ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1163 สู้กับระดับดาราพยากรณ์อีกหน (ปลาย)
เปรี้ยง!
ทันทีที่เงาหัวพยัคฆ์กับเงาก้ามสีแดงปะทะกัน ทั้งสองฝ่ายพลันระเบิดกระจุย
ในเวลาเดียวกันห้านิ้วมือขวาของหลิ่วหมิงลูบฝักกระบี่ที่ผลุบโผล่อยู่ข้างเอวตั้งแต่ไม่รู้เมื่อใด เคล็ดวิชาหลายสายส่องแสงเรืองๆ วูบหนึ่งก่อนจะจมหายไปในฝักกระบี่อย่างรวดเร็ว
เสียงครวญแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยินดังออกมากฝักกระบี่ว่างเปล่า
หลังจากอากาศรอบด้านบีบอัดแน่นพักหนึ่ง แสงสีทองดวงหนึ่งก็พุ่งออกมา จากนั้นพริบตาเดียวหายไปอย่างไร้ร่องรอย อากาศบริเวณใกล้ๆ ราวกับถูกวาดแหวกเป็นคลื่นน้ำ กระเพื่อมพัดไปรอบด้าน
เผ่าหนอนผีเสื้อร่างมนุษย์ระดับดาราพยากรณ์ฉับพลันตระหนกจนหูตั้ง มันไม่สนใจบัณฑิตคิ้วขาวอีก แต่พุ่งพรวดไปด้านข้างปานสายฟ้าแลบ แสงสีแดงทั่วร่างแผ่ออกมาห่อหุ้มทั้งร่างไว้อย่างแน่นหนาอย่างไม่เก็บออมไว้แม้แต่น้อย ในเวลาเดียวกันก้ามยักษ์สองข้างพลันพร่าเลือน หมุนสลับประหนึ่งวงล้อปกป้องจุดสำคัญทุกตำแหน่งบนร่างเอาไว้
“สะบั้น!”
หลิ่วหมิงตวาดแผ่วเบาคำหนึ่ง นิ้วหนึ่งจี้ดรรชนีไปด้านหน้าอย่างเร็วไว ด้านหลังแมลงร่างมนุษย์ระดับดาราพยากรณ์ตัวนั้นมีลูกกลมน้อยสีทองลูกหนึ่งปรากฏขึ้นดุจภูตพราย แล้วเริ่มหมุนติ้วด้วยตัวเอง
“ฟึบ!”
เผ่าหนอนผีเสื้อระดับดาราพยากรณ์ชะงักกลางอากาศ เงากระบี่เลือนรางคล้ายไม่มีอยู่เงาหนึ่งโผล่ออกมาแล่นผ่านลำคอของมันแล้วหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอยประหนึ่งว่าไม่เคยปรากฏมาก่อน
เผ่าหนอนผีเสื้อร่างมนุษย์ระดับดาราพยากรณ์เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อ ปากงึมงำเป็นเสียงประหลาดฟังไม่ชัด บนสองแขนกับตรงลำคอมีเส้นสีโลหิตตรงแน่วปรากฏขึ้น ต่อจากนั้นหัวกับแขนก็ไหลเลื่อนแยกออกจากตัว หมอกโลหิตสีดำสาดพรมเป็นผืนบนท้องฟ้า
แมลงยักษ์เผ่าหนอนผีเสื้อระดับแก่นแท้หลายตัวด้านหลังที่เหาะมาเกือบจะถึงชายป่าแล้ว เห็นเผ่าหนอนผีเสื้อระดับดาราพยากรณ์ถูกฟันเป็นชิ้นๆ กับตาตน สีหน้าที่เดิมทีโหดเหี้ยมก็เปลี่ยนไปในทันใด พวกมันพากันหมุนตัวหมายจะหนีในทันที
ผู้ที่สังหารระดับดาราพยากรณ์ขั้นกลางได้อย่างง่ายดาย พวกมันแมลงระดับแก่นแท้เหล่านี้จะต่อกรด้วยได้เช่นไรเล่า?
ในตอนนี้เองลูกกลมน้อยสีทองที่ลอยอยู่ไม่ไกลก็เปล่งแสงวูบหนึ่งแล้วหายไปอีกหน
อึดใจต่อมาความว่างเปล่าเบื้องหน้าเผ่าหนอนผีเสื้อแมลงปีกแข็งเขาเดียวระดับแก่นแท้ขั้นปลายตัวนั้นก็ไหวกระเพื่อม ลูกกลมสีทองลอยออกมาอย่างเงียบเชียบ พร้อมกับเงากระบี่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ที่แล่นออกมาอีกครั้งจากนั้นก็หายไปกับความว่างเปล่า
“ฟึบ!”
แมลงปีกแข็งเขาเดียวทำได้เพียงกรีดร้องอย่างไม่ยินยอมครั้งเดียว หัวก็แยกออกจากร่างกายมหึมาในชั่วอึดใจ จากนั้นร่วงกระแทกพื้นดินอย่างหนักหน่วงสิ้นลมหายใจ
นับแต่หลิ่วหมิงปรากฏกายจนกระทั่งปล่อยลูกกลอนกระบี่ออกมาสังหารเผ่าหนอนผีเสื้อระดับสูงทั้งสองตัว ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นเวลาเพียงชั่วครู่ นี่ทำให้ทุกคนที่นั่นตาโตอ้าปากค้างทันที
“เผ่าหนอนผีเสื้อที่เหลือยกให้พวกเจ้า!” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองคนอื่นๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวัก ลูกกลมน้อยสีทองเปล่งแสงวูบหนึ่งแล้วปรากฏขึ้นเบื้องหน้า มันหมุนติ้วพักหนึ่งจึงจมหายเข้าไปในฝักกระบี่ว่างเปล่าข้างเอว แล้วหายไปพร้อมฝักกระบี่
พวกโอวหยางเชี่ยนได้ยินจึงเพิ่งตั้งสติได้ พวกเขาพาศิษย์ระดับผลึกหลายสิบคนด้านหลังร่างเหาะไปหาแมลงที่เหลือซึ่งยังหนีไปได้ไม่ไกลอย่างยินดียิ่งนัก
หลิ่วหมิงลอยอยู่กลางท้องฟ้ามองดูศพเผ่าหนอนผีเสื้อบนพื้น จากนั้นสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง ปราณดำสายหนึ่งม้วนตัวออกมาควักแก่นปีศาจของเผ่าหนอนผีเสื้อระดับแก่นแท้หนึ่งเม็ดกับแก่นปีศาจระดับดาราพยากรณ์หนึ่งเม็ดกลับมาอย่างราบรื่น
เขามองกลุ่มผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ที่อยู่ไกลๆ แล้วเผยสีหน้าครุ่นคิด
เขาค่อนข้างพึงพอใจกับผลัพธ์ที่ได้จากการทดลองใช้ลูกกลอนกระบี่ครั้งแรกหลังจากหล่อหลอมเสร็จสิ้น แต่พลังเวทบริสุทธิ์ระดับแก่นแท้ขั้นปลายของตน เพิ่งจะใช้ลูกกลอนกระบี่เพียงชั่วครู่ พลังเวทก็หายไปมากถึงหนึ่งในสามแล้ว นี่ทำให้เขาอดไม่ได้อึ้งไปเล็กน้อย
……
หลายวันหลังจากนั้นในที่สุดศึกที่เทือกเขาหยกฝันก็จบลง หลังจากหลิ่วหมิงได้รับคำสั่งจากนิกายก็ใช้เคลื่อนกลเคลื่อนย้ายแห่งแล้วแห่งเล่าเดินทางกลับไปยังเทือกเขาหมื่นวิญญาณ
เขาเพิ่งกลับมาถึงถ้ำที่เขาเจดีย์ก็ต้องเลิกคิ้ว ก้มหน้ามองถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวแวบหนึ่ง ก่อนจะส่งจิตสัมผัสสายหนึ่งเข้าไป
ชั่วครู่ให้หลังหลิ่วหมิงพลันมีสีหน้ายินดี เขาหยิบแก่นปีศาจของระดับดาราพยากรณ์กับระดับแก่นแท้ที่ได้มาจากการสู้รบกับเผ่าหนอนผีเสื้อหลายปีนี้ออกมาโยนเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณอย่างไม่ลังเลสักนิด
แต่เมื่อเขาครุ่นคิดอีกเล็กน้อยก็รู้สึกเหมือนจะไม่เหมาะอยู่บ้าง มือขวาพลิกหงายขวดใบน้อยสีเขียวหยกหลายขวดทอแสงวูบหนึ่งแล้วผลุบเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณเช่นกัน จากนั้นจึงพูดกับตนเองเบาๆ ประโยคหนึ่ง
“ดูท่าเซียเอ๋อร์จะทะลวงคอขวดแล้วเหมือนกัน”
……
หนึ่งปีหลังจากนั้น
ในหุบเขาทรงน้ำเต้าที่ค่อนข้างเร้นลับแห่งหนึ่งท่ามกลางภูเขาหิมะอันเวิ้งว้างรอบด้านทางเหนือของแผ่นดินจงเทียน
ทุกหนทุกแห่งของหุบเขาปกคลุมด้วยหิมะกองหนา แต่นั่นไม่ส่งผลกับปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินที่เปี่ยมล้นในหุบเขาแม้แต่น้อย อีกทั้งทุกหนทุกแห่งยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของโอสถอันเข้มข้น
ที่แห่งนี้ก็คือที่ตั้งของหุบเขาเสินหนงนิกายใหญ่อายุหมื่นปีที่มีชื่อเสียงด้านการปรุงโอสถของแผ่นดินจงเทียน
ยามนี้ลึกเข้าไปในหุบเขา ในตำหนักหลังใหญ่ที่สร้างชิดภูเขาหลังหนึ่ง
ตำหนักหลังนี้มีขนาดหลายร้อยจั้ง แม้เกินกว่าครึ่งฝังอยู่ในตัวภูเขา แต่ก็ตกแต่งอย่างวิจิตงดงามทีเดียว รากต้นไม้หนาสองคนโอบจำนวนหนึ่งกระจายอยู่ในห้องโถงใหญ่อย่างเป็นระเบียบทำหน้าที่เป็นเสาค้ำรับน้ำหนัก บนรากต้นไม้ฝังศิลาสีขาวขนาดเท่ากำปั้นเอาไว้นับไม่ถ้วน แสงสีขาวน้ำนมแผ่กระจายออกมาส่องทุกมุมให้สว่างไสว
ผู้เฒ่าชุดเขียวที่มีกลิ่นโอสถฉุนแผ่ออกมาทั่วร่างผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าเก้าอี้ของเจ้าบ้านในห้องโถงใหญ่ เขาก็คือประมุขหุบเขาคนปัจจุบันของหุบเขาเสินหนง นามเหวินคูหรง
แม้คนผู้นี้จะมีพลังเพียงระดับแก่นแท้ขั้นกลาง แต่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วทั้งแผ่นดินจงเทียน บางทีอาจมีคนไม่รู้ว่าผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์สองคนของหุบเขาเสินหนงชื่อแซ่ว่าอันใด แต่พวกเขาจะต้องรู้จักประมุขหุบเขาเหวินผู้ปรุงโอสถได้ล้ำเลิศดุจดั่งเทพผู้นี้แน่นอน
บนเก้าอี้สองฝั่งของห้องโถงใหญ่มีคนหลายคนนั่งอยู่ ชายหนุ่มชุดสีเทาคนหนึ่งในนั้นก็คือผู้อาวุโสเสวียนอวี๋ผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์
ข้างกายเขายังมีบุรุษร่างใหญ่คิ้วหนาสวมหนังหมีสีน้ำตาลนั่งอยู่อีกคนหนึ่ง ดูจากเครื่องแต่งกายของเขา น่าจะเป็นผู้ฝึกฝนจากหุบเขาปีศาจสวรรค์
อีกฝั่งหนึ่งมีคนนั่งอยู่สามคน คนหนึ่งคือหญิงงามผู้สวมชุดสีเหลืองของนิกายเทียนกง คนหนึ่งคือผู้เฒ่าผอมเห็นกระดูกที่สวมชุดยาวสีดำของนิกายปีศาจลี้ลับ ส่วนอีกคนหนึ่งคือบุรุษวัยกลางคนคิ้วขาวเครายาวผู้สวมชุดบัณฑิต
ลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของทั้งสี่คนไม่ด้อยกว่าผู้อาวุโสเสวียนอวี๋แม้แต่น้อย พวกเขาล้วนเป็นผู้มากความสามารถระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์
นอกเหนือจากนี้ใต้ศิลาสีขาวบนรากไม้เหล่านั้นในห้องโถงใหญ่ต่างก็มีเงาคนที่สวมเสื้อผ้าหลากหลายอยู่ลูกละคน ดูจากสภาพแล้วพวกเขาล้วนเป็นเสาหลักของกลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งของแผ่นดินจงเทียน
“ประมุขหุบเขาเหวิน วันนี้ส่งข่าวด่วนให้พวกเรามารวมตัวกันเช่นนี้ ดูท่าแผนการก่อนหน้านี้จะตระเตรียมพร้อมแล้วกระมัง?” เงาคนที่สวมชุดผ้าไหมคนหนึ่งหัวเราะเบาๆ เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเหมือนรู้กระจ่าง
“ผู้อาวุโสเป๋ยโต่วข่าวสารว่องไวจริงแท้ นี่ก็มิใช่เรื่องต้องปิดบังอันใด วันนั้นผู้เยาว์ได้รับความไว้วางใจจากผู้อาวุโสทุกท่าน ฝากฝังภาระสำคัญให้แก่หุบเขาเสินหนง เพื่อคลายวิกฤติของทั้งแผ่นดิน หุบเขาของเราย่อมทุ่มสุดตัว หลังจากสิ้นเปลืองกำลังคนกับทรัพยากรนับไม่ถ้วน หลายวันก่อนพวกเราเพิ่งวิจัยยาพิษชนิดนี้ออกมาได้ วันนี้ทุกสิ่งเตรียมพร้อมสรรพแล้ว สามารถผลิตจำนวนมากได้ตอลดเวลา” ผู้เฒ่าชุดเขียวบนที่นั่งเจ้าบ้านเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม มือขวาพลิกหงาย ขวดหยกสีเข้มใบน้อยขนาดเท่าหัวแม่มือขวดหนึ่งฉับพลันลอยหลุดจากมือ
มือใหญ่ที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาจี้ดรรชนีใส่อากาศอย่างสบายๆ ไอหมอกสีเทากลุ่มหนึ่งพลันทะลักออกมายกขวดหยกสีเข้มใบน้อยใบนั้นไว้
ผู้คนฟังคำนี้แล้วต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป พวกเขาพากันมองไปยังขวดหยกสีเข้มใบน้อย
“ดูท่าผู้อาวุโสทุกท่านจะยังคลางแคลงอยู่บ้าง ตามเงื่อนไขที่ผู้อาวุโสทุกท่านให้มา ยาตัวนี้ไม่ทำร้ายเผ่ามนุษย์ของพวกเราแม้แต่น้อย ไม่สู้ผู้เยาว์ทดสอบให้ทุกท่านดูตอนนี้สักหน่อย แต่รบกวนผู้อาวุโสทั้งหลายที่นั่งอยู่เก็บลมปราณสักเล็กน้อย เพื่อไม่ให้แมลงที่นำมาทดสอบตื่นตกใจ” เมื่อเห็นผู้คนทั้งหลายเผยสีหน้าคลางแคลง ประมุขหุบเขาเหวินจึงเอ่ยขึ้นราวกับมีแผนการอยู่แล้ว จากนั้นวาดนิ้วชี้ ฝาที่ปากขวดหยกสีเข้มเปิดออกในพริบตา ตัวขวดเอียงลงมาหาพื้นดิน ของเหลวสีเขียวหยกเข้มข้นหยดหนึ่งลอยร่วงออกมา กลิ่นประหลาดสายหนึ่งอบอวลทั่วห้องโถงใหญ่ในทันที
เหล่าผู้แข็งแกร่งทั้งหลายรวมถึงผู้อาวุโสเสวียนอวี๋ทยอยเก็บลมปราณบนร่างตามคำบอก สองตาหรี่ลงเพ่งพิจอย่างละเอียดยิ่งขึ้น
ประมุขหุบเขาเหินเหมือนจะเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว มือซ้ายบีบถุงสีขาวข้างเอว แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมาในพริบตา ทันใดนั้นแมลงปีกแข็งสีดำหลายตัวก็ร่วงลงมาอยู่ใต้ขวดแล้วแยกเขี้ยวตวัดขาใส่ผู้คน พวกมันก็คือแมลงระดับล่างของเผ่าหนอนผีเสื้อ
ยังไม่ทันที่แมลงเหล่านี้จะเดินได้สักกี่ก้าว วงแวนแสงสีขาวหลายวงก็ส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่ง ล้อมแมลงเผ่าหนอนผีเสื้อเหล่านี้ไว้ในพริบตาแล้วแยกพวกมันออกจากกัน แม้แมลงปีกแข็งเผ่าหนอนผีเสื้อจะทำหน้าดุร้ายแต่ก็ทำอันใดมิได้
ต่อจากนั้นผู้เฒ่าชุดเขียวก็จี้ดรรชนีใส่อากาศ ยาพิษหยดเท่าเล็บมือลอยเอื่อยเฉื่อยไปหาแมลงตัวหนึ่งในนั้น
แมลงปีกแข็งเผ่าหนอนผีเสื้อเดิมทีก็คลุ้มคลั่งอย่างยิ่งอยู่แล้ว เมื่อเห็นจุดแสงสีเขียวตรงหน้าก็อ้าปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวคมออกแรงขย้ำกลืนมันลงคอไปโดยพลัน
เพียงครู่เดียวดวงตาของแมลงปีกเข็งเผ่าหนอนผีเสื้อพลันแดงก่ำ ทั่วทั้งร่างบิดดิ้นกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ ขาทั้งหกข้างก็ถีบกระตุกแล้วหมดลมหายใจ
ต่อจากนั้นผู้เฒ่าชุดเขียวก็ยกมือข้างหนึ่ง กำแพงสีขาวทั้งหลายที่ล้อมแมลงปีกแข็งเผ่าหนอนผีเสื้อไว้เชื่อมกันเป็นอันเดียวอย่างเงียบเชียบ ฉับพลันทันใดแมลงปีกแข็งเผ่าหนอนผีเสื้อหลายตัวที่เหลือทั้งหมดก็ถูกขังไว้กับศพของเผ่าหนอนผีเสื้อที่ตาย
ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นย้ำเตือน แมลงยักษ์เผ่าหนอนผีเสื้อเหล่านี้เข้ากัดกินศพอย่างไม่ระแวงใดๆ ทั้งสิ้น
แมลงปีกแข็งเผ่าหนอนผีเสื้อหลายตัวที่เหลืออยู่เพิ่งกัดลงไปได้เพียงคำเดียว เพียงสองสามลมหายใจก็หมดลมหายใจเหมือนดั่งแมลงปีกแข็งที่ตายไปเมื่อครู่ตัวนั้น
เงามนุษย์เลือนรางทั้งหลายเห็นเช่นนี้ก็ตกตะลึง พวกเขาต่างมองไปยังขวดหยกใบน้อยสีเข้มขวดนั้นด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
“ฮ่ะๆ หุบเขาเสินหนงฝีมือเยี่ยมจริงๆ ถึงขั้นใช้วิชาลับบางประการใส่ยาพิษเข้าไปในเลือดของเผ่าหนอนผีเสื้อแล้วฤทธิ์ยากลับไม่ลดทอนลงแม้แต่น้อย หากเป็นเช่นนี้เมื่อแมลงตัวหนึ่งต้องพิษ เลือดก็จะเปลี่ยนกลายเป็นพิษชนิดเดียวกันอย่างรวดเร็ว แมลงเหล่านี้โหดเหี้ยม ระหว่างสงครามมักจะกัดกินพรรคพวกที่บาดเจ็บเป็นนิสัย ยาพิษจะแพร่กระจายกว้างขึ้นเรื่อยๆ อาศัยลักษณะที่เหมือนโรคระบาดเช่นนี้ ถึงเวลาต่อให้เผ่าหนอนผีเสื้อมีกำลังพลมากอีกเท่าใด ขอเพียงไม่มียาแก้พิษ จะพินาศหมดสิ้นเมื่อไรก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น!” ผู้เฒ่าผอมเห็นกระดูกจากนิกายปีศาจลี้ลับเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยพร้อมดวงตาวาววับ
“ผู้อาวุโสซือถูพูดถูกต้องที่สุด! หุบเขาเสินหนงของพวกเรายังผสมผงยาเสริมอีกชนิดหนึ่งขึ้นมาด้วย หากเลือกใช้ให้ถูกจังหวะจะทำให้แมลงระดับล่างของเผ่าหนอนผีเสื้อคลุ้มคลั่งในพริบตา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะยิ่งกระตุ้นเผ่าหนอนผีเสื้อทำให้ยาพิษแพร่กระจายในเผ่าหนอนผีเสื้อเร็วขึ้นอีกมาก” ผู้เฒ่าชุดเขียวหัวเราะเสียงเบาแล้วเอ่ยด้วยความมั่นใจในตนเอง