ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 115 หุบเหว
ชายหนุ่มผู้นี้ตาโตคิ้วแดง พอเขาปรากฏตัวออกมาอักขระสีแดงจำนวนมากก็ปรากฏออกมาบนผิวหนังเขา ดูเหมือนอุณหภูมิบริเวณรอบๆ นั้นก็สูงขึ้นมาด้วยเล็กน้อย
ชายหนุ่มหยิบหยิบยันต์สีฟ้าอ่อนผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้ออย่างไม่รีบร้อน พอเขาสะบัดข้อมือยันต์ผืนนั้นก็หายไปในทันที
ครู่ต่อมา อากาศเหนือใจกลางพุ่มไม้หนามก็สั่นไหวขึ้นมา อักขระสีฟ้าอ่อนที่ไม่ทราบชื่อตัวหนึ่งได้ปรากฏออกมาบนนั้น จากนั้นก็บังเกิดเสียงดัง “ฟู่!” อักขระแตกกระจายออกมากลายเป็นม่านแสงสีฟ้าปกคลุมหญ้าโลหิตไว้
จากนั้นชายหนุ่มก็หยิบพัดใบลานที่เสียบอยู่ตรงเองออกมาอย่างไม่รีบร้อน พร้อมกับร่ายคาถาออกมา
หลังเกิดเสียงดัง “หวึ่งๆ!” พัดใบลานก็เปล่งประกายแสงออกมา ขณะเดียวกันอักขระสีแดงแต่ละตัวก็ลอยออกมาจากในนั้น และลอยวนพัดใบลานอยู่ไม่หยุด
ผ่านไปสักพัก พัดทั้งด้ามก็แผ่อุณหภูมิความร้อนสูงที่ทำให้รู้สึกหายใจอึดอัดออกมา
แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอุณหภูมิของพัดในมือ แต่กลับโบกพัดใส่กิ่งหนามเบาๆ
เสียงดัง “ฟู่!”
เปลวเพลิงม้วนตัวออกจากพัดใบลานไป และกลายเป็นทะเลเพลิงห่อหุ้มพื้นที่บริเวณนั้นไว้
ชั่วพริบตานั้นเอง กิ่งหนามทั้งหมดก็โบกสะบัดไปมาท่ามกลางเปลวเพลิงอย่างบ้าคลั่ง แต่เปลวไฟอันคุโชนเช่นนี้ทำให้มันกลายเป็นขี้เถ้าภายในเวลาไม่กี่อึดใจ
ท่ามกลางทะเลเพลิงมีแค่หญ้าโลหิตที่ถูกม่านแสงสีฟ้าปกคลุมไว้เท่านั้นที่ไม่ได้รับอันตรายใดๆ
เมื่อทะเลเพลิงดับมอดไปจนหมดสิ้นแล้ว ชายหนุ่มก็ค่อยๆ เดินเหยียบพื้นไหม้ๆ สีดำเข้าไปยังม่านแสงสีฟ้าที่ปกคลุมอยู่
……
ในขณะเดียวกันในพื้นที่อีกส่วนหนึ่งของป่า ศิษย์หญิงสาวใบหน้างดงามที่เป็นศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ผู้หนึ่ง กำลังกระตุ้นพลังเวทย์เข้าใส่กระบี่ยาวแวววาวเพื่อต่อสู้กับอสรพิษยักษ์สีแดงดำที่มีขนาดยาวเจ็ดถึงแปดจั้ง
ทันทีที่นางแผดเสียงยาวออกมา กระบี่ยาวในมือก็เคลื่อนไหวกลายเป็นวงล้อสีเงิน
หลังจากที่ร่างของนางได้เคลื่อนไหวต่อสู้กับอสรพิษแล้ว หัวอสรพิษขนาดใหญ่ก็ถูกตัดขาดลงมาท่ามกลางแสงสีเลือด
ตอนนี้ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ถึงได้ม้วนตัวตีลังกาลงบนกิ่งไม้อย่างมั่นคง นางจ้องดูร่างอสรพิษยักษ์ที่กระตุกอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง แล้วก็นำกระบี่ยาวเก็บเข้าฝักที่สะพายไว้อยู่ด้านหลังด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก จากนั้นก็หมุนตัวล่องลอยจากไป
……
บริเวณทุ่งหญ้าที่อยู่ลึกเข้าไป ศิษย์นิกายเอกะชายหญิงสองคนที่มีใบหน้าคล้ายๆ กันกำลังจับมือกันค่อยๆ เดินไปในท่ามกลางฝูงหมาป่าขนาดใหญ่
ฝูงหมาป่าราวๆ พันตัว แต่ละตัวมีขนาดเท่าลูกวัว คมเขี้ยวของโผล่ออกมาจากปาก แต่พวกมันกลับเมินเฉยต่อชายหญิงทั้งคู่ที่เดินผ่านพวกเขาไป ราวกับพวกเขาไม่ได้อยู่ในสถานที่แห่งนั้น
ครู่ต่อมา ศิษย์ชายหญิงนิกายเอกะทั้งสองก็เดินผ่านฝูงหมาป่าไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นจุดสีดำสองจุดแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
