ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1132 งานใหญ่สำเร็จ
เมื่อถึงตอนนี้แมลงที่ฝ่าผ่านทะเลเพลิงมาก็ถูกพวกหลิ่วหมิงสังหารจนสิ้น
คุกทะเลเพลิงรอบนอกได้ขวดหยกสีดำในมือซือโห่วเสริมกำลังเต็มที่จึงลุกโหมแผ่ขยายออกไปข้างนอก ขวางแมลงด้านนอกเอาไว้อีกครั้ง ทำให้พวกมันไม่กล้าเข้ามาง่ายๆ
พวกบุรุษผมแดงโล่งอกและพากันเผยสีหน้าประหนึ่งรอดพ้นคราวเคราะห์ออกมา
คณะเดินทางที่เข้ามายังที่แห่งนี้เมื่อรวมซือโห่วด้วยมีเกือบยี่สิบคน ทว่ายามนี้คนที่ยังมีชีวิตอยู่เหลือไม่ถึงครึ่ง ศิษย์ระดับผลึกสี่คนของหุบเขาปีศาจสวรรค์ในกลุ่มตอนนี้เหลืออยู่เพียงคนเดียว
หลิ่วหมิงลอบใช้เคล็ดวิชา เชอฮ่วนคำรามเบาๆ เหมือนไม่ค่อยยินยอม จากนั้นร่างกายจึงส่งเสียงดังสลายกลายเป็นเงาสีน้ำเงินสายหนึ่งลอยเข้าไปในหัวไหล่ซ้ายของเขาหายไปไม่เห็นร่องรอย
“ลำบากทุกคนแล้ว ต้องขอบคุณที่พวกเจ้าช่วยสุดชีวิตจึงทำให้มหาค่ายกลไม่ถูกทำลาย ตอนนี้พวกเราเพียงต้องรอเงียบๆ ให้มหาค่ายกลจุดอื่นทำงานเท่านั้น หลังจากกลับถึงเขาผ่านพิภพ ผู้แซ่ซือจะรายงานพันธมิตรตัดสินความชอบมอบรางวัลให้ตามความจริง” สายตาของซือโห่วกวาดผ่านกลุ่มคนที่นั่นแล้วเอ่ยเช่นนี้
บุรุษร่างกำยำผมแดงกับบุรุษชุดขาวได้ฟังกลับไม่ได้มีสีหน้าดีใจสักเท่าไร ศิษย์ที่พวกเขาพามาล้มตายเกินครึ่งจะดีใจได้เช่นไร
ซือโห่วหันไปมองหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้าง สีหน้าอ่อนลงกำลังจะอ้าปากเอ่ยอะไรบางอย่าง
ในตอนนี้เองเสียงระเบิดดังกึกก้องสะเทือนแก้วหูแทบดับก็ดังขึ้น
ทุกคนตกตะลึงพากันหันหน้าไปมอง
แล้วก็เห็นเสาแสงมหึมาที่พุ่งออกมาจากมหาค่ายกลทรายโปรยปรายเกิดเสียงดังสนั่นประหนึ่งอสนีบาตคำรามครั้งแล้วครั้งเล่าคล้ายกับว่ามีบางสิ่งด้านในระเบิด
เสียงดังถี่ขึ้นพร้อมกับที่เสาแสงยักษ์สีเหลืองหนาขึ้นหนึ่งเท่ากว่า แสงเรืองรองสีเหลืองเข้มสายแล้วสายเล่าพุ่งพรวดไปรอบด้านไม่หยุด
ยามนี้หากมองลงมาจากบนท้องฟ้าสูงหมื่นจั้งเหนือทะเลทรายหนานฮวงก็จะเห็นภาพอันอลังการอย่างยิ่งภาพหนึ่งได้ชัดเจน
สี่ทิศของทะเลทรายซึ่งพายุทรายสีดำกำลังพัดตลบมีเสาแสงสีทองยักษ์สี่ต้นพุ่งขึ้นฟ้าร้องรับตอบสนองกัน แสงเรืองรองสีเหลืองสายแล้วสายเล่าพุ่งพรวดออกมาจากเสาแสงถักทอกันเป็นรูปแบบบางอย่างด้วยความรวดเร็ว ก่อตัวเป็นตาข่ายขนาดใหญ่สีเหลืองแผ่ทั่วฟ้าแทบจะปกคลุมท้องนภาเกินครึ่งของทะเลทรายหนานฮวง
