ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 129 กำจัดวานร (4)
“ในเมื่อศิษย์น้องไป๋มีเหตุผลที่ล่าช้าย่อมให้อภัยกันได้ พี่หยาง รีบดำเนินการเถอะ! พวกเรามีเวลาอยู่ในแดนลึกลับไม่มากแล้ว” ชายหน้าดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ดี! เมื่อวานข้าขึ้นเขาไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวแล้ว พบว่าปีศาจวานรเหล่านั้นระวังตัวกันมากกว่าเดิม ถ้าใช้วิธีการธรรมดาเกรงว่าไม่อาจล่อพวกมันออกมาได้โดยง่าย ดังนั้นข้ากับพี่อวิ๋นได้ปรึกษากันว่าครั้งนี้จะต้องเสี่ยงเพื่อเอาชัยชนะมาให้ได้” หยางเฉียนค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยแววตาเคร่งขรึม
“เสี่ยงเอาชัยชนะ? พี่หยางหมายถึง…” ดูเหมือนจินอวี่จะยังไม่ค่อยเข้าใจ
“ง่ายมาก ในเมื่อไม่มีวิธีแยกปีศาจวานรตนอื่นให้ออกจากปีศาจวานรขนทองตนนั้นได้ พวกเราก็ล่อพวกมันให้ลงเขามาพร้อมกันแล้วจัดการมันทั้งหมด!” หยางเฉียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“พี่หยางพูดล้อเล่นแล้ว ปีศาจวานรขนทองตนนั้นร้ายกาจเช่นนี้ ถ้าหากทั้งสี่ตนรวมตัวกันล่ะก็ พวกเราจะสังหารมันพร้อมกันได้อย่างไร” จินอวี่ได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“เฮ่อๆ! ใครบอกว่าจะสังหารมันพร้อมกันทีเดียว ที่ข้าบอกว่าจะจัดการทั้งหมดนั้นมันมีลำดับขั้นตอน ก่อนอื่นหาวิธีให้ปีศาจวานรขนทองตนนั้นถูกกักอยู่อีกที่หนึ่ง รอพวกเราสังหารปีศาจวานรที่เหลืออีกสามตนก่อน แล้วค่อยรวมพลังกันรับมือกับมันเป็นในตอนสุดท้าย ถึงแม้ปีศาจวานรขนทองตนนั้นจะร้ายกาจ แต่ถ้าพวกเราสี่คนร่วมมือกันล่ะก็ มันเหลือเฟือต่อการรับมือกับมันแล้ว” ชายหน้าดำหัวเราะกล่าวออกมา
“วิธีการไม่เลว แต่ทำอย่างไรถึงจะกักขังปีศาจวานรขนทองได้ ปีศาจวานรเหล่านี้ต่างก็มีพลังมหาศาล กับดักธรรมดาคงเอาไม่อยู่” หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ก็ขมวดคิ้วถามออกไป
“แน่นอนว่าใช้วิธีการธรรมดาไม่ได้ ที่ข้ามีธงค่ายกลมายาพลังหยินทั้งหก เพียงแค่ปักมันไว้ล่วงหน้าก็คงจะกักขังปีศาจวานรขนทองตนนั้นไว้ได้นานราวๆ ครึ่งเค่อ ดูตามผลการต่อสู้ของพวกเราเมื่อสองวันก่อน เวลาแค่นี้ก็เพียงพอให้เราสังหารปีศาจวานรสามตนแล้ว เช่นนี้แล้วศิษย์น้องยังมีข้อคัดค้านอื่นอีกไหม?” หยางเฉียนกล่าวโดยไม่ต้องคิด
“พี่หยางได้พกธงค่ายกลมาด้วยช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ ศิษย์น้องเองก็วางใจแล้ว” จินอวี่ได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
อาวุธประเภทค่ายกลอย่างธงค่ายกล แผ่นค่ายกลนั้น ผู้ฝึกฝนที่ไม่ชำนาญเรื่องค่ายกลก็สามารถวางค่ายกลได้อย่างง่ายดาย ราคามันก็สูงจนยากจะคาดเดาได้ ดังนั้นถึงแม้จะเป็นชุดค่ายกลง่ายๆ ราคามันก็สูงกว่าอาวุธจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก
แต่เพราะว่าค่ายกลง่ายๆ นั้น ศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปก็สามารถทำลายได้โดยง่าย มันเหมาะสมแค่ใช้ในสถานการณ์พิเศษบางอย่าง ด้วยเหตุนี้อาวุธค่ายกลจึงเป็นสิ่งที่มีราคาสูงมาก แต่เป็นของฟุ่มเฟือยที่มีข้อจำกัดในการใช้งานเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นถึงอาจารย์จิตวิญญาณกลังเลที่จะซื้อมัน
หยางเฉียนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย แต่กลับมีธงค่ายกลติดตัว ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายจริงๆ
“ในเมื่อมีค่ายกลล่ะก็ ข้าเองก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ” หลังจากมีประหลาดใจเกิดขึ้นในแววตา หลิ่วหมิงก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ดี ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ข้าจะไปวางค่ายกลในป่าดงดิบบริเวณนี้ กลับมาข้ากับพี่อวิ๋นจะไปล่อพวกมันออกมา พวกเจ้าแค่ดักซุ่มอยู่บริเวณนี้ก็พอแล้ว พอเพียงครั้งนี้ทำสำเร็จพวกเราก็จะได้เก็บเกี่ยวทรัพยากรทั้งหมดบนเขาลูกนี้” หยางเฉียนกล่าวด้วยความกระตือรือร้น
พอได้ยินคำพูดนี้ ชายหน้าดำก็หัวเราะเฮ่อๆ! จินอวี่ก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หลิ่วหมิงกลับยิ้มเพียงเล็กน้อย
เวลาต่อมา พวกเขาก็เดินออกไปจากถ้ำหิน ขี่เมฆมุ่งหน้าไปยังป่าดงดิบที่อยู่ไม่ไกล
ขณะเดียวกัน บนอากาศเหนือยอดเขาอีกลูกหนึ่ง สัตว์ประหลาดชายหญิงสองคนที่มีท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่างเป็นหางปลากำลังควบคุมคลื่นยักษ์ต่อสู้กับอสรพิษสีเขียวที่มีหงอนสีเงินอยู่ตรงหัวอย่างดุเดือด
ชายหญิงรูปร่างครึ่งมนุษย์ครึ่งปลาทั้งสองนี้ ถ้าดูจากท่อนบนแล้วพวกเขาก็คือสองพี่น้องตระกูลหลานที่มู่หรงเซวี่ยนกล่าวถึง
แต่ตอนนี้มีคลื่นน้ำสีฟ้าที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนหมุนวนอยู่รอบตัวพวกเขา อักขระสีน้ำเงินไม่ทราบชื่อจำนวนมากโผล่ออกมาตั้งแต่ใบหน้าไปจนถึงแขนทั้งสอง ขณะเดียวกันดวงตาทั้งคู่ก็กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม
และดวงตาทั้งสองของอสรพิษยักษ์สีเงินมีสีแดงเลือด ปากของมันพ่นไอสีเขียวออกปาก หงอนบนหัวก็กลายเป็นสีเงินแพรวพราวดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
บางครั้งศรวารีจำนวนมากก็พุ่งยิงเข้าใส่อสรพิษยักษ์ราวกับฝนตก บางครั้งอสรพิษยักษ์ก็อ้าปากพ่นพายุบ้าระห่ำสีเขียวอ่อนออกไปโจมตีคลื่นน้ำจนแตกกระจาย
ทั้งสามต่างก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจึงจะตัดสินแพ้ชนะได้
และพื้นที่ลุ่มต่ำเร้นลับแห่งหนึ่ง ก็มีซากของค่ายกลสีฟ้าที่ถูกทำลายจนเสียหาย กับศพของอสรพิษหงอนเงินขนาดเล็กสองตน
……
เจียหลานก้มตัวลงใจกลางบ่อน้ำ ใช้คทาหยกเคาะดอกบัวสีฟ้าเบาๆ
ทันทีที่ดอกไม้จิตวิญญาณนี้เปล่งแสงสีฟ้าสั่นไหวมันก็ลอยหลุดออกมาจากก้าน แล้วค่อยๆ ตกลงไปในกล่องหยกที่ได้เตรียมไว้
เจียหลานปิดฝากล่องหยก แล้วเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างระวัดระวัง จากนั้นก็หันไปมองศพของอสูรน้อยทั้งสามที่นอนนิ่งอยู่ด้านข้าง แล้วก็ถอนหายใจก่อนที่จะล่องลอยออกไป
……
ในกองหินกลุ่มหนึ่ง เฟิงฉาน เกาชงและศิษย์จิตวิญญาณอีกเจ็ดคน ต่างก็ล้อมโจมตีอสูรสิงห์พยัคฆ์ตนนั้นอยู่ไม่หยุด
แต่ครั้งนี้สองในเก้าคนนั้นเปลี่ยนมาเป็นศิษย์นิกายวาตอัคคีแซ่เถียนที่ถือพัดใบลานในมือกับเฉียนฮุ่ยเหนียง อสูรตนนี้ยังคงดุร้ายเช่นเดิม สายฟ้าสีน้ำเงินบนตัวก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง ปากก็พ่นลูกไฟออกไปรอบด้าน
แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ล้อมโจมตีทั้งเก้าคนในครั้งครั้งนี้ ดูสงบเยือกเย็นกว่าก่อนหน้านั้นมาก พอมีทะเลเพลิงปรากฏขึ้นบริเวณนั้น ชายแซ่เถียนก็ค่อยๆ โบกพัดใบลานจนดับไฟได้ทั้งหมด
ส่วนสายฟ้าที่ปกป้องตัวของอสูรสิงห์พยัคฆ์ก็เริ่มถูกผู้คนแสดงไม้เด็ดออกมาโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้เกิดบาดแผลขนาดต่างๆ บนตัวของมัน
ด้วยเหตุนี้ คนทั้งเก้าต่างก็ยิ่งโจมตีหนักหน่วงด้วยความดีใจ
แต่ไม่มีใครสังเกตว่า ถึงแม้อสูรสิงห์พยัคฆ์จะเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ แต่ก็ยังคงใจเย็นกว่าปกติ ไม่มีรอยความหวาดกลัวโผล่ออกมาแม้แต่น้อย
……
ในถ้ำเร้นลับใต้ดินแห่งหนึ่ง เหลยเจิ้นคำรามเสียงต่ำออกมา ค้อนเล็กสีเงินในมือโจมตีออกไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง ในที่สุดเส้นสายฟ้าสีเงินก็โจมตีรอยแตกที่ปรากฏบนผิวก้อนหินสีดำจนแตกละเอียด
หินสีดำก้อนนี้มีขนาดเล็กกว่าหลายวันก่อนหนึ่งในสามส่วน
เดิมทีเหลยเจิ้นคิดว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลาสี่ห้าวัน ถึงจะเค้นพลังอันแปลกประหลาดนี้ออกไปจนเขาสามารถต้านทานได้ คาดไม่ถึงว่าตอนนี้ของล้ำค่าดูเหมือนจะปรากฏออกมาแล้ว
ตอนแรกที่เหลยเจิ้นเห็นฉากนี้ก็รู้สึกตะลึงงันก่อนที่จะรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาวัดแกว่งค้อนเล็กสีเงินในมืออย่างรวดเร็วอีกครั้ง มันทำลายเศษหินบนพื้นผิวจนหลุดออกมา ในที่สุดของล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ภายในก็ปรากฏ
มันคือแร่สีน้ำตาลอ่อนที่มีขนาดเท่าศีรษะ บนผิวของมันมีลายแปลกประหลาดจำนวนมากกระจายอยู่ไปทั่ว และยังทับซ้อนกันอยู่บนนั้น ราวกับว่าแร่ทั้งก้อนถูกลายสีเงินทับซ้อนห่อหุ้มเอาไว้แน่น
เหลยเจิ้นระงับอาการตื่นเต้นแล้วเก็บค้อนสีเงินเข้าไป จากนั้นก็หยิบเศษหินขึ้นมาจากพื้นก่อนที่จะโยนใส่แร่ก้อนนั้น
เสียงดัง “เพล้ง!”
