ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1137 ยอดเขาแสงอัสดง
หลิ่วหมิงหลุดสีหน้าครุ่นคิดออกมาชั่วครู่ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากถ้ำที่พักกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งเหาะไปทางยอดเขาหลักของเทือกเขาหมื่นวิญญาณในทันที
เวลาชั่วจิบชาหลังจกนั้นเขาก็มาถึงนอกประตูวิหารหลังใหญ่ของยอดเขาหลักนิกายยอดบริสุทธิ์
สิ่งที่แปลกก็คือเวรยามที่ปกติเฝ้าหน้าประตูวิหารหลักอย่างเข้มงวด ยามนี้กลับไม่เห็นสักคน หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าต้องแจ้งใครหรือไม่ ทันใดนั้นเสียงของเทียนเกอเจินเหรินก็ดังขึ้นในหู
“เข้ามาเถอะ”
หลิ่วหมิงได้ยินจึงสงบใจ ผลักประตูบานใหญ่ก้าวเข้าไป
ห้องโถงห้องเดียวกับครั้งก่อนว่างโล่ง มีเพียงเทียนเกอเจินเหรินยืนอยู่ที่นี่ผู้เดียว ไม่เห็นเงาของผู้อื่น
“คารวะท่านประมุข” ดวงตาของหลิ่วหมิงทอประกายวูบหนึ่งขณะเดินมาถึงตรงหน้าเทียนเกอเจินเหรินแล้วค้อมกายคำนับ
“ไม่ต้องมากพิธีแล้ว”
เทียนเกอเจินเหรินมองสำรวจหลิ่วหมิงจากบนจรดล่าง เมื่อเห็นเขาพลังปราณเต็มเปี่ยมจึงพยักหน้าเล็กน้อย
“ตามข้ามา”
เทียนเกอเจินเหรินกวักมือแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องด้านในของวิหารหลังโต
หลิ่วหมิงรีบติดตามไป
ไม่นานนักทั้งสองคนก็เดินผ่านทางเดินเส้นหนึ่งมาถึงตำหนักข้างที่ค่อนข้างห่างไกลหลังหนึ่ง
“เอาล่ะ ข้าจะไม่พูดให้มากความ หลังจากเตรียมตัวมาช่วงนี้ แผนจัดการเผ่าหนอนผีเสื้อบริเวณเทือกเขาหมื่นวิญญาณก็ตระเตรียมได้พอประมาณแล้ว แต่ศึกนี้จะชนะหรือพ่ายแพ้ขึ้นอยู่กับภารกิจของเจ้า” เทียนเกอเจินเหรินนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งด้านในตำหนักข้าง จากนั้นไม่พูดไร้สาระ ตรงเข้าประเด็นทันที
“เชิญท่านประมุขชี้แจง” หลิ่วหมิงสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วประสานมือเอ่ยขึ้นมา
เทียนเกอเจินเหรินยกแขนเสื้อ ลูกบอลแสงขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งทอแสงลอยอยู่กลางอากาศ ต่อจากนั้นเขาก็ไม่พูดพร่ำใช้นิ้วจิ้มลงไปอย่างรวดเร็วหลายครั้ง
ลูกบอลแสงลอยหวือขึ้นมาแล้วเปล่งแสงจิตวิญญาณ เงาแผนที่ลอยออกมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างอย่างเชื่องช้า
หลิ่วหมิงทอดสายตามองไปก็เห็นว่าสิ่งที่วาดอยู่บนแผนที่คือภูมิประเทศของเทือกเขาหมื่นวิญญาณ บนนั้นระบุตำแหน่งทางเชื่อมมิติที่เหล่าแมลงแห่ออกมากับจุดที่พวกมันรวมตัวกันไว้อย่างชัดเจน