ยิ่งแสงเรืองรองสีเหลืองที่พุ่งออกมาจากเสาแสงยักษ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตาข่ายขนาดใหญ่สีเหลืองบนท้องฟ้าเหนือทะเลทรายหนานฮวงก็ยิ่งถี่
หลิ่วหมิงมองดูภาพตรงหน้าแล้วลอบตะลึงอยู่ในใจ ทว่าอึดใจต่อมาสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในทันใด ไม่รู้เพราะเหตุใดร่างกายของเขาจึงสัมผัสได้ถึงแรงลอยตัว ทั้งตัวจู่ๆ ก็ลอยขึ้นมา
คนอื่นที่นั่นก็เป็นเช่นเดียวกัน ราวกับว่าแรงดึงดูดของทะเลทรายกลับตาลปัตรอย่างฉับพลันผลักคนกับเม็ดทรายให้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
“มหาค่ายกลทรายโปรยปรายเริ่มสำแดงฤทธิ์แล้ว ทุกคนรีบเกาะกลุ่มกันไว้ ระวังพายุทรายรอบด้าน อย่าถูกพัดเข้าไปเด็ดขาด!” ซือโห่วเห็นเช่นนี้พลันตะโกนเสียงดังบอกทุกคนที่อยู่รอบตัว
ทุกคนฟังจบจึงพากันเรียกยันต์กับวิชาลับนานาชนิดออกมาต้านแรงดึงมหาศาลที่กลับด้านบนเป็นด้านล่างสายนี้ แล้วเข้าไปรวมตัวกันตรงจุดที่ซือโห่วอยู่
บึ๊ม!
ทะเลทรายที่มีตาข่ายขนาดใหญ่คลุมท้องฟ้าประหนึ่งพลิกกลับหัวทั้งผืน เม็ดทรายลอยเบียดเสียดกลางอากาศ พายุทรายสีดำที่เดิมทีพัดบ้าคลั่งแข็งแกร่งขึ้นกว่าสิบเท่าในพริบตา
กระแสลมที่พัดอยู่ในทะเลทรายพัดย้อนกลับเกิดเป็นพายุหมุนสีดำลูกหนาอย่างยิ่งลูกแล้วลูกเล่าเคลื่อนไปรอบด้าน ทุกสิ่งบนพื้นดินถูกพัดเข้าไป ผิวดินถูกกวาดออกไปเป็นชั้น
แมลงระดับล่างนับไม่ถ้วนทุกแห่งหนในทะเลทรายหนานฮวงถูกพายุหมุนที่เกิดขึ้นทุกที่หอบเข้าไป ก่อนจะหมดลมหายใจในพริบตา
จุดที่พวกหลิ่วหมิงอยู่เกิดพายุหมุนสีดำเชื่อมผืนดินจรดผืนฟ้าลูกแล้วลูกเล่ารอบด้าน ยังดีที่ทุกคนมารวมตัวกันที่จุดเดียวก่อนแล้ว อีกทั้งได้ซือโห่วเรียกเกราะป้องกันสีเหลืองชั้นหนึ่งมาปกป้องไว้จึงไม่ถูกลูกหลงมากนัก
ทว่าแมลงระดับล่างรอบด้านเมื่อเผชิญหน้ากับพลังของธรรมชาตินี้กลับถูกพัดเข้าไปด้านในอย่างไม่มีแรงต่อต้านสักนิด
เหล่าแมลงระดับสูงด้านนอกซึ่งตกอยู่ท่ามกลางสภาพประหลาดที่ไม่อาจต่อกรได้เช่นนี้พากันกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก ไม่สนใจพวกหลิ่วหมิงอีกต่อไป
พวกมันพากันหมุนตัวกลายเป็นลำแสงสายแล้วสายเล่าเหาะหนีไปทั่วทุกสารทิศ
“ดีมาก ดูท่าอีกสามแห่งก็คงราบรื่น มหาค่ายกลทรายโปรยปรายขั้นสุดยอดในที่สุดก็ทำงานอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้พวกเราเสร็จธุระแล้ว ไปเถอะ!” ซือโห่วเห็นภาพตรงหน้าก็เอ่ยกับพวกหลิ่วหมิงอย่างดีใจ แล้วใช้นิ้วจี้ดัชนีใส่ขวดหยกสีดำด้านหน้า