เศษหินกระทบเข้าใส่แร่สีน้ำตาลโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น ดูแล้วมันเหมือนการดีดกลับปกติ ไม่มีอะไรแปลกประหลาดแม้แต่น้อย
เหลยเจิ้นเดินเข้าไปด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก เขาก้มตัวเพื่อหยิบแร่ก้อนนั้นมาดูให้ละเอียด
แต่พอนิ้วของเขาสัมผัสกับแร่สีน้ำตาล ก็มีเสียง “ซิ้วๆ!” ดังขึ้นมาในทันที ไหมสีเงินหลายสิบเส้นพุ่งออกจากแร่หินในพริบตา
ด้วยระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ บวกกับไม่มีลางสังหรณ์ใดๆ เตือนล่วงหน้า ทำให้เหลยเจิ้นไม่สามารถทำการต่อต้านใดๆ ได้ทัน ร่างของเขาถูกไหมสีเงินเจาะทะลุผ่านไป
เขาตะโกนออกมาด้วยความโมโห สายฟ้าบนตัวเปล่งประกายออกมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อก่อนที่ค้อนเทพอัสนีจะปรากฏในมือ และคิดที่จะใช้มันโจมตีออกไป
แต่ในขณะนั้นเอง ลายสีเงินบนผิวแร่ก็เปล่งแสงออกมา และยังค่อยๆ พองยุบสลับกัน
ไหมสีเงินทั้งหมดเพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อย ก็ตัดคนที่อยู่ด้านหน้าจนกลายเป็นชิ้นเนื้อหลายชิ้นด้วยความคมราวกับใบมีด แม้แต่วิญญาณของเหลยเจิ้นที่กลายเป็นกลุ่มไอสีดำก็ถูกแสงสีเงินทำลายจนแตกกระจาย
ค้อนสีเงินตกลงพื้นด้วยเสียงดัง “เต้ง!” โลหิตจำนวนมากไหลทะลักลงพื้น
ศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนีที่บรรดาอาจารย์จิตวิญญาณในนิกายปีศาจต่างก็ให้ความหวังอย่างเหลยเจิ้น ไม่คาดคิดว่าจะมาเสียชีวิตในถ้ำที่ไร้นามเช่นนี้
แต่ครู่ต่อมาเหตุการณ์ที่น่าตกใจยิ่งกว่าเดิมก็ปรากฏขึ้น
ไหมสีเงินที่ถูกพ่นออกจากแร่สีน้ำตาลพวยพุ่งไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็จุ่มลงไปในบ่อเลือดบริเวณนั้น ทั้งยังดูดเลือดเข้าไปด้วยความรวดเร็ว
ไหมสีเงินเหล่านี้ล้วนมีรูกลวงตรงกลาง ซึ่งเป็นเหมือนหลอดดูดขนาดเล็ก
และเมื่อมันดูดเลือดเข้าไปในแร่สีน้ำตาลจำนวนมาก ลายสีเงินบนผิวของมันก็ยิ่งเปล่งแสงจ้ามากขึ้น ขณะเดียวกันมันก็เริ่มพองยุบขึ้นมา ราวกับว่ามันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ
ไหมสีเงินหลายสิบเส้นดูดรับโลหิตเข้าไปเป็นจำนวนมาก จนโลหิตบริเวณนั้นหายไปในพริบตา แต่ดูเหมือนว่าไหมสีเงินเหล่านี้จะยังไม่พอใจ หลังจากที่มันเคลื่อนไหวอีกครั้ง ก็แทงเข้าไปยังชิ้นเนื้อที่อยู่บริเวณนั้น
เศษเนื้อจากศพของเหลยเจิ้นแห้งเหี่ยวขึ้นมาทันที ราวกับว่าแม้แต่โลหิตหยดสุดท้ายในนั้นก็ถูกมันดูดจนหมดเกลี้ยง
จากนั้นลายสีเงินบนผิวแร่สีน้ำตาลก็พองยุบไม่กี่ครั้ง แล้วก็พลันส่งเสียงดังออกมา
ตอนแรกมันดังแค่ครั้งเดียว แต่ผ่านไปไม่นานก็ดังขึ้นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม…
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ในขณะที่แร่สีน้ำตาลพองยุบตัวก็มีเสียงดังขึ้นมาติดต่อกัน ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ไหมสีเงินพุ่งออกมามากกว่าเดิม และยังพุ่งออกมาจนแน่นขนัด จนเกือบจะจมเข้าไปในทุกพื้นที่ของถ้ำ และมันยังยืดยาวอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ จากนั้นก็ค่อยๆ เจาะลึกเข้าไปในเขาใหญ่
แร่ที่เดิมดีเป็นสีน้ำตาลก็ค่อยๆ กลายเป็นสีแดงเลือดขึ้นมา ราวกลับว่ามันได้ฟื้นคืนร่างที่แท้จริงของมันภายในเวลาหนึ่งเค่อ
นี่คือหัวใจยักษ์ดวงหนึ่งที่ค่อยๆ ฟื้นฟูพลังชีวิต!
และในขณะที่หัวใจดวงนี้ฟื้นตัวขึ้นมา เขาใหญ่ทั้งลูกก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงด้วยความเร็วที่ไม่อาจสังเกตเห็นด้วยตาเปล่าได้ และการเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดที่คนไม่สามารถรับรู้ได้ก็เริ่มบังเกิดขึ้น
……………………………………….