ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 116 เถี่ยเยวี่ย
หลังจากที่หญิงนางนี้ส่งเสียงออกมา ปราณกระบี่ที่ทะยานขึ้นฟ้าก็หมุนวนหนึ่งรอบแล้วพุ่งเข้ามาในกระบี่บนมือของนาง จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ศิษย์นิกายปีศาจสะบัดกระบี่หิมะขาวอย่างรุนแรง หลังจากที่เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนพื้นนางก็กลายเป็นแสงเย็นสะท้านที่ยาวจั้งกว่าๆ พุ่งไปยังฝั่งตรงข้ามด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
ถ้าหากมีคนเห็นฉากนี้จะต้องตกใจจนต้องร้องออกมาอย่างแน่นอน
สิ่งนี้คือร่างฝึกกระบี่ที่ฝึกจนถึงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณแล้วถึงจะสามารถใช้วิชากระบี่รวมร่างเข้าด้วยกันได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ร่างฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์เพียงเล็กน้อยต่อให้ฝึกฝนจนถึงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณก็ยังไม่สามารถแสดงความสามารถเช่นนี้ออกมาได้ ก็เหมือนกับหญิงแซ่อวี๋ที่เสียชีวิตด้วยฝีมือของมังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณตนนั้น ถึงแม้ในมือจะถืออาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ระดับการฝึกฝนก็สูงกว่าศิษย์หญิงผู้นี้เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถแสดงความสามารถเช่นนี้ออกมาได้
และวิชานี้เป็นการนำพลังเวทย์ทั้งหมดที่มีถ่ายเทลงไปในกระบี่เพื่อใช้ในการฟาดฟันศัตรูที่แข็งแกร่ง ตอนนี้กลับนำมาใช้เหาะข้ามหุบเหว นับว่าใช้ความสามารถไม่เหมาะกับงานเลย
ถึงแม้แรงโน้มถ่วงในหุบเหวนั้นจะมีพลังที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อแสงกระบี่อันเย็นสะท้านกะพริบผ่านไปก็มีเสียงกระบี่ปะทะกับแรงโน้มถ่วงดัง “เปรี๊ยะๆ!” หลังจากที่ข้ามหุบเหวไปได้แสงเย็นสะท้านก็หายไป ร่างของศิษย์หญิงนิกายจันทราสวรรค์ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ใบหน้างดงามของหญิงที่มีลักษณะห้าวหาญนางนี้ค่อยๆ ดูขาวซีดขึ้นมา ประจักษ์ชัดแจ้งว่าเมื่อครู่นางใช้พลังเวทย์ไปไม่น้อย แต่หลังจากที่หันมาดูหุบเหวอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็นำกระบี่ใส่ฝักที่สะพายอยู่ข้างหลังด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินไปยังพื้นที่ที่มีพายุหิมะ
……
บนอากาศอีกด้านหนึ่งของหุบเหว ชายสวมชุดคลุมสีเลือดกำลังค่อยๆ เดินอยู่บนอากาศ ทุกย่างก้าวของเขาจะมีแสงสีเลือดเปล่งประกายขึ้นมาบนร่าง ขณะเดียวกันก็มีดอกบัวสีเลือดแต่ละดอกออกมารองรับเท้าของเขาไว้
ดอกบัวสีเลือดแต่ละดอกค่อยๆ เกิดขึ้น แล้วก็แตกกระจายไป ชายชุดคลุมสีเลือดเดินไปยังฝั่งหุบเหวฝั่งตรงข้ามโดยไม่คิดที่จะหยุดเลยแม้แต่น้อย พอเขาเงยหน้าขึ้นมองก็เผยให้เห็นใบหน้าทระนงองอาจของชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าปี
ดวงตาทั้งคู่จ้องมองยอดเขายักย์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพายุหิมะด้วยสายตาอันเร่าร้อน
……
เสียงดัง “ฟู่!”
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าแรงโน้มถ่วงบนตัวหายไปในฉับพลัน เขารีบดึงโซ่สีดำในมือด้วยความดีใจแล้วก็ดีดตัวกระโดดออกไปราวกับคันธนูในระยะทางหนึ่งจั้งสุดท้าย จนมาปรากฏตัวบนเนินหินสีดำที่ถูกโซ่สีดำรัดไว้จนแน่น
เขาหันหน้ากลับไปดูหุบเหวตรงด้านหลัง ความรู้สึกที่ปวดร้าวไปทั้งตัวทำให้เขาเบะปากหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็เก็บโซ่ดำและหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับก้าวยาวไปยังด้านหน้า
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เขาก็มาถึงขอบเขตบริเวณรอบพายุหิมะ เขากัดฟันก่อนที่จะเดินเข้าไปในนั้น
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีพายุหิมะพัดปะทะบนใบหน้าเขา หลิ่วหมิงสะดุ้งขึ้นมาในทันที เขารู้สึกราวกับว่าถูกแช่แข็งไปทั้งตัว
ภายใต้สีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวอย่างไม่ลังเล ไอดำพวยพุ่งออกมาจากร่างเขาในทันที และปกคลุมร่างของเขาไว้อย่างแน่นหนา ขณะเดียวกันพลังเวทย์ตรงทะเลจิตวิญญาณก็พรั่งพรูออกมาขับไล่ความเย็นออกไปจนหมด และยังเคลื่อนไหวไปตามเส้นชีพต่างๆ อยู่ไม่หยุด ทำให้ร่างของเขายังคงรักษาอุณหภูมิเอาไว้ได้
หลิ่วหมิงค่อยๆ เดินหน้าต่อไปอย่างช้าๆ
สถานที่แห่งนี้พายุหิมะแรงกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก และท่ามกลางพายุหิมะยังมีลูกเห็บขนาดเท่ากำปั้นปนเปอยู่ด้วยตลอด มันตกใส่ด้านหลังของเขาเสียงดัง “เปาะ!” “แปะ!”
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขากระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำ และใช้วิชาคุ้มกันร่างทั้งหมดไว้ เกรงว่าลำพังแค่ลูกเห็บเหล่านี้ก็ตีหัวเขาจนเลือดตกยางออกได้ อย่าได้คิดที่จะเดินไปต่อได้เลย
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ทุกครั้งที่พายุหิมะพัดเข้ามาก็ยังคงทำให้เขารู้สึกหนาวเย็นไปถึงกระดูก ราวกับว่าโลหิตในร่างเกาะตัวกันจนเป็นน้ำแข็ง
สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้คือกระตุ้นพลังเวทย์ภายในร่างอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น
แต่ผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้ย่อมทำให้พลังเวทย์ของเขาสูญสิ้นไปอย่างรวดเร็ว
ดีที่ว่าขอบเขตของพายุหิมะนี้ไม่ค่อยกว้างเท่าใดนัก ถึงแม้เขาจะต้องก้าวเดินทีละก้าวโดยไม่สามารถใช้วิชาทะยานเวหาได้ก็ตาม แต่ก็เพียงแค่เดินต่อไปอีกสองสามลี้กว่าๆ ก็สามารถเกินออกมาจากพายุหิมะได้ในทันที
หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวออกมา และหยุดไอสีดำที่ออกจากร่างเขา จากนั้นก็มองไปยังยอดเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า แต่เขาต้องเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ยอดเขาตรงหน้าแลดูแปลกประหลาดไปหน่อย! ดูจากด้านล่างของยอดเขานอกจากจะมีขนาดใหญ่แล้วอย่างอื่นก็ดูปกติ แต่ด้านบนของยอดเขานั้นแบ่งออกเป็นยอดเขาแหลมเล็กขนาดต่างๆ จำนวนห้าลูก
มองออกไปไกลๆ ดูคล้ายกับฝ่ามือยักษ์ที่ชูขึ้นฟ้า
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น ท่ามกลางพายุหิมะที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง เงาร่างมนุษย์ร่างหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเยือกเย็น
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบถอยหลังไปสองก้าวแล้วมองออกไป
เงาร่างมนุษย์ยักษ์นั้น แท้จริงแล้วมันคือหุ่นวานรยักษ์ที่สูงสามจั้ง มันมีสีดำตลอดทั้งตัวราวกับว่าสร้างมาจากเหล็กบริสุทธิ์
“ศิษย์หุบเขาเก้าช่อง!”
หลิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนิกายปีศาจกับหุบเขาเก้าช่องก็ได้ทำความร่วมมือกันไว้แล้ว
แต่พอเขากวาดสายตามองซ้ายมองขวาแล้วก็เกิดความประหลาดใจและรู้สึกฉงนเล็กน้อย
พื้นที่บริเวณที่หุ่นวานรยักษ์ยืนอยู่นั้นว่างเปล่าไม่มีเงาร่างของบุคคลอื่นเลย
เฮ่อๆ! ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องนิกายปีศาจ ศิษย์น้องอายุยังเยาว์เช่นนี้ก็สามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัยได้นับว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากตัวหุ่นวานรยักษ์
“ท่านคือ…”
แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขาส่งสายตามองไปบนตัวของวานรยักษ์
“อ้อ! ศิษย์น้องเพิ่งจะเคยเห็นหุ่นขนาดใหญ่เช่นนี้ล่ะสิ! ข้าจะออกไปเจอศิษย์น้องสักหน่อยแล้วกัน!”
หลังจากพูดจบก็แสงสีขาวเปล่งประกายขึ้นตรงท้องของวานรยักษ์ จากนั้นก็มีประตูเล็กๆ สูงเท่าครึ่งตัวมนุษย์โผล่ออกมา ชายหนุ่มชุดคลุมสีฟ้าโค้งตัวมุดออกมาจากในนั้น ใบหน้ากลมๆ ยิ้มตาหยีๆ ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกประทับใจ
“ข้าเถี่ยเยวี่ย ทำให้ศิษย์น้องขบขันแล้ว” พอชายหน้ากลมเดินออกมาก็ทักทายหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็คือพี่เถี่ย ข้าน้อยไป๋ชงเทียน” หลิ่วตาเป็นประกายแล้วก็ยกมือขึ้นคารวะ
“ไป๋ชงเทียน…เจ้าคือศิษย์นิกายปีศาจที่เอาชนะศิษย์น้องจินอวี่ได้! ฮ่าๆ! ช่างบังเอิญจริงๆ” ตอนแรกเถี่ยเยวี่ยรู้สึกตะลึง แต่ครู่เดียวก็หัวเราะออกมา
“อ้อ! พี่เถี่ยรู้จักข้าด้วยหรือ?” หลิ่วหมิงมีสีหน้าแปลกใจ
“เฮ่อๆ! ศิษย์น้องจินอวี่เป็นคนหยิ่งยโส เขาเป็นหนึ่งในพันคนที่มีพรสวรรค์ในการใช้วิชาควบคุมที่หาได้ยากยิ่ง แต่ตั้งแต่เขาพ่ายแพ้ให้กับเจ้าก็ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งมากกว่าเดิม และยังประกาศว่าจะต้องเอาชนะศิษย์น้องไป๋ให้ได้” เถี่ยเยวี่ยกล่าวออกมา จากนั้นก็สังเกตดูหลิ่วหมิงราวกับว่าหลิ่วหมิงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่หายากยิ่ง
“เรื่องครั้งก่อนนั้นข้าแค่โชคดีเท่านั้น ถ้าลงมืออีกครั้งล่ะก็จะเอาชนะได้อย่างไร ว่าแต่หุ่นของพี่เถี่ยตัวนี้ดูพิสดารมาก!” หลิ่วหมิงได้ยินก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“แน่นอน! หุ่นที่สามารถจุคนไว้ในนั้นได้ก็เป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยมากในนิกายของเรา แต่หุ่นชนิดนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มันใช้ได้ดีสำหรับการเดินทางหรือฝ่าเขตแดนที่อันตรายดังเช่นเมื่อครู่ที่ผ่านมา แต่ถ้าใช้ต่อสู้ล่ะก็ ก็เป็นได้แค่เป้าให้คนคนอื่นโจมตีเท่านั้น เพราะว่าตัวมันใหญ่เกินไปหน่อย” เถี่ยเยวี่ยอธิบายเล็กน้อยแล้วก็ถอนหายใจออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! แต่ในเมื่อพี่เถี่ยมาถึงที่นี่แล้ว ไม่ทราบว่าพี่มีแผนการอย่างไรบ้าง?” หลิ่วหมิงพยักหน้าถามออกไปโดยไม่เผยความผิดปกติใดๆ ออกมา
“นี่ยังจะต้องพูดอีกหรือ? ในเมื่อมาถึงเขาแห่งสมบัติเช่นนี้ก็ย่อมไม่กลับไปมือเปล่าแน่นอน น้องไป๋ เจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่ ข้ามีหุ่นคอยสำรวจเส้นทางซึ่งดีกว่าที่เจ้าต้องเผชิญกับอันตรายเพียงคนเดียว” เถี่ยเยวี่ยตอบพร้อมกะพริบตาปริบๆ
“ขอบคุณพี่เถี่ยที่หวังดี ก่อนหน้านี้ข้าสูญเสียพลังเวทย์ไปมาก ต้องพักผ่อนเสียก่อนถึงจะคิดเรื่องเข้าไปในเขา” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบกลับโดยไม่ต้องคิด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าเองก็ไม่บังคับน้องไป๋แล้ว ข้าออกเดินทางไปก่อนแล้วกัน” ชายหนุ่มหน้ากลมได้ยินก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่กลับยกมือขึ้นกล่าวอำลาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หมุนตัวมุดเข้าไปในร่างของหุ่นวานรยักษ์อีกครั้ง
จากนั้นวานรยักษ์ก็ส่งเสียงดังครั่นครืน แล้วยืนตัวตรงอีกครั้ง ก่อนที่จะก้าวยาวไปไปยังยอดเขาขนาดใหญ่ต่อไป
ถึงแม้หุ่นตัวนี้จะเคลื่อนไหวได้ไม่ค่อยเร็วมากนัก แต่ทุกย่างก้าวของมันก็ไปได้ไกลถึงสองจั้งกว่าๆ ครู่เดียวก็หายเข้าไปในป่าเขาที่อยู่ไกลออกไป
หลิ่วหมิงหรี่ตามองไปยังทิศทางที่วานรยักษ์เดินไป จากนั้นก็ขยับตัวพุ่งไปยังทิศทางที่ค่อนข้างจะลาดเอียงเล็กน้อย
ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็หาโพรงไม้ว่างเปล่าตรงตีนเขาได้ เขาเอามือตบถุงหนังตรงเอว จากนั้นแมงป่องกระดูกขาวก็โผล่ออกมาท่ามกลามไอสีเขียวอันพวยพุ่งในทันที มันใช้ก้ามทั้งสองลูบเท้าหลิ่วหมิงอย่างสนิทสนมจากนั้นก็มุดลงไปใต้ดิน
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้นั่งขัดสมาธิลงไปในโพรงไม้อย่างวางใจ แล้วเริ่มต้นฟื้นฟูพลังเวทย์ขึ้นมา
เขานั่งอยู่ในโพรงไม้นานครึ่งวัน เมื่อเขาลืมตาทั้งสองขึ้น ไม่เพียงแต่พลังเวทย์ในร่างจะฟื้นคืนมาดังเดิมเท่านั้น แต่ยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่ากว่าก่อนหน้านั้นมาก
เพราะสิ่งที่ประสบในหลายวันก่อนทำให้เขาต้องใช้พลังจิตไปไม่น้อย
เสียงดัง “ซู่!”
ไอสีเขียวพวยพุ่งอยู่ที่โพรงไม้ด้านนอก แมงป่องกระดูกขาวมุดตัวขึ้นมาจากพื้น แล้วส่งเสียงเรียกหลิ่วหมิงราวกับว่ารู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
หลังจากที่หลิ่วหมิงรู้สึกตะลึงเล็กน้อย ถึงพบว่าก้ามของมันแต่ข้างต่างก็คีบผลึกหินจิตวิญญาณสีเขียวหยกก้อนหนึ่งไว้
“ผลึกหินไม้”
หลิ่วหมิงรับผลึกหินสีเขียวทั้งสองก้อนมาไว้ในมือแล้วตรวจดูเล็กน้อย แล้วพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ใช่บอกให้เจ้าเฝ้าอยู่แถวนี้หรือ? ไปเอาของเหล่านี้มาจากไหนกัน” ภายใต้ความตกใจ เขาอดไม่ได้ที่จะถามแมงป่องกระดูกขาว
หลังจากที่เปลวไฟสีเขียวในเบ้าตาของมันเปล่งประกาย มันก็บิดตัวมุดลงไปใต้ดินในฉับพลัน และครู่เดียวมันก็มุดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับคีบผลึกหินสีเขียวออกมาอีกสองก้อน
“หรือว่าข้างล่างนี้จะมีผลึกหินธาตุไม้อยู่เป็นจำนวนมาก!” ครั้งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจขึ้นมาจริงๆ จากนั้นเขาก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา
……………………………………….