ทะเลเพลิงสีแดงฉานรอบด้านสั่นไหววูบหนึ่ง เปลวเพลิงส่งเสียงดังแล้วสลายกลายเป็นเม็ดทรายสีแดงนับไม่ถ้วนพุ่งกลับเข้าไปเก็บในขวดหยกสีดำใหม่อีกครั้ง
หลังจากซือโห่วพลิกมือเก็บขวดหยกไป ปากก็เริ่มท่องมนตร์แล้วโบกมือทันที วงแหวนแสงของค่ายกลสีเหลืองเข้มขนาดหลายจั้งกะพริบแสงวูบหนึ่งแล้วปรากฏล้อมคนทั้งหมดที่นั่นเอาไว้
แสงสีเหลืองสั่นไหวเพียงชั่ววูบ เงาร่างของพวกหลิ่วหมิงก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
……
ในเวลาเดียวกันใกล้กับหุบเขารกร้างแห่งหนึ่ง
สายลมคลั่งพัดผ่านรอบด้านเป็นระลอกๆ จนมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น เม็ดทรายทั่วฟ้าประหนึ่งดาบคมกริบเฉือนขุนเขาทั้งลูกไปเกือบครึ่ง แมลงระดับล่างกลุ่มละสองตัวสามตัวถูกพัดหอบเข้าไปท่ามกลางเสียงคร่ำครวญ
ใกล้กับเสาแสงสีทองมหึมา เงาร่างขนาดยักษ์สองร่างสีทองกับสีดำกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด คลื่นพลังของการต่อสู้โจมตีพื้นดินบริเวณใกล้เคียงจนเกิดเป็นหลุมลึกขนาดยักษ์หลายหลุมอย่างง่ายดาย
พายุหมุนขนาดยักษ์อันทรงพลังจนน่าตะลึงรอบด้านเคลื่อนไปมาแต่ไม่มีผลต่อร่างทั้งสองแม้แต่น้อย
ท่ามกลางแสงสีทอง ผู้อาวุโสจินหมานผู้มีเส้นผมเป็นอสรพิษเลื้อยเบียดเสียดสีหน้าถมึงทึง คนในหน่วยย่อยที่นางนำมาตกตายหมดสิ้น ในหมู่คนเหล่านั้นมีคนไม่น้อยเป็นกำลังหลักของเผ่าจินหมาน ทำให้หน้าหงุดหงิดอย่างที่สุด
ทว่าโชคดีที่มหาค่ายกลทรายโปรยปรายขั้นสุดยอดทำงานอย่างราบรื่น
กลางแสงสีดำฝั่งตรงข้ามคือร่างมหึมาครึ่งคนครึ่งแมลงร่างหนึ่งที่แผ่แรงกดดันจิตวิญญาณออกมาไม่ด้อยกว่าผู้อาวุโสจินหมาน เห็นชัดว่าเป็นเผ่าหนอนผีเสื้อชั้นสูงระดับดาราพยากรณ์ตัวหนึ่ง
ผู้อาวุโสจินหมานแค่นเสียงหยัน ร่างพลังเวทมหึมาทั้งสองปะทะกันอีกยก นางถูฝ่ามือทั้งสองข้าง อสนีบาตสีเทาเส้นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้า
อสนีบาตสีเทาพร่าเลือนวูบหนึ่งก็ขยายใหญ่ว่าร้อยเท่าในพริบตา กลายเป็นคมดาบสายฟ้าสีเทาเล่มยักษ์ขนาดร้อยจั้งเล่มหนึ่งที่มีอสนีบาตสีเทาสายแล้วสายเล่าไหลอยู่บนนั้น
ผู้อาวุโสจินหมานงอนิ้วแล้วจี้ดัชนี ดาบแสงใหญ่ยักษ์ฟันเข้าใส่แมลงระดับดาราพยากรณ์ฝั่งตรงข้าม “ปัง” เสียงระเบิดดังขึ้นครั้งหนึ่ง ดาบแสงพลันกลายเป็นคมดาบแสงแสบตานับไม่ถ้วนขวางหน้าแมลงระดับดาราพยากรณ์เอาไว้