“จากที่ศิษย์นิกายเราสำรวจมาหลายด้าน ตอนนี้ทางเชื่อมมิติที่ใหญ่ที่สุดบริเวณเทือกเขาหมื่นวิญญาณอยู่ที่ยอดเขาแสงอัสดงทางตะวันตกของเทือกเขาหมื่นวิญญาณ พวกแมลงรวมตัวกันอยู่บริเวณนั้นมากที่สุด หลังจากผู้อาวุโสระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ทั้งหลายหารือกันจึงตัดสินใจว่าจะกำจัดแมลงทั้งหมดแถวยอดเขาแสงอัสดงในครั้งเดียว ขอเพียงกวาดล้างแมลงที่นี่ได้ก็เท่ากับตัดแกนกลางได้แล้ว เผ่าหนอนผีเสื้อในสถานที่อื่นก็คงก่อคลื่นลมไม่ได้อีก” เทียนเกอเจินเหรินเอ่ยเช่นนี้
หลิ่วหมิงพยักหน้าแต่ไม่ได้เอ่ยวาจา
“จำนวนแมลงที่รวมตัวอยู่ยอดเขาแสงอัสดงตอนนี้มีมากประมาณหลายล้านตัวแล้ว แม้จำนวนนี้สำหรับนิกายยอดบริสุทธิ์ของพวกเราไม่นับเป็นอันใด แต่ทางเชื่อมมิติตรงนั้นกว้างยิ่งนัก เพื่อป้องกันไม่ให้มีแมลงปรากฏตัวออกมาจากในนั้นกะทันหันอีก จำต้องให้เจ้าลักลอบเข้าไปบริเวณใกล้ๆ ก่อน จากนั้นเมื่อพวกเราเริ่มโจมตีกลับก็ใช้สมบัติที่ชักนำให้มิติปั่นป่วนชิ้นหนึ่งผนึกทางเชื่อมมิติแห่งนั้น” เทียนเกอเจินเหรินแววตาวูบไหวขณะที่เอ่ยออกมา
หลิ่วหมิงฟังจบก็ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แม้เขาเดาได้อยู่แล้วว่าภารกิจคงไม่ง่าย แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นภารกิจเช่นนี้
ตามที่เทียนเกอเจินเหรินพูด เขาต้องลักลอบเข้าไปใจกลางกองทัพเผ่าหนอนผีเสื้อ หลังจากนั้นรอโอกาสใช้สมบัติลับผนึกทางเชื่อมมิติ
นี่ไม่ใช่เรื่องอันตรายหรือไม่อันตรายแล้ว แต่เป็นการพลีชีพขนานแท้
จากข่าวที่เขาได้มาจากอินจิ่วหลิงตอนหลัง จุดที่เฟิงชิงผู้อาวุโสสูงสุดระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ของนิกายต้องถอยกลับมาก็คือยอดเขาแสงอัสดงแห่งนี้
“ท่านประมุข โปรดอภัยที่ศิษย์ล่วงเกิน จากที่ศิษย์ทราบมา ในทางเชื่อมมิติที่ยอดเขาแสงอัสดงมีแมลงระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์อยู่ คิดว่าแมลงระดับดาราพยาการณ์ที่อยู่ใกล้ๆ ก็คงไม่น้อย ศิษย์เป็นเพียงผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะเล็ดลอดเข้าไปใต้หนังตาของพวกมันได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใช้วิชาผนึกทางเชื่อมมิติ” หลิ่วหมิงได้แต่เอ่ยอ้อมๆ
“ในเมื่อนิกายมอบภารกิจนี้ให้แก่เจ้าย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าไปทั้งแบบนี้ นี่คือยันต์เร้นสวรรค์สิ้นเงา เป็นยันต์อำพรางที่ผู้อาวุโสระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ของนิกายเราทำขึ้นด้วยตนเอง เมื่อใช้ยันต์นี้ ขอเพียงไม่ใช่พลังเวท ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ก็ไม่อาจจับได้โดยง่าย อีกประการหนึ่งยันต์แผ่นนี้ยิ่งผู้ที่ใช้ระดับพลังไม่สูง อิทธิฤทธิ์ก็ยิ่งน่าทึ่ง หากเจ้าใช้สิ่งนี้ การเล็ดลอดเข้าไปในยอดเขาแสงอัสดงก็ไม่น่ายากแล้ว” เทียนเกอเจินเหรินโบกมือเรียกยันต์ที่ทอประกายสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นหนึ่งออกมา
หลิ่วหมิงฟังแล้ว สีหน้าจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
หากสิ่งนี้มีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้จริง ขอเพียงเขาระวังสักหน่อย ก็น่าจะมั่นใจกับการลักลอบเข้าไปในยอดเขาแสงอัสดงได้บ้าง
“เผ่าหนอนผีเสื้อไวต่อคลื่นพลังงานยิ่งนัก คลื่นวิชาเวทใดๆ ล้วนดึงความสนใจของพวกมันได้ หลังจากลักลอบเข้าไปแล้ว ได้แต่เดินเท้าผ่านการป้องกันของกองทัพเผ่าหนอนผีเสื้อเข้าไป สถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทางต้องอาศัยพลังกายเนื้อรีบสู้รีบจบ ไม่อาจใช้พลังเวทได้แม้แต่น้อย มิเช่นนั้นจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าน่าจะรู้” เทียนเกอเจินเหรินอธิบายสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งนัก
หลิ่วหมิงพยักหน้า ในเวลาเดียวกันก็เริ่มเข้าใจ มิน่านิกายจึงต้องหาผู้ที่พลังกายเนื้อแข็งแกร่งสักคนทำภารกิจนี้ให้ลุล่วง
“ส่วนเรื่องแมลงระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ เจ้าไม่ต้องกังวลใจ ทันทีที่เปิดศึก ผู้อาวุโสสูงสุดเสวียนอวี๋จะคิดหาวิธีล่อมันออกมาเอง เจ้าจงฉวยโอกาสใช้กระจกหุนเทียนบานนี้ผนึกทางเชื่อมเสียก็พอ” เทียนเกอเจินเหรินพลิกมือเรียกกระจกสีดำสนิทบานหนึ่งออกมามอบให้แก่หลิ่วหมิงพร้อมกับยันต์เร้นสวรรค์สิ้นเงาแผ่นนั้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ค้อมร่างยื่นสองมือออกไปรับ
ยันต์เร้นสวรรค์สิ้นเงาสัมผัสมือแล้วอุ่นร้อน มีอักขระที่ยากจะเข้าใจจำนวนหนึ่งทอแสงอยู่เป็นระยะ หลิ่วหมิงลองใช้จิตสัมผัสแทรกเข้าไปสำรวจก็สัมผัสถึงพลังจิตวิญญาณอันคลุมเครืออย่างที่สุดสายหนึ่งแฝงอยู่ด้านใน
กระจกหุนเทียนสมบัติอีกชิ้นหนึ่งดูเหมือนหน้าตาธรรมดา แต่ผิวกระจกกลับทอแสงเรืองๆ คล้ายคลื่นน้ำ
สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านบนนั้นแล้วผละออกทันที เขาสัมผัสได้อย่างฉับไวว่าในกระจกบรรจุพลังแห่งมิติอันบ้าคลั่งอย่างยิ่งสายหนึ่งเอาไว้
“ของสองสิ่งนี้เป็นสมบัติที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว โดยเฉพาะกระจกหุนเทียนกระตุ้นให้ทำงานได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ต้องจับจังหวะที่ใช้ให้ดี!” เทียนเกอเจินเหรินเห็นหลิ่วหมิงเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ยเสียงเข้ม
“ขอรับ ศิษย์เข้าใจแล้ว” หลิ่วหมิงเก็บสมบัติทั้งสองชิ้นเข้าไปในแหวนย่อส่วนแล้วเอ่ยอย่างหนักแน่น
“ดี ตอนนี้ข้าจะถ่ายทอดวิธีกระตุ้นการทำงานให้ เจ้าลองหลายครั้งหน่อยให้เข้าใจ ครึ่งเดือนหลังจากนี้พวกเราจะเริ่มเคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการ…” เทียนเกอเจินเหรินพยักหน้า จากนั้นบอกวิธีกระตุ้นกระจกหุนเทียนให้แก่หลิ่วหมิงอย่างละเอียดและอย่างไม่เหนื่อยหน่าย
ต่อจากนั้นเขาก็บอกข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าหนอนผีเสื้ออีกจำนวนหนึ่ง แล้วมอบของที่มีประโยชน์ระหว่างทางให้หลิ่วหมิงอีกหลายชิ้น จากนั้นจึงส่งหลิ่วหมิงออกจากห้องลับ
……
ครึ่งเดือนหลังจากนั้น บนเทือกเขาแห่งหนึ่งห่างจากนิกายยอดบริสุทธิ์หลายร้อยลี้
ที่แห่งนี้สมควรเป็นป่าไม้เขียวขจีผืนหนึ่ง แต่เวลานี้กลับหลงเหลือต้นไม้เพียงไม่กี่ต้นเพราะการต่อสู้ก่อนหน้า ทอดสายตามองไปมีหลุมใหญ่ยักษ์ที่เกิดจากอาวุธเวทเพิ่มขึ้นมามากมาย
ไกลออกไปมีควันดำหลายสายลอยขึ้นมาเป็นระยะคล้ายกับกำลังบอกว่าที่แห่งนี้เพิ่งเกิดศึกขนาดไม่เล็กครั้งหนึ่ง
ใต้ร่มไม้ เงาคนสีดำร่างหนึ่งพุ่งออกมา เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
เวลานี้หลิ่วหมิงซุ่มซ่อนดุจเสือดำ มองยอดเขาสีเทาขมุกขมัวลูกหนึ่งที่อยู่ไกลจากที่นี่
ตรงนั้นคือยอดเขาแสงอัสดง ภูเขาทั้งลูกถูกไอหมอกสีเทาล้อมเป็นวง
จุดที่เขาอยู่ตรงนี้คือขอบรอบนอกที่กองทัพใหญ่เผ่าหนอนผีเสื้อรวมตัวกันอยู่
ตั้งแต่ครึ่งวันก่อนหน้านี้ ศิษย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์ทยอยรวมตัวกันตามจุดต่างๆ ใกล้กับยอดเขาแสงอัสดงภายใต้การนำของเทียนเกอเจินเหรินจนตอนนี้มีมากหลายพันคน และเปิดศึกขนาดย่อมกับเผ่าหนอนผีเสื้อไปแล้วหลายครั้งติดกัน
หลิ่วหมิงรู้กระจ่างแก่ใจว่าตอนนี้เทียนเกอเจินเหรินกำลังดึงความสนใจของกองทัพเผ่าหนอนผีเสื้อเพื่อให้ตนลอบเข้าไปได้สะดวก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลิ่วหมิงพลันอ้าปากท่องมนตร์ หัวไหล่ซ้ายเปล่งแสงสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่า แผ่ขยายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ไม่นานทั้งร่างของเขาก็กลายเป็นเงาพร่าเลือนมุ่งไปทางยอดเขาแสงอัสดงอย่างเงียบเชียบ
บริเวณรอบนอกของกองทัพเผ่าหนอนผีเสื้อ หลิ่วหมิงยังไม่คิดจะใช้ยันต์เร้นสวรรค์สิ้นเงา อาศัยพลังเร้นกายของภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนก็เพียงพอหลบซ่อนจากเผ่าหนอนผีเสื้อระดับล่างรอบนอกแล้ว
แม้ยันต์เร้นสวรรค์สิ้นเงาจะยอดเยี่ยม แต่ยันต์แผ่นนี้มีเวลาจำกัด จากที่เทียนเกอเจินเหรินบอกไว้ ยันต์แผ่นนี้มีฤทธิ์ได้อย่างมากที่สุดหนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้น
ภารกิจลอบเข้าแดนศัตรูครั้งนี้ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร ดังนั้นหากไม่จำเป็นจริงๆ เขาจะไม่ใช้ไพ่ตายอย่างยันต์เร้นสวรรค์สิ้นเงาแผ่นนี้ง่ายๆ
หลิ่วหมิงกลายเป็นเงาดำมืด ใช้ประโยชน์จากสิ่งบดบังสายตาต่างๆ บนเทือกเขาวิ่งทะยานมุ่งไปไกลอย่างรวดเร็ว
เขาซ่อนพลังเวททั้งหมดในร่างเอาไว้ อาศัยเพียงกายเนื้ออันแข็งแกร่งเร่งเดินทางไปยังเขตเป้าหมาย
การเดินทางด้วยพลังกายเพียงลำพัง ความเร็วย่อมเร็วได้ไม่ถึงไหน หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้นเพิ่งคืบหน้าไปได้ร้อยกว่าลี้
ในตอนนี้เองสียงคำรามทุ้มต่ำก็ดังขึ้นมาจากด้านหน้าแทรกสลับกับเสียงบดเคี้ยว
หลิ่วหมิงคุ้นเคยกับเสียงนี้ยิ่งนัก หัวคิ้วขมวด ร่างกายขยับหลบไปหลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งทันที โผล่มาเพียงสายตามองไปด้านหน้า
แล้วเขาก็เห็นแมลงเผ่าหนอนผีเสื้อสีดำยี่สิบกว่าตัวด้านหน้ากำลังกัดกินแมลงที่บาดเจ็บจำนวนหนึ่งอยู่ แมลงเปลือกดำตัวหนึ่งในนั้นลำตัวยาวถึงเจ็ดแปดจั้ง ลมปราณบรรลุถึงระดับผลึกขั้นสมบูรณ์แบบ และระหว่างที่กินไม่หยุด ลมปราณก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
สายตาของหลิ่วหมิงทอประกายวูบหนึ่ง ร่างกายขยับหมายจะอ้อมทาง ทว่าหลังจากร่างกายขยับได้เพียงนิดเดียวก็หยุดกะทันหัน
ตลอดทางที่ผ่านมาเขาพบเผ่าหนอนผีเสื้อมาไม่น้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแมลงระดับล่าง พวกมันจึงไม่อาจจับสังเกตร่องรอยของเขาได้
ทว่าเผ่าหนอนผีเสื้อระดับแก่นแท้จะมองทะลุพลังเร้นกายของภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนได้หรือไม่ หลิ่วหมิงไม่เคยลองทดสอบมาก่อน
ตอนนี้อาจเป็นโอกาส
ที่ตรงนี้ยังเป็นขอบรอบนอกของกองทัพเผ่าหนอนผีเสื้อ ต่อให้ร่องรอยถูกเปิดเผยที่นี่ เขาก็หนีได้ง่ายดายยิ่งนัก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลิ่วหมิงจึงซุ่มซ่อนอยู่ด้านหลังก้อนหินใหญ่ต่อ
แมลงเปลือกสีดำตัวนั้นขย้ำแมลงที่บาดเจ็บตัวหนึ่งตายในคำเดียว แล้วอ้าปากที่เต็มไปด้วยฟันคมกริบกลืนแมลงตัวนี้ลงไปทั้งตัว
ฉับพลันผิวของแมลงเปลือกดำก็เปล่งแสงสีดำ ลมปราณอันแข็งแกร่งสายหนึ่งแผ่ขยายออกมา มันบรรลุระดับแก่นแท้แล้ว
“กี๊ซ…” แมลงเปลือกดำคำรามเบาๆ ครั้งหนึ่ง แมลงตัวอื่นที่กำลังกัดกินอยู่รอบด้านถอยห่างทันที ขณะที่มองแมลงเปลือกดำตัวนี้ด้วยความยำเกรง
แมลงเปลือกดำกรีดร้องอย่างย่ามใจเหมือนค่อนข้างพึงพอใจกับเรื่องนี้ มันกัดกินแมลงที่บาดเจ็บตรงที่นั้นทีละตัวอย่างสบายอารมณ์
เมื่อแมลงที่บาดเจ็บตัวสุดท้ายเข้าไปในอยู่ในท้องของแมลงเปลือกดำ ร่างกายของแมลงเปลือกดำก็ส่ายสะบัดทำท่าจะเหาะไปทางยอดเขาแสงอัสดง
ในตอนนี้เองเสียงตุ๊บแผ่วเบาก็ดังขึ้น เหมือนเสียงก้อนหินก้อนหนึ่งร่วงลงพื้น