……
พื้นที่ใต้ดินลึกที่อยู่ห่างจากทุ่งหญ้าไปไม่ไกล มีถ้ำที่มีผลึกหินจิตวิญญาณส่องแสงสว่างอยู่ไปทั่วพื้นผนัง หุ่นพยัคฆ์สองตัวที่ชำรุดเสียหายกองอยู่บนพื้น และอสูรดุร้ายที่ดูคล้ายหนอนดูดเลือดก็ถูกฉีกขาดจนแหลกละเอียดอยู่บนพื้นเช่นเดียวกัน และยังมีศพที่เหมือนจะถูกย่อส่วนให้มีขนาดเล็กกว่าคนสองเท่าแห้งเปื่อยอยู่ด้วย
ศพนี้สวมชุดคลุมสีฟ้าธรรมดา บนหน้าผากมีรูขนาดเท่ากำปั้นหนึ่งรู แต่ไม่มีเลือดไหลออกมาจากในนั้น
……
เจ็ดวันผ่านไป หลิ่วหมิงยืนอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งตรงชายป่า เขาเขม้นตามองออกไปไกลๆ
พื้นที่ของป่าแห่งนี้กว้างกว่าที่เขาคิดไว้มาก หลังจากเดินทางยากลำบากมาหลายวัน ในที่สุดก็สามารถเดินออกมาได้ แต่พอเห็นเห็นทิวทัศน์แปลกประหลาดที่ไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นอย่างชัดเจนแล้ว เขาก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
หุบเหวที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสองฝั่ง
ฝั่งหนึ่งมีแสงแดดแผดเผา อีกฝั่งเป็นธารน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยพายุหิมะที่ตกเต็มท้องฟ้า
ถึงแม้หลิ่วหมิงจะมีท่าทีที่สงบ แต่พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกสะดุ้งขึ้นมา
เขาเบิ่งตามองจากที่ไกลๆ กลับค้นพบว่าโลกทางด้านที่มีหิมะนั้น ถึงแม้จะมองเห็นได้ไม่ชัดเจนเพราะมีพายุหิมะที่พัดกระหน่ำ แต่ยังคงมองเห็นยอดเขายักษ์สูงเสียดฟ้าที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพายุหิมะนั้น
หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดก็ตามที่มียอดเขา ที่นั่นก็จะมีพลังปราณที่เข้มข้น และก็เป็นสถานที่ที่วัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินสามารถเติบโตได้ง่าย
ยอดเขาที่ซ่อนอยู่หลังพายุมีขนาดใหญ่เช่นนี้ มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่มันจะเป็นศูนย์กลางของแดนลึกลับ ขอเพียงแค่เข้าไปในเขานี้ได้ก็ไม่จำเป็นต้องไปค้นหาทรัพยากรจากสถานที่อื่นๆ แล้ว
อีกอย่างแดนลึกลับกว้างใหญ่เช่นนี้ ทั้งยังมีเวลาค้นหาที่จำกัด ต่อให้เขาอยากจะไปค้นหาที่อื่นๆ ก็ใช่ว่าจะมีโอกาสมากนัก
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ เมื่อสอดส่องสายตามองดูซ้ายขวาไม่พบร่องรอยของคนอื่นๆ แล้ว เขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวเรียกเมฆเทาออกมา และเหาะต่ำๆ ไปยังหุบเหวที่อยู่ไกลๆ
ผ่านไปไม่นาน เขาก็เข้ามาใกล้บริเวณหุบเหวแล้ว ตอนที่เขาถือโอกาสจะเหาะข้ามหุบเหวไปนั้น พลันรู้สึกขนลุกขนพองโดยไม่มีสาเหตุจนสีหน้าเขาเปลี่ยนไปในทันที เขาหยุดชะงัก และพุ่งถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว
เมื่อเขาถอยมาได้ไกลสิบกว่าจั้ง ถึงกลับมาทรงตัวได้อย่างมั่นคงด้วยสีหน้าขาวซีด
ลางสังหรณ์อันรุนแรงนี้เหมือนกับตอนที่เขาอยู่บนเกาะมฤตยู และยังฝึกเคล็ดวิชาไม่สำเร็จ ซึ่งได้เผชิญหน้ากับคนชั่วร้ายคนหนึ่งที่เขาไม่สามารถเอาชนะได้ และความรู้สึกที่โดนจับจ้องนี้ดูเหมือนจะเหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิด
ตอนนั้นถ้าไม่ใช่ว่าท่านอาเฉียนเข้าช่วยไว้ เกรงว่าเขาคงจะถูกคนชั่วร้ายคนนั้นฉีกออกเป็นชิ้นๆ แล้ว
หลิ่วหมิงค่อยๆ ร่อนลงด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา ความรู้สึกถึงอันตรายที่อยู่ในใจตอนนี้ค่อยๆ หายไป
ตาของเขาค่อยๆ เปล่งประกายขึ้นมา เขาเดินไปข้างหน้าไม่กี่จั้งด้วยความลังเลเล็กน้อย และกวาดสายตาจ้องมองด้านล่างของหุบเหวที่อยู่ตรงข้ามอยู่ครู่หนึ่ง
หุบเหวกว้างประมาณสามสิบถึงสี่สิบจั้ง ด้านล่างที่ลึกลงไปเจ็ดสิบถึงแปดสิบจั้งล้วนเต็มไปด้วยหมอกหนาสีขาวเทา ทำให้มองเห็นไม่ชัดว่ามีอะไรอยู่ด้านล่าง
สิ่งนี้ทำให้คิ้วหลิ่วหมิงขมวดขึ้นมา แต่หลังจากที่กวาดสายตามองพื้นดินบริเวณนี้แล้วก็ก้มลงหยิบกิ่งไม้แห้งขึ้นมาท่อนหนึ่ง
เขาใช้มือข้างหนึ่งชั่งน้ำหนักของมันเบาๆ หลังจากรับรู้ถึงน้ำหนักของมันแล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปหนึ่งเฮือก แขนของเขาขยายใหญ่ขึ้นมาในทันที และขว้างกิ่งไม้ในมือไปยังหุบเหวตรงข้ามอย่างรุนแรง
เสียงดัง “ฟิ้ว!”
กิ่งไม้แห้งพุ่งออกไปราวกับลูกธนู แต่พอพ้นจากขอบเหวไปสามสี่จั้งก็หยุดชะงักและตกลงไปข้างล่างทันที เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา เขายกก้อนหินขนาดใหญ่เท่าศีรษะที่อยู่บริเวณนั้นขึ้นมาก้อนหนึ่งอย่างไม่ลังเล หลังจากหมุนตัวอย่างรวดเร็วก็ออกแรงที่แขนทั้งสองแล้วโยนออกไปทันที แต่ครั้งนี้ก้อนหินลอยออกไปได้ไกลเจ็ดแปดจั้ง แล้วก็หล่นร่วงลงไปเช่นกัน ราวกับว่ามันมีพลังบางอย่างดึงมันลงไปด้านล่าง
“แรงโน้มถ่วงตามธรรมชาติ!”
ในที่สุดหลิ่วหมิงก็หาสาเหตุได้พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน
ถ้าหากเขามีปฏิกิริยาตอบสนองช้ากว่านี้หน่อยล่ะก็ เกรงว่าคงจะถูกแรงโน้มถ่วงดึงดูดลงไปในหุบเหวลึกเหมือนกับกิ่งไม้แห้งและหินก้อนนั้นแล้ว
ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ใต้ไอหมอกเหล่านั้น แต่คิดว่ามันคงไม่ใช่สิ่งที่ดีอย่างแน่นอน
และถึงแม้ผนึกกำจัดที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาเองนี้จะพบเจอได้น้อยมาก แต่มันก็อันตรายกว่าผนึกจำกัดทั่วไปมาก
ศิษย์จิตวิญญาณอย่างเขาไม่สามารถต้านทานแรงโน้มถ่วงนี้และเหาะข้ามไปได้
แต่จะให้เขาละทิ้งการค้นหาบนเขาที่เต็มไปด้วยของล้ำค่าที่อยู่ไม่ไกลก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงจึงรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ดูเหมือนนอกจากจะมีสะพานหินที่ทอดยาวไปทางฝั่งนั้น ถึงจะพอจะมีโอกาสบ้าง
พอหลิ่วหมิงนึกถึงคำว่า ‘สะพานหิน’ ก็ใจเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เขามองดูซ้ายขวาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขี่เมฆเหาะไปตามขอบหุบเหวในทันที
สองชั่วยามผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงมองเห็นกลุ่มเสาหินที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางหุบเหว เขาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
เสาหินเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ แต่ยังเรียงกันอยู่อย่างหนาแน่น ระยะห่างระหว่างพวกมันห่างกันมากสุดไม่ถึงสองสามจั้ง ใกล้สุดก็แค่สามถึงสี่ฉื่อเท่านั้น
หลิ่วหมิงหาเส้นทางจากเสาเหล่านี้อยู่รอบหนึ่ง ในที่สุดก็หาเส้นทางที่เหมาะสมได้ เขารีบสะบัดแขนเสื้อออกไปอย่างไม่ลังเลพร้อมกับโซ่สีดำที่ดีดตัวออก หลังจากที่มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก็พันปลายเสาหินต้นหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปสองจั้งไว้อย่างอย่างแน่นหนา
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนพื้นอย่างรุนแรง ร่างของเขาก็พุ่งเข้าไปยังเสาหินต้นนั้น
เสียงดัง “ฟุ่บ!” พอเขาห่างออกมาจากขอบหุบเหวจั้งกว่าๆ ก็รู้สึกถึงความหนักอึ้งของร่างกาย และร่วงลงไปยังด้านล่าง
แต่หลิ่วหมิงออกแรงดึงโซ่สีดำอย่างรวดเร็ว ร่างของเขายังคงเหาะไปยังด้านหน้า แสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา กระบี่สั้นสีเขียวแทงเข้าไปยังพื้นด้านหนึ่งของเสาหิน และทำให้ร่างของเขาแนบติดอยู่ที่นั่น
ตอนนี้เขารู้สึกว่าร่างของเขาหนักจนยากจะหาที่เปรียบได้ การเคลื่อนไหวทุกท่วงท่าล้วนเชื่องช้าเป็นอย่างมาก ราวกับว่ามีแรงหนักพันชั่งดึงเขาร่างอยู่
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะมีร่างที่แข็งแกร่งกว่าศิษย์ทั่วไปมาก แต่ก็ยังคงรู้สึกหมดพลังไปไม่น้อย
แต่ครู่ต่อมา พอเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เส้นเลือดเขียวก็ปรากฏออกมาบนหน้าผากในทันที แขนขาทั้งสี่ขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกัน พลังอีกรูปแบบพุ่งออกมาจากตัว
หลิ่วหมิงดึงกระบี่สั้นสีเขียวออกมา แล้วจับโซ่ดำค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนปลายเสาหิน
เมื่อเขาบังคับร่างให้มั่นคงได้แล้วก็สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง โซ่ดำคลายตัวออกมาจากเสาหินแล้วพุ่งไปพันเสาหินอีกต้นในทันที
หลิ่วหมิงคำรามเสียงต่ำออกมา แล้วกระโดดไปยังเสาอีกต้น
……
อีกด้านหนึ่ง ของหุบเหวที่ไม่รู้อยู่ห่างไปไกลเท่าไหร่ มีเสาหินขนาดใหญ่ต้นหนึ่งพาดขอบหุบเหวไว้อย่างไม่น่าเชื่อ
เกาชงกำลังกำมือทั้งสองเดินอยู่บนนั้นพร้อมกับไอโลหิตที่พวยพุ่งออกมาทั่วตัว ทุกย่างก้าวของเขาทำให้เสาหินด้านล่างเกิดการสั่นไหว
ถึงแม้ลมหายใจของเขาจะค่อยๆ ถี่ขึ้น แต่ก็ยังคงก้าวไปเดินไปทีละก้าว
……
ตรงขอบหุบเหว ศิษย์หญิงที่สวมชุดนิกายจันทราสวรรค์ผู้หนึ่งกำลังยืนเหยียบเมฆเทาที่ลอยอยู่บนอากาศ
หลังจากที่นางจ้องมองหุบเหวตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก็กระบัดข้อมือโยนกระต่ายยักษ์สีเทาในมือไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างรุนแรง
พอกระต่ายยักษ์ลอยไปไม่กี่จั้ง ก็หล่นลงไปในหุบเหวลึกด้วยความหวาดกลัว
เมื่อนางเห็นเช่นนี้แล้ว หางคิ้วก็กระตุกเล็กน้อย บังเกิดความลังเลบนสีหน้าคล้ายกับนางกำลังคิดวางแผนอะไรอยู่
ครู่ต่อมา ดวงตาของศิษย์หญิงนิกายจันทราสวรรค์ผู้นี้ก็เปล่งประกายขึ้นมา ทันนั้นใดนั้นนางได้ดึงกระบี่หิมะขาวที่สะพายอยู่ด้านหลังออกมาถือไว้ข้างหน้าในแนวขวาง ปราณกระบี่อันน่าตื่นตะลึงได้พุ่งออกมาจากตัวกระบี่ในทันที
……………………………………….