หญิงสาวสะบัดมือส่งเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกไป จากนั้นเก็บร่างพลังเวทที่โผล่ออกมาด้านหลัง ปากพ่นแสงเรืองรองสีแดงสายหนึ่งออกมาหุ้มรอบร่างกลายเป็นลำแสงสีแดงสายหนึ่งเหาะจากไปไกลอย่างรวดเร็ว พร่าเลือนวูบเดียวก็หายไปจากพายุทรายอันเวิ้งว้าง
……
ห่างจากหุบเขารกร้างที่ผู้อาวุโสจินหมานอยู่หลายหมื่นลี้ มังกรสายลมสีน้ำเงินตัวหนึ่งฝ่าพายุทรายสีดำทั่วท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
มังกรสายลมสีน้ำเงินหุ้มร่างของคนหลายคนเอาไว้ด้านใน พวกเขาก็คือผู้ฝึกฝนจากนิกายต่างๆ สี่ห้าคนกับผู้อาวุโสเฟิงแห่งเขาผ่านพิภพ แต่ละคนล้วนเสื้อผ้าขาดวิ่น สีหน้าซีดเผือด พลังปราณเสียหายหนัก
……
ในเวลาเดียวกัน ณ สถานที่ซึ่งพายุทรายสีดำโหมพัดอีกแห่งหนึ่งในทะเลทรายหนานหวง แสงสีเหลืองแสบตาดวงหนึ่งกำลังเหาะหนีไปด้านหน้าด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ กะพริบวูบเดียวก็เคลื่อนไปห่างหลายร้อยจั้ง
ด้านในแสงสีเหลืองมองไม่เห็นเงาร่างของผู้ใด เห็นแต่เพียงบางสิ่งสีเหลืองอยู่ด้านในเลือนรางเท่านั้น
……
ครึ่งค่อนวันหลังจากนั้น เรือเหาะกระดูกขาวลำหนึ่งก็พุ่งพรวดออกมาจากพายุทรายสีดำของทะเลทรายหนานฮวง
ผู้ที่อยู่บนเรือเหาะก็คือซือโห่วกับพวกหลิ่วหมิง
แสงสีขาวสว่างวูบหนึ่ง เรือเหาะพลันหยุดอยู่นอกพายุทราย
คนทั้งกลุ่มเคลื่อนสายตาไปมองด้านหลังก็เห็นทะเลทรายหนานฮวงด้านหลังกำลังโกลาหล พายุหมุนสีดำนับไม่ถ้วนราวกับหนวดขนาดยักษ์เส้นแล้วเส้นเล่าตวัดฟาดอย่างเหิมเกริม
ทะเลทรายทั้งผืนถูกกลุ่มทรายสีดำไร้จุดสิ้นสุดห้อมล้อมจนแบ่งแยกฟ้าดินจากกันไม่ได้
หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย พายุทรายที่ทรงพลังเช่นนี้ ต่อให้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่ามนุษย์ตกอยู่ข้างในก็เกรงว่าคงหนีออกมาไม่ได้
เหล่าแมลงระดับล่างในทะเลทราย หากไม่มีลูกเล่นพิเศษอันใดก็น่าจะถูกกวาดล้างยกรัง
“นับว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่เสียเปล่า ไปกันเถอะ” ซือโห่วถอนหายใจแล้วโบกมือส่งเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา เรือกระดูกขาวกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งเหาะไปยังเขาผ่านพิภพ
……
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นเรือกระดูกขาวที่แล่นอย่างรวดเร็วมาจากไกลๆ ก็ค่อยๆ ร่อนลงจอดบนผาที่ตำหนักใหญ่ของเขาผ่านพิภพตั้งอยู่
นอกตำหนักใหญ่ของนิกายผ่านพิภพ บุรุษวัยกลางคนชุดเทาที่สวมชุดของนิกายผ่านพิภพผู้หนึ่งพาผู้ฝึกฝนสิบกว่าคนมายืนบนลานกว้างนอกตำหนักหลังใหญ่ เมื่อเห็นแสงสีขาวลอยมาก็รีบร้อนเข้าไปรับ
“ผู้อาวุโสซือโห่ว เดินทางครานี้ลำบากแล้ว” บุรุษวัยกลางคนชุดเทาคำนับซือโห่วอย่างนอบน้อม
ซือโห่วพยักหน้านิดๆ แล้วโบกมือเก็บเรือเหาะไป พวกหลิ่วหมิงยืนอยู่กลางอากาศ
“ปรมาจารย์เฟิงกับผู้อาวุโสท่านอื่นกลับมาแล้ว ยามนี้อยู่ในตำหนัก” บุรุษวัยกลางคนชุดเทาทำท่าเชิญ
“มากันพร้อมแล้ว พวกเขาทำงานเร็วทีเดียว” ซือโห่วได้ยิน ดวงตาพลันทอประกายวูบหนึ่ง แล้วโบกมือส่งสัญญาณให้บุรุษวัยกลางคนชุดเทานำทาง พวกหลิ่วหมิงเดินตามไปด้านหลังอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
เวลานี้ด้านในตำหนักหลักของนิกายผ่านพิภพแลดูเงียบเหงาอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากผู้อาวุโสแซ่เฟิงระดับดาราพยากรณ์จากนิกายผ่านพิภพที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของหัวหน้ากับผู้อาวุโสจินหมานจากเผ่าจินหมาน ก็มีเพียงผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้น้อยนิดอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่นั่งอยู่สองฝั่ง
“สหายซือโห่ว ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว” เมื่อซือโห่วเดินเข้ามาในห้องโถง บุรุษวัยกลางคนแซ่เฟิงก็ลุกขึ้นยืนทันที
ผู้อาวุโสจินหมานลุกขึ้นยืนตามด้วย เมื่อเห็นผู้คนที่ตามมาด้านหลังซือโห่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่เห็นร่างของหลิ่วหมิง แววตาก็ทะมึนขึ้นเล็กน้อย
“สหายเฟิง สหายจินหมาน…เอ๋ เหตุใดไม่เห็นสหายเหยาจากนิกายทรายรังสรรค์เล่า?” ซือโห่วประสานมือให้ทั้งสองคนตรงที่นั่งผู้นำแล้วถามขึ้นมา
“สหายเหยาถูกแมลงระดับดาราพยากรณ์สองตัวลอบจู่โจมกลางทะเลทรายหนานฮวง ตอนนี้บาดเจ็บหนัก กายเนื้อถูกทำลาย ยามนี้กำลังพักรักษาตัวอยู่ หน่วยย่อยที่ข้ากับสหายจินหมานพาไปก็ล้มตายมากมายเช่นกัน หน่วยย่อยที่สหายซือโห่วนำไปมีคนรอดมาได้มากที่สุด โชคดีที่สุดท้ายวางมหาค่ายกลทรายโปรยปรายขั้นสุดยอดสำเร็จถึงทำลายเกินครึ่งของกองทัพใหญ่เผ่าหนอนผีเสื้อได้ชั่วคราว จากสถานการณ์ตอนนี้ หากอีกฝ่ายต้องการบุกโจมตีขนาดใหญ่เช่นนี้อีกครั้ง เกรงว่าอย่างน้อยก็ต้องรอนานหลายเดือน” ผู้อาวุโสเฟิงถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยบอก