่ไหล่เขา
หลิ่วหมิงใจเต้น จากนั้นก็ดีใจยิ่งนัก
เพราะพริบตานั้นที่กำปั้นต่อยลงบนไหล่เขา แขนของเขามีความรู้สึกว่าสัมผัสถูกของแข็ง
แม้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วแวบ แต่ก็ทำให้เขารู้สึกว่าได้แขนขวากลับคืนมาจริงๆ
เสียงดังสนั่นประหนึ่งแผ่นดินไหวขุนเขาสั่นคลอนดังขึ้น!
ไหล่เขาเกิดหลุมมหึมาเว้าลึกลงไปทันที รอบตัวมันยังมีรอยร้าวเส้นแล้วเส้นเล่าแผ่ขยายตัดกันเป็นตาข่ายแตกลามไปทั่วทุกสารทิศอย่างเร็วไว
ชั่วอึดใจก่อนที่ยอดเขาจะพังทลาย หลิ่วหมิงพลันรู้สึกว่าเบื้องหน้ามืดดับ จากนั้นเขาก็กลับมาในมิติสีเทาหม่น
หลัวโหวกำลังยืนเอาสองมือไพล่หลังอยู่ด้านข้างศิลาหุนเทียน แต่สีหน้าซีดเผือดกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย เขามองหลิ่วหมิงแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเรียบๆ
“ไอ้หนู ดูท่าเจ้าจะมีสติปัญญาไม่ใช่ชั่ว ครั้งแรกที่ลองก็ทวงสัมผัสเล็กน้อยกลับมาได้เบื้องต้นแล้ว วันนี้พอเท่านี้ ให้เจ้าจำลองการแปลงเป็นปีศาจของจริงในภาพมายา เสียพลังจิตไม่เท่ากับภาพมายาทั่วไป”
ขณะที่หลิ่วหมิงอ้าปากอยากจะถามอะไรเพิ่มอีก ร่างของหลัวโหวก็เลือนหายไปจากที่เดิม
หลิ่วหมิงหัวเราะฝืดเฝื่อนในใจแล้วหาที่ว่างแห่งหนึ่งนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณ
……
วันหนึ่งสิบปีหลังจากนั้นหลิ่วหมิงกำลังนั่งสมาธิอยู่ในมิติของกรงขัง ทันใดนั้นมิติรอบด้านก็สั่นไหวเป็นระลอก
เมื่อเขาลืมตาขึ้น ทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด ร่างกายเบาหวิว ทั้งร่างหลุดออกจากมิติสีเทาหม่นที่อยู่ภายในกรงขังกลับมายังก้นแม่น้ำมืด เซียเอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเขาเช่นเดียวกัน เพียงแต่นางถูกปราณดำจางๆ กลุ่มหนึ่งล้อมเอาไว้
หลิ่วหมิงดวงตาทอประกาย ครู่หนึ่งหลังจากนั้นจึงถอนหายใจเบาๆ
ตอนนี้เองจู่ๆ ในทะเลจิตวิญญาณของเขาก็สั่นสะท้าน ฟองอากาศลึกลับปรากฏขึ้นอีกครั้งพร้อมกับพลังเวทอันบริสุทธิ์ที่สุดสายหนึ่งทะลักออกมาจากด้านในถ่ายเทเข้ามายังแก่นแท้ในทะเลจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงรีบสงบจิตใจโคจรเคล็ดวิชากระดูกดำ กระจายพลังเวทที่ฟองอากาศคืนกลับมาไปทุกแห่งทั่วร่าง ปราณดำที่เข้มข้นจนเหมือนของเหลวสายหนึ่งคลุมทั้งร่างของเขาเอาไว้ด้านใน
หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้นปราณดำก็ปั่นป่วนอยู่ชั่ววูบ เงาคนเลือนรางร่างหนึ่งเหาะเร็วรี่ออกมาจากด้านใน จากนั้นเลือนหายไปแล้วปรากฏตัวอีกครั้งกลางท้องฟ้า
เงาคนค่อยๆ ก่อตัวชัด เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิง
สองมือเขากำหมัด สัมผัสถึงพลังเวทหนักอึ้งดุจปรอทในทะเลจิตวิญญาณกับเส้นลมปราณ แล้วแหงนหน้ากู่ร้องอย่างห้ามตนเองไม่ได้
พลังเวทในร่างเขาถูกฟองอากาศลึกลับกลั่นให้บริสุทธ์ซ้ำไปมาจนวันนี้บรรลุถึงขั้นที่ผู้คนได้ยินต้องตกตะลึง แม้ระดับพลังจะลงจากจุดสูงสุดของระดับแก่นแท้ขั้นกลางหล่นมาถึงระดับแก่นแท้ขั้นต้น แต่นี่ไม่เป็นปัญหา ใช้เวลาสักหน่อยย่อมฝึกฝนกลับไปใหม่ได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก
“เอ๋ นี่มัน…”
หลิ่วหมิงส่งจิตสัมผัสเข้าไปในร่างก็พบว่าพลังเวทที่มีลักษณะเป็นของเหลวในทะเลจิตวิญญาณมีเส้นเรียวเล็กเหมือนขนอุยเส้นแล้วเส้นเล่าอยู่
เส้นเรียวเล็กเหล่านี้เล็กยิ่งนัก หากจิตสัมผัสของเขาไม่แข็งแกร่งคงสังเกตไม่พบแน่นอน
“นี่คือพลังเวทที่กำลังรวมเป็นผลึก…” ลักษณะของเส้นเรียวเล็กนี่ เขาคุ้นเคยนัก พวกมันคล้ายคลึงกับพลังเวทที่กำลังจับตัวเป็นผลึกสมัยพลังระดับผลึกอยู่บ้าง
พูดอีกอย่างก็คือพลังเวทที่ไหลอยู่ในร่างเขาตอนนี้ถูกกลั่นจนถึงขั้นที่พลังเวทใกล้จับตัวเป็นผลึกแล้ว
ส่วนเซียเอ๋อร์ตอนนี้กลับถูกปราณสีดำสนิทดุจหมึกก้อนโตล้อมไว้ด้านใน
หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสจนแน่ใจว่าเซียเอ๋อร์ไม่มีปัญหาใหญ่อันใดจึงนั่งขัดสมาธิด้านข้าง หลับตาโคจรลมปราณรอคอยอย่างนิ่งสงบ
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ เสียงใสรื่นหูก็หอบหายใจ ปราณสีดำที่ล้อมเซียเอ๋อร์สลายไป
เซียเอ๋อร์ในยามนี้ฟื้นกลับมาเป็นสภาพหญิงสาวผู้สวมชุดตาข่ายดำแล้ว นางใช้สองมือกอดเข่านั่งอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นระริกเล็กน้อย
“เซียเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง” หลิ่วหมิงได้ยินเสียงจึงลืมตาขึ้นแล้วกวาดจิตสัมผัสไป
เห็นเพียงเวลานี้เซียเอ๋อร์สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย พลังร่วงจากระดับผลึกช่วงปลาย แต่พลังเวทในร่างกลับบริสุทธิ์ควบแน่นกว่าก่อนหน้าไม่น้อย
“นายท่าน ข้ารู้สึกว่าระดับพลังเหมือนจะเคลื่อนไหวนิดๆ โอกาสผนึกแก่นแท้น่าจะมาถึงแล้ว” เซียเอ๋อร์เงยหน้ากะพริบตาปริบๆ มองมาทางหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงได้ยินก็เข้าใจทันที มือพลิกหงาย ผลึกสีน้ำตาลทรงรีเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ
“เซียเอ๋อร์ นี่คือแก่นปีศาจของราชาแมงป่องไป๋เจ๋อปีศาจอสูรระดับดาราพยากรณ์ เจ้ารอพลังเวทกับระดับพลังฟื้นกลับมาแล้วก็กินแก่นปีศาจนี่ลงไป พลังเวทอันบริสุทธิ์ยามนี้ของเจ้าน่าจะผนึกแก่นแท้ได้อย่างไม่มีปัญหา”
“ขอบคุณนายท่านยิ่งนัก!”
เซียเอ๋อร์สีหน้าดีอกดีใจ นางยื่นมือมารับผลึกทรงรีไปแล้วคำนับหลิ่วหมิง จากนั้นร่างกายก็หายวับไปโผล่ตรงที่ว่างแห่งหนึ่งไม่ไกลนักแล้วนั่งขัดสมาธิ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ธงค่ายกลที่ทอแสงเรืองๆ สิบว่าผืนลอยออกมาจากด้านใน จากนั้นเขาจึงจี้ดัชนีใส่ธงค่ายกลเหล่านี้
ธงค่ายกลเหล่านี้กลายเป็นแสงสีเหลืองสิบกว่าสาย พุ่งจมลงไปในพื้นดินรอบตัวเซียเอ๋อร์แล้ว หายไปไร้ร่องรอย
ต่อจากนั้นม่านแสงสีเหลืองอ่อนชั้นหนึ่งจึงผุดขึ้นรอบตัวเซียเอ๋อร์ บนผิวด้านนอกมียันต์อันลี้ลับตัวแล้วตัวเล่าลอยเคลื่อนไหวอยู่
เขาพยักหน้าให้เซียเอ๋อร์ที่อยู่ด้านในเพื่อบอกให้นางฝึกฝนอย่างวางใจ ส่วนเขาก็เริ่มฟื้นฟูพลังเวทพร้อมกับกลั่นหยดพลังวารีแม่น้ำมืดต่อ
หลังจากผ่านการกลั่นพลังเวทในกรงขังครั้งนี้ ความเร็วในการกลั่นหยดพลังวารีของเขาก็เร็วขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย
วันหนึ่งหลังจากนั้นสามปี
หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิใช้เคล็ดวิชาพันกลั่นวารีกลั่นหยดพลังวารีอยู่ ด้านข้างก็มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้น
หลิ่วหมิงเลิกคิ้วมองตามเสียงไป
ก็เห็นปราณยมโลกสีดำรอบด้านกลายเป็นไอหมอกสายแล้วสายเล่าจมเข้าไปในร่างของเซียเอ๋อร์ที่นั่งขัดสมาธิอย่างเงียบสงบอยู่ในม่านแสงมาตลอด ระหว่างที่หลิ่วหมิงทำหน้าสงสัย แม่น้ำมืดรอบด้านก็พลันปั่นป่วนอย่างรุนแรง
ชั้นจำกัดที่ก้นแม่น้ำมืดเหมือนจะถูกเขย่าไม่เบา
วังน้ำวนขนาดไม่เท่ากันหลายลูกก่อตัวขึ้นเหนือชั้นจำกัดก้นแม่น้ำที่หลิ่วหมิงอยู่ แม้แต่อสูรแห่งความมืดในแม่น้ำมืดรอบอาณาบริเวณหลายลี้ก็โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ มองแม่น้ำมืดที่ปั่นป่วนอย่างทำอันใดไม่ถูกอยู่เล็กน้อย
ในใจหลิ่วหมิงยินดี เขาย่อมรู้ว่าเซียเอ๋อร์มาถึงช่วงเวลาสำคัญว่าจะผนึกแก่นแท้สำเร็จหรือไม่แล้ว
เขาใช้เคล็ดวิชาสลายชั้นจำกัดรอบตัวออก จากนั้นหลบไปยังตำแหน่งที่ปลอดภัยแล้วเฝ้าสังเกตอย่างนิ่งเงียบ
ในตอนนี้เองเมฆสีดำทะมึนพลันก่อตัวบนท้องฟ้า เสียงอสนีบาตน่าหวาดหวั่นดังออกมาจากด้านใน
เวลาผ่านไปราวชั่วจิบชาครึ่งถ้วย อสนีบาตแลบแปลบปลาบสานกันเป็นผืนบนท้องฟ้า หลังจากนั้นจึงกลายเป็นโซ่แสงสีเงินหนาเท่าถังน้ำฟาดลงบนแม่น้ำมืดเป็นระยะจนหยาดน้ำสาดกระเซ็น
เซียเอ๋อร์เหมือนจะสัมผัสอะไรได้ เพลิงปราณสีเหลืองเข้มชั้นหนึ่งแผ่ออกมาทั่วร่างก่อตัวเป็นลำแสงสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งเร็วพรวดขึ้นไปด้านบน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ร่างกายก็ขยับวูบหนึ่งกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งตามไปติดๆ
ผิวแม่น้ำมืดบริเวณที่เมฆอสนีบาตสีดำปกคลุมปั่นป่วนอย่างรุนแรง ร่างกายของหญิงสาวผู้สวมชุดตาข่ายสีดำซึ่งมีแสงสีเหลืองเข้มหุ้มร่างอยู่คนหนึ่งทะลวงออกมาจากข้างใต้
ต่อจากนั้นหยาดน้ำก็แตกกระเซ็นอีกครั้ง เงาคนที่มีปราณสีดำรายล้อมร่างหนึ่งเหาะออกจากผืนน้ำตามมาติดๆ แล้วขยับวูบเดียวหยุดห่างไปร้อยจั้ง
เงาคนย่อมคือหลิ่วหมิง
เขาในตอนนี้กำลังจดจ่อสมาธิทั้งหมดเฝ้ามองเซียเอ๋อร์ พร้อมกับปล่อยจิตสัมผัสออกมาครอบคลุมบริเวณร้อยลี้ ป้องกันทุกสิ่งที่อาจจะโผล่มาทำให้เกิดสถานการณ์ไม่ดีกับเซียเอ๋อร์
ในตอนนี้เองเซียเอ๋อร์พลันลืมตาทั้งสองข้างขึ้น นางแค่นเสียงออกมาเบาๆ ครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นร่างกางก็หดเล็กลงจนกลับเป็นร่างจริง กลายเป็นแมงป่องกระดูกขนาดเท่าฝ่ามือ
เสียงอสนีบาตดังสะเทือนแก้วหู เส้นสายฟ้าสีเงินทั้งหมดในก้อนเมฆสีดำร่วงลงจากฟ้าพร้อมกัน เกิดเป็นตาข่ายสีเงินขนาดยักษ์ถี่ยิบผืนหนึ่งกลางอากาศฟาดลงมาเบื้องล่าง พลังน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก
หลิ่วหมิงตกตะลึงอยู่ในใจ มือกำมุกบรรพตธาราสองลูกเอาไว้แน่น คิดว่าหากเกิดอันตรายขึ้นก็จะลงมือทันที
ในตอนนี้เองตราสัญลักษณ์มงกุฎสีทองบนหน้าผากของเซียเอ๋อร์ก็พลันเปล่งแสงสีทองผืนหนึ่งออกมา ทันทีที่ตาข่าสายฟ้าสีเงินสัมผัสถูกแสงสีทองก็ประหนึ่งตุ๊กตาวัวโคลนจมลงในทะเล ต่างมลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เวลาเคลื่อนคล้อยผันผ่าน เส้นสายฟ้าสีเงินที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้าไม่มีวี่แววว่าจะอ่อนแรงลงสักนิด แต่ยิ่งถี่ยิบมากกว่าเดิม
ทว่าเมื่อเส้นสายฟ้าเหล่านี้สัมผัสถูกแสงสีทองก็ถูกมันดูดกลืนทันที ราวกับไม่อาจทำอันตรายเซียเอ๋อร์ที่อยู่ด้านล่างได้แต่อย่างใด
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงแปลกใจก็คือขณะที่สายฟ้าถูกดูดไปไม่หยุด ร่างกายของเซียเอ๋อร์ก็ขยายขนาดตามไปด้วย
เป็นเช่นนี้หนึ่งชั่วยามเต็มๆ จนกระทั่งขนาดร่างของเซียเอ๋อร์ใหญ่กว่าเดิมไม่น้อยกว่าสองสามเท่า อสนีบาตบนท้องฟ้าจึงค่อยๆ หยุด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงโล่งใจ
จากนั้นเมฆดำบนท้องฟ้าก็สลายตัว ปราณหยินทั่วทุกสารทิศรวมตัวกันไม่ขาดสายโดยมีเซียเอ๋อร์เป็นศูนย์กลางจนก่อตัวเป็นพายุหมุนปราณหยินขนาดมหึมาอย่างยิ่งลูกหนึ่ง
ภายในพายุหมุนผลึกสีม่วงเจ็ดสิบสองเม็ดลอยออกมาจากในร่างของเซียเอ๋อร์ หลังจากนั้นพวกมันก็หมุนเป็นวงก่อนจะผสานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วกลายเป็นมุกกลมสีม่วงขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่ง
“แก่นแท้ระดับสูงเก้าทวาร!”
หลิ่วหมิงมองมุกกลมสีม่วงแล้วพึมพำกับตนเองอย่างอดไม่ได้
มุกกลมสีม่วงเปล่งแสงวูบหนึ่งแล้วจมหายเข้าไปในศีรษะของเซียเอ๋อร์ พายุหมุนปราณหยินทั้งหมดสลายไปพร้อมเสียงดังกึกก้องเผยร่างของเซียเอ๋อร์ออกมาอีกครั้ง
นางแปลงเป็นร่างมนุษย์อีกครั้งแล